ดร.นพ เวชยานนท์ -- บทความที่ผมเห็นด้วยและบรรยายได้ดีครับ

อเมริกา.............ที่เปลี่ยนไป !!!!

ผมเพิ่งจะกลับมาจากอเมริกา กลับมาถึงเมืองไทยเมื่อ 23 มีนาคม 65 นี้เองครับ ตลอดระยะเวลาเกือบ 3 สัปดาห์ที่ขับรถตระเวนเที่ยวกว่า 2,000 กม. ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง จากที่เคยไปครั้งสุดท้ายเมื่อ 4 ปีก่อน ก็เลยอยากจะเล่าให้เพื่อนๆ ฟังครับ

ครั้งนี้เป็นการเดินทางไปต่างประเทศครั้งแรกหลังจากโควิดระบาด บินจากสุวรรณภูมิไปต่อเครื่องที่นาริตะ ทั้งที่สุวรรณภูมิและนาริตะผู้คนบางตา เงียบเหงามาก ร้านค้าเปิดขายกันอยู่ไม่กี่ร้าน เที่ยวบินจากนาริตะไปซานฟรานซิสโก ทั้งลำมีผู้โดยสารแค่เพียง 20% ยิ่งมาเจอพิษน้ำมันแพงเข้าไปอีก คงจะขาดทุนย่อยยับ ขากลับก็เป็นแบบเดียวกันครับ

การเข้าประเทศอเมริกา    ได้ยกเลิกการกรอกเอกสารทั้งหมด เราไม่ต้องกรอกเอกสารอะไรเลย ไม่ว่าจะสำหรับตรวจคนเข้าเมือง และเอกสารศุลกากรที่ต้องแจ้งการนำสิ่งของที่นำติดตัวมา แต่จะถูกซักถามจากเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองมากขึ้นนิดหน่อย ทำให้สะดวกรวดเร็วขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก

ก่อนเข้าเมืองก็ไม่ต้องถูกตรวจเชื้อโควิด และไม่ต้องถูกกักตัว เพียงแค่แสดง Vaccine Passport และใบรับรองการตรวจเชื้อ TR-PCT ก่อนขึ้นเครื่องเท่านั้นเอง ก็ผ่านเข้าได้เลยครับ

จากเป็นประเทศที่ติดเชื้อโควิดรุนแรงมากที่สุดในโลก ตอนนี้การใช้ชีวิตของผู้คนเริ่มผ่อนคลายลง และกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เขายกเลิกการรายงานผลการติดเชื้อรายวันแล้ว ยกเลิกการบังคับใส่แมส แต่ผู้คนส่วนใหญ่ก็ยังใส่แมสเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ ตามห้างร้าน โรงแรมเกือบทั้งหมดยังคงบังคับให้ต้องใส่แมสเมื่อเข้าไปในอาคาร และมักจะมีแมสคุณภาพดีแจกฟรีที่ทางเข้า รวมถึงที่สนามบินด้วย

การระบาดของโควิดที่รุนแรง บวกกับการห้ามออกจากบ้านที่ยาวนาน ส่งผลกระทบมหาศาลต่อชีวิตความเป็นอยู่ ไม่ต่างจากเกิดสงครามโลก ร้านอาหารต่างๆ เพิ่งจะอนุญาตให้คนนั่งทานในร้านได้เมื่อสองเดือนที่ผ่านมานี้เอง  แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังติดยึดอยู่กับการโทรไปสั่งล่วงหน้า แล้วไปรับกลับมาทานที่บ้าน ไม่มีสิงห์มอเตอร์ไซด์วิ่งส่งแบบบ้านเรา

ถ้าใครชอบช็อปปิ้ง….จะต้องผิดหวังครับ ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ชื่อดังปิดตัวกันไปหลายราย ที่เปิดอยู่ก็เงียบเหงา ผู้คนหันมาซื้อของออนไลน์กันเป็นหลัก ยกเว้นสินค้าบางชนิดที่ต้องไปเลือกดูของจริง เช่น เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องเสียง ก็ยังคงคึกคักอยู่

อัตราการลักขโมยสินค้าในห้างร้านต่างๆ พุ่งสูงขึ้นหลายเท่าตัว ไม่น่าเชื่อว่า ในห้าง Walmart ร้านค้าปลีกใหญ่อันดับหนึ่งของอเมริกาคล้ายๆ Big-C ของบ้านเรา บางสาขาต้องเอาสินค้าราคาไม่กี่สตางค์ เช่น ถ่านไฟฉาย AAA หรือกางเกงในผู้ชาย ใส่ไว้ในตู้ปิดกุญแจ ถ้าใครอยากจะซื้อก็ต้องไปบอกให้พนักงานของร้านมาเปิดให้

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงสะดุดตามากที่สุด ก็คือจำนวนคนจรจัดไร้บ้าน ตลอดสองข้างทางที่ขับรถจากซานฟรานไปพอร์ตแลนด์ ในรัฐโอเรกอน มีให้เห็นมากมายอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน โดยเฉพาะตามเมืองใหญ่ๆ วันหลังจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียด......... ฟังแล้วจะตกใจครับ !!!!

อันดับสอง ก็คือค่าครองชีพที่สูงขึ้นมาก เงินเฟ้อพุ่งขึ้นไปแตะที่ระดับปีละ 7% จากที่เคยเฉลี่ยที่ 3.8% ราคาข้าวของต่างๆ จะสูงกว่าที่เคยซื้อเมื่อ 4 ปีที่แล้วราวๆ 30-50% อาหารจีนเคยขายเมนูละ 8-12$ เดี๋ยวนี้ 15-18$ ค่าห้องพักในโรงแรมระดับ 3 ดาว เพิ่มจากเฉลี่ยคืนละ 100$ เป็น 150$

วันแรกที่ไปถึงสนามบิน จะใช้รถเข็นกระเป๋าต้องไปหยอดเหรียญก่อนถึงจะเอาออกมาได้ ราคาขึ้นไปที่คันละ 8$ จากเดิม 4$ แค่นี้ก็รู้แล้วว่าทำไมฝรั่งถึงชอบมาเที่ยวเมืองไทย บ้านเรารถเข็นที่สนามบิน..... ฟรีครับ

น้ำมันเบ็นซินแพงกว่าเมื่อ 4 ปีก่อนเกือบเท่าตัว ปัญหายูเครนส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นทุกวัน วันที่ผมกลับราคานำมันเบ็นซินชนิดที่ถูกที่สุดอยู่ที่ 5.49 $/Gallon หรือเท่ากับ 40.90 บาท/ลิตร ส่วนราคานำมันดีเซลอยู่ที่ 5.99 $/Gallon หรือเท่ากับ 44.63 บาท/ลิตร

รถเช่าหาได้ยากและแพงมาก คนไม่เดินทางในช่วง 2 ปีที่โควิดอาละวาด บริษัทรถเช่าต่างๆ ต้องขายรถทิ้ง ตอนนี้เพิ่งจะเริ่มฟื้นตัว ก็เลยมีรถน้อย ค่าเช่าแพงกว่าเมื่อ 4 ปีก่อนเกือบเท่าตัว ปกติเวลาเช่ารถผมก็จะซื้อเฉพาะประกันอุบัติเหตุเท่านั้น แต่คราวนี้ทางบริษัทรถเช่าแนะนำว่าควรจะซื้อประกันคุ้มครองการลักขโมยรถ หรือทุบรถเอาสิ่งของด้วย เพราะว่ามีความเสี่ยงสูงมาก เบี้ยประกันก็เลยสูงตามไปด้วย สรุปแล้วค่าเบี้ยประกันก็พอๆ กับค่าเช่ารถเลยทีเดียว

ค่าใช้จ่ายแพงขึ้น ค่าแรงขั้นต่ำก็ได้ปรับให้สูงขึ้นตามไปด้วย จาก 11$/ชม เมื่อ 4ปีก่อน เป็น 15$/ชม  และที่น่าตกใจก็คืออัตราค่าทิปในร้านอาหาร  จากเดิม 10-15% ของราคาค่าอาหาร กระโดดขึ้นไปเป็น 18-22% อย่างนี้ก็เลยทำให้คนชอบที่จะสั่งซื้อกลับไปทานที่บ้าน ไม่ต้องเสียค่าทิปให้เด็กเสริฟ

คนอเมริกันยังไม่ค่อยออกเดินทางท่องเที่ยวกันมากเท่าไหร่ ตามแหล่งท่องเที่ยวทั่วไปยังโหรงเหรง โรงแรมที่เข้าพักส่วนใหญ่มีคนพักไม่ถึง 20% โรงแรมชั้นดีที่เสริฟอาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์ดีๆ ที่เรียกว่า “Hot breakfast” เกือบจะทั้งหมดยังอาศัยข้ออ้างโควิดเอาเปรียบลูกค้า มีแค่แซนด์วิช หรือคุกกี้ใส่ถุงให้ แล้วประดิษฐ์ถ้อยคำหรูๆ แก้เขินว่า “Grab & Go Breakfast” บางแห่งก็มีแค่กาแฟให้อย่างเดียว ทั้งๆที่ระบุไว้ในเงื่อนไขการจองว่า ราคาที่จองนี้ “Good breakfast included”

ข่าวที่ครองหน้าจอโทรทัศน์อยู่ในขณะนี้คงจะหนีไม่พ้นข่าวยูเครน แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นข่าวที่เน้นให้เห็นถึงความเสียหายของบ้านเรือนที่ถูกทำลาย  และความเดือดร้อนของชาวยูเครนที่อพยพ ดูแล้วก็มีแต่สงสารยูเครนมากขึ้น แต่การสรุปข่าวในภาพรวมที่ให้เข้าใจสถาณการณ์มีน้อยมาก ต้องคอยติดตามข่าวจากเมืองไทย ที่หลากหลายมุมมองและทันเหตุการณ์มากกว่า

ถึงแม้คนอเมริกันส่วนใหญ่จะไม่เห็นด้วยที่รัสเซียบุกยูเครน แต่ก็ไม่เห็นด้วยถ้าอเมริกาจะส่งทหารหรืออาวุธไปช่วยยูเครน บทบาทของปธน.โจ ไบเด้น ในการต่อกรกับรัสเซียอย่างไม่ทันเกมในสายตาของคนอเมริกัน ทำให้คะแนนนิยมของเขาตกลงอย่างมาก ปัญหาน้ำมันแพงจะกลายเป็นตัวเร่งให้ไบเด้นถึงจุดจบเร็วขึ้น

ตั้งแต่วันแรกๆ ที่เข้ารับตำแหน่ง โจ ไบเด้นได้ออกคำสั่งยกเลิกนโยบายหลายอย่างที่ทรัมพ์ได้ทำไว้ ชนิดที่เรียกว่า หันหลังกลับ 180 องศาเลยทีเดียว เช่นการก่อสร้างรั้วกั้นเขตแดนที่ติดกับเม็กซิโก การลดบทบาทและค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนนาโต้ การสนับสนุนให้อเมริกาสูบน้ำมันของตัวเองขึ้นมาใช้ แทนพึ่งพาการนำเข้า เป็นต้น สถานการณ์ขณะนี้สำหรับคนอเมริกันแล้วมองว่า โจ ไบเด้นนั้นคิดผิด แนวทางที่ทรัมพ์ได้ทำไว้นั้นถูกต้องแล้ว

กระแสความนิยมของไบเด้น ลดลงเรื่อยๆ สวนทางกับความนิยมของทรัมพ์ ที่พุ่งสูงขึ้น เลือกตั้งครั้งหน้า เราอาจจะเห็น “ทรัมพ์บ้า” ในสายตาของชาวโลก กลับมาเป็นประธานาธิบดีอเมริกาอีกสมัย ชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ ก็เป็นได้ครับ

ไปเมืองนอกทีไร ก็คิดว่าเรานี้ช่างโชคดี..... ที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย....ทุกทีเลยครับ

ดร.นพ เวชยานนท์
25 มีนาคม 65
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่