ไปเจอบทความหนึ่ง เค้าตั้งข้อสังเกตุว่ามหาอำนาจอเมริกาและยุโรป รวมหัวกันใช้ประโยชน์จากยูเครนทำลายล้างรัสเซียและขายอาวุธ ตอนนี้หุ้นบริษัทอาวุธของอเมริกาพาเหรดเด้งขึ้นทุกตัว สวนทางกับตลาดโดยรวม หรือว่าเป็นแผนที่วางไว้หมดแล้ว คนอำมหิตจริงๆแล้วไม่ใช่รัสเซีย แต่คือคนที่กำกับยูเครนให้ยั่วยุรัสเซีย ลองฟังบทวิเคราะห์ ดูครับ
จาก นสพ POST TODAY
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://www.posttoday.com/world/679026
ไม่ได้เชียร์ปูติน ไม่ได้ชอบสงคราม แต่เหลือทนกับมหาอำนาจบาตรใหญ่
สงครามคือความโหดร้ายแต่การเมืองก็โหดร้ายเช่นกัน ขณะที่สงครามอาจจะนับเหยื่อได้ง่าย แต่เหยื่อจากการชิงอำนาจทางการเมืองโลกอาจจะนับยากยิ่งกว่า ผู้เขียนเห็นความเห็นหนึ่งแพล็ตฟอร์มข่าวต่างประเทศ เจ้าของคอมเมนต์บอกในทำนองว่า ชาวแอฟริกัน ชาวลาตินอเมริกัน ชาวตะวันออกกลาง ชาวเอเชียส่วนใหญ่ต่างก็ "เข้าอกเข้าใจรัสเซีย" ที่ต้องรุกรานยูเครน มีแต่ชาติตะวันตกกับ "สมุน" ไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่พยายามทำให้รัสเซียเป็นผู้ร้าย ส่วนตัวเองเป็นพระเอก
บอกตามตรงว่าผู้เขียนคิดคล้ายๆ กันเรื่องคนส่วนใหญ่ของโลก (อย่างน้อยเท่าที่อ่านผ่านตาในช่องคอมเมนต์ข่าว) ถ้าไม่เห็นใจรัสเซียก็ประณามชาติตะวันตกว่าเป็นตัวการของสงคราม
ผู้เขียนยังเห็นแนวโน้มของการตำหนิผู้นำยูเครนที่คล้อยตามชาติตะวันตก ตะบี้ตะบันที่จะพายูเครนเป็นสมาชิกนาโตให้ได้ ทั้งๆ ที่น่าจะรู้ว่าเป็นการบีบให้รัสเซียต้องลงมือ
ผู้เขียนคิดคล้ายๆ กับคนเหล่า แต่ตัวผู้เขียนไม่สนับสนุนสงคราม คิดว่าการใช้กำลังทหารของปูตินโหดร้ายและเร่งรีบเกินไปจนเกิดความเสียหายในวงกว้าง และที่สำคัญผู้เขียน "ไม่ใช่แฟนปูติน"
ด้วยความสัตย์จริง ผู้เขียนทำงานด้านข่าวต่างประเทศมาเกือบ 20 ปีแล้ว ไล่หลังปูตินก้าวขึ้นสู่อำนาจไม่กี่ปี เห็นการพลิกโฉมรัสเซียจากยักษ์ป่วย จนกลายเป็นมหาอำนาจอีกครั้ง เห็นปูตินที่ผู้คนทั่วโลกชื่นชม จนวันนี้กลายเป็นคนที่มองเป็น "ตัวโกง"
จากวันนั้นถึงวันนี้ ผู้เขียนติดตามข่าวของปูตินห่างๆ ไม่ได้ชื่นชมโสมนัสเหมือนบางคนที่ยกให้เป็นผู้นำผู้เปี่ยมความสามารถราวกับไร้ที่ติ ปูตินนั้นแม้จะทำให้รัสเซียพ้นจากกาลียุคมาได้ก็จริง แต่เขาก็กำจัดฝ่ายตรงข้ามอย่างร้ายกาจเช่นกัน
และผู้เขียนก็ไม่ได้ชื่นชอบระบอบอำนาจนิยม/เผด็จการ เพราะไม่ชอบให้ใครมาบังคับ ซึ่งรัสเซียยุคปูตินนั้นประชาชนถูกบีบมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ผู้เขียนนึกถึงมงแต็สกีเยอ นักปรัชญาฝรั่งเศสที่ชี้ว่าระบอบเผด็จการนั้นเหมาะกับประเทศใหญ่ๆ ส่วนประเทศเล็กๆ นั้นเหมาะกับระบอบมหาชนรัฐ (หรือประชาธิปไตยเสรี)
นี่เป็นความคิดสมัยศตวรรษที่ 18 แต่เราจะเห็นว่ามันยังเป็นจริงอยู่บ้างในยุคสมัยนี้ คือกรณีของรัสเซียและจีน โดยมีสหรัฐเป็นข้อยกเว้น
รัสเซียนั้นแพแตกเมื่อสิ้นระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ เมื่อมีผู้นำประชาธิปไตยก็อ่อนปวกเปียกจนคานอำนาจพวะตกตะวันตกไม่ได้ ทำให้พวกตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐกุมอำนาจเดี่ยวในเวทีการเมืองโลก
อำนาจบาตรใหญ่ของชาติตะวันตกในฐานะเจ้าโลกเดี่ยวนั้นเห็นได้จากบทความของผู้เขียนเรื่อง "โจมตีประเทศอื่นตามใจชอบ นาโตทำได้ คนอื่นทำไม่ได้!" ในกรณีบอมบ์ยูโกสลาเวียตามใจชอบ
มองอีกแง่หนึ่งไอ้การกุมอำนาจแต่ผู้เดียวของบางประเทศ (Hegemony) นั้น มันต่างจากเผด็จการตรงไหน?
พอรัสเซียได้ปูตินและปูตินบริหารดีจนประชาชนพอใจมากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็เริ่มทำตัวเป็นผู้นำแบบที่รัสเซียต้องการ นั่นคือเผด็จการ
ส่วนจีนนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ในยุคสาธารณรัฐที่คนคาดหวังว่าจีนจะมีประชาธิปไตยนั้น นอกจากจะพังไม่เป็นท่าแล้ว ยังแบ่งเป็นก๊กบดขยี้กันเองด้วยซ้ำ จนกระทั่งเผด็จการคอมมิวนิสต์เข้ามากุมอำนาจเดียวและจัดระเบียบจนจีนเป็นจีนที่แกร่งดังทุกวันนี้
คนไทยบางคนอาจคิดว่าเผด็จการแบบนี้สมควรแบบประเทศมให้บริหาร แต่ผู้เขียนขอบอกว่า "ตรองดูให้ดี" เพราะคุณภาพของผู้นำเผด็จการบ้านเราอาจไม่เท่าจีนหรือปูติน
กลับมาที่ความเป็นเผด็จการของปูติน
ด้วยความที่ชาติตะวันตกโปรโมทระบอบการเมืองของตัวเองอย่างหนักในช่วงกุมอำนาจเดี่ยวในเวทีการเมืองโลก ทำให้เราๆ คิดว่า "ประชาธิปไตยเสรี" แบบตะวันตกมันคือทุกสิ่งทุกอย่าง มันดีงามที่สุด มันมีแต่ความเท่าเเทียมดังยุคพระศรีอาริย์
แต่ประชาธิปไตยนั้นไม่จำเป็นต้องลอกแบบใคร ขอเพียงให้อำนาจประชาชนตัดสินใจชะตากรรมตัวเอง มีระบอบการถ่วงดุลอำนาจที่ดี และมีความโปร่งใสเรื่องการบริหาร เราก็สามารถสร้างประชาธิปไตยในรูปแบบของเราได้
แต่เพราะการโฆษณาของชาติตะวันตกที่ยกตัวเองว่าดีเลิศ คนอื่นชั่วช้านั้น ทำให้ความขัดแย้งระหว่างประเทศหลายๆ เรื่องถูกเบี่ยงประเด็นจากเรื่องการชิงอำนาจ กลายเป็นเรื่องฮีโร่ประชาธิปไตยกอบกู้โลกจากเผด็จการที่โหดร้าย
ประชาชนในประเทศโลกที่สาม/ประเทศชายของต่างรู้เช่นเห็นชาติการกระทำอำพรางพวกนี้ดี เพราะประเทศของ
พวกเขาถูกย่ำยีจากตะวันตกโดยอ้างว่าจะช่วยสร้างความศิวิไลซ์บ้าง (ข้ออ้างสมัยล่าอาณานิคม) จะช่วยสร้างประชาธิปไตยบ้าง (ข้ออ้างสมัยลัทธิจักรพรรดินิยมใหม่คือยุคนี้)
เชื่อหรือไม่ว่าในสงครามยูเครน พวกตะวันตกและคนยูเครนเองก็ยังยึดติดกับแนวคิดว่า "เราคือผู้ศิวิไลซ์" ส่วนรัสเซียนั้นเป็นดังพวก "อนารยชน"
รัสเซียแม้จะฝรั่งเหมือนกัน แต่พวกยุโรประแวงว่าเป็นพวกครึ่งชาติยูเรเชีย ทั้งยังใหญ่โตและทรงอำนาจ ต่างจากชาติตะวันตกที่ประกอบด้วยรัฐเล็กๆ ย่อมๆ ต้องรวมตัวกันเพื่อความอยู่รอด ทำไม่ค่อยอยากจะให้รัสเซียเป็น "พวกเดียวกับเรา"
นั่นก็เรื่องหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่งก็คือชาวตะวันตกแม้จะพยายามบอกชาวโลกว่าพวกเขา "อารยะ" ไม่เหยียดชาติพันธุ์ใดแต่การกระทำในช่วงสงครามยูเครนทำให้ชาวโลกต้องย่นคิ้วด้วยความสงสัยว่าที่ผ่านมามันเป็นการเล่านละครหรือไร?
จะขอยกตัวอย่าง ผู้สื่อข่าวต่างประเทศอาวุโสของ CBS News (ช่องข่าวอเมริกัน) ที่กล่าวระหว่างรายงานข่าวว่า ยูเครนนั้น “ด้วยความเคารพ ไม่ใช่สถานที่เหมือนกับอิรักหรืออัฟกานิสถาน ที่มีความขัดแย้งโหมกระหน่ำมานานหลายทศวรรษ นี่เป็นสถานที่ที่ค่อนข้างมีอารยะธรรม ค่อนข้างเป็นยุโรป”
หรือจะเป็นผู้สื่อข่าวของ ITV (ช่องข่าวอังกฤษ) ที่รายงานว่า "นี่ไม่ใช่ประเทศกำลังพัฒนา ประเทศโลกที่สาม นี่คือยุโรป!” หรือจะเป็นข้อเขียนของแดเนียล แฮนแนน นักการเมืองอังกฤษและนักเขียนของ Telegraph บอกว่า "ยูเครนเป็นประเทศในยุโรป ผู้คนดู Netflix และมีบัญชี Instagram ลงคะแนนในการเลือกตั้งเสรีและอ่านหนังสือพิมพ์ที่ไม่เซ็นเซอร์ สงครามไม่ใช่สิ่งที่มาเยี่ยมเยียนประชากรที่ยากจนและทุรกันดาลอีกต่อไป”
เมื่อชาวตะวันตกพรรณนาความขัดแย้งเรื่องยูเครนแบบนี้จะไม่ให้ "คนส่วนใหญ่ของโลก" หงุดหงิดได้อย่างไร เพราะพวกเขายังมีความคิดเหยียดๆ แอบแฝงอยู่ และมันเผยตัวเองออกมาเมื่อสงคราม (ที่พวกเขามักไปก่อในประเทศอื่น) มาโผล่ที่หน้าประตูบ้าน
คนส่วนใหญ่เหล่านี้" ไม่ได้อยู่แค่ในแอฟริกา ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และเอเชียส่วนใหญ่ แต่ในใยุโรปก็มีมาก หนึ่งในนั้นคือ เอกตอร์ เบเยริน นักฟุตบอลอาชีพชาวสเปนและทีมชาติสเปนในสังกัดอาร์เซนอล/เรอัลเบติส เขาบอกกับ Marca สื่อกีฬาของสเปนว่า
“มันเกิดขึ้นในปาเลสไตน์ เยเมน อิรัก… ตอนนี้เรากำลังตัดสินใจว่ารัสเซียควรจะเล่นในฟุตบอลโลกหรือไม่ เอาจริงๆ แล้วนี้คือสิ่งที่ประเทศอื่นทำมาหลายปีแล้ว" และว่านี่ "เป็นการเหยียดเชื้อชาติที่เมินเฉยต่อความขัดแย้งอื่นๆ"
ด้วยทัศนคติแบบนี้นี่เองที่ทำให้ประเทศกำลังพัฒนาและผู้ที่ตาสว่างในประเทศพัฒนาแล้วรู้สึกรังเกียจพวกนักการเมืองตะวันตก รู้สึกเวทนาคนยูเครนเพราะพวกตนก็เคยมีชะตากรรมคล้ายๆ กัน แต่ก็หมั่นไส้รัฐบาลเซนเลนสกีที่
กระ

กระสนเข้าไปหาสงครามเอง
และ "คนส่วนใหญ่ของโลก" ไม่ได้โปรปูตินและไม่ได้โปรสงคราม เมื่อพวกเขาด่าตะวันตกและตำหนิเซนเลนสกี้
ตรงกันข้ามคนเหล่านี้เจ็บปวดกับสงครามและเจ็บแสบกับขูดรีดโดยประเทศอำนาจบาตรใหญ่ สิ่งที่เขาโปรคือ "ความยุติธรรมที่เท่าเทียมกันระหว่างประเทศ" และตำหนิ "ความหน้าไหว้หลังหลอก"
พวกเขารู้ดีว่าศึกยูเครน-รัสเซียไม่ใช่การต่อสู้ของ "ความดี-ความชั่ว" หรือ "เสรีภาพ-การกดขี่" หรือ "ประชาธิปไตย-เผด็จการ" แต่เป็นสงครามชิงอำนาจระหว่างโลกตะวันตกและโลกตะวันออก
นาโตก็ขยายอำนาจ รัสเซียก็ขยายอำนาจ ต่างฝ่ายต่างต้องการปักหมุดยึดพื้นที่ ไม้ว่าจะอ้างเหตุผลอะไรก็ตาม นี่คือการชิงความเป็นใหญ่ชัดๆ
แต่เพราะมองประเด็นไม่ขาด บางคนที่ "เชียร์" ศึกชิงอำนาจครั้งนี้จึงคิดแคบๆ ว่า พวกที่เข้าใจว่ารัสเซียทำลงไปทำไมนั้นไม่ต่างอะไรกับพวกเชียร์เผด็จการ และการเห็นใจยูเครนเท่ากับเป็นฝ่ายประชาธิปไตย
การคิดแบบนี้คับแคบเกินไป เพราะไม่ทุกคนที่ชอบปูตินและให้ท้ายการทำสงคราม หลายคนสงสารยูเครน แต่ก็ไม่ชอบแนวทางรุกตะวันออกของนาโต
โลกเราทุกวันนี้แตกแยกเป็นขั้ว คือ Polarized ความเห็นต่างขั้วตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์แบบขาวกับดำ เอ็งชั่ว-ข้าดี ข้าถูก-เอ็งผิด ไม่คิดว่าโลกเรามันสีเทาๆ จะขาวดำแบบปลอดๆ นั้นไม่มี
เอาจริงๆ สถานะการณ์แบบ Polarized นั้นเหมือนกับโลเป็น Bipolar มากกว่า คือมักจะแบ่งพวกทะะเลาะกันเป็นสองกลุ่มอย่างที่บอกไว้ข้างต้น โดยไม่อนุญาตให้คนที่ไม่ยอมเข้ากลุ่ม หรือคิดไม่เหมือนสองกลุ่มนี้เป็นอิสระ กลุ่มอื่นๆ พวกนี้จะถูกบีบให้ต้องเลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ดูอย่างอินเดียที่เป็นพันธมิตรชาติตะวันตกกลุ่ม QUOD ที่เอาไว้เล่นงานจีน (รวมถึงรัสเซียด้วย) แต่ไม่ยอมประณามรัสเซีย เพราะอินเดียนั้นมีมิตรไมตรีกับรัสเซียที่แนบแน่น อินเดียจึงถูกพวกพันธมิตร QUOD และลูกไล่ชาติตะวันตกกดดันไม่หยุด แม้แต่ญี่ปุ่นก็เอากับเขาด้วย
ไบเดนนั้นถึงกับออกปากว่าอินเดียนั้นค่อนข้างจะ "พึ่งพาไม่ได้" (somewhat shaky) ในเรื่องการประณามรัสเซีย
แต่การกดดันอินเดียอย่างหนักทำให้ชาวอินเดียแสดงพลังอย่างไม่เคยมาก่อนในการตอบโต้ตะวันตกตามแพลตฟอร์มข่าวต่างๆ ความที่คนอินเดียเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษอยู่แล้ว เราจึงเห็นทัศนะแบบสวนกลับชาวตะวันตกที่ต่อต้านการรุกรานยูเครนมากขึ้นเรื่อยๆ
อีกครั้งต้องย้ำว่าคนอินเดียก็ไม่ได้สนับสนุนสงคราม เพียงแต่พวกเขายอมไม่ได้ที่พันธมิตรตะวันตกจะชี้นิ้วสั่งให้ประเทศเขาทำโน่นทำนี่ตามใจชอบ
ชาติตะวันตกนั้นออกปากว่ารัสเซีย "หยิ่งยะโส" แต่ก็ไม่ได้ดูตัวเองว่าหยิ่งยะโสเสียยิ่งกว่าจนคิดว่าส่วนใหญ่ของโลกจะ
ต้องหันว้ายหันขวาเพื่อพวกเขาออกคำสั่ง
ความหยิ่งยะโสนี้เกิดจากการที่ตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐเป็นมหาอำนาจเดี่ยว (Unipolar) มานาน จนคิดว่าตัวเองสั่งคนทั้งโลกได้
ดังที่ไบเดนออกปากมาแล้วว่าโลกเราถึงจุดกเปลี่ยน และ "มันกำลังจะมีระเบียบโลกใหม่ และเราจะเป็นผู้นำ (ระเบียบโลก) เราจำเป็นต้องสร้างเอกภาพของประเทศโลกเสรีในการทำเช่นนี้"
ความคิดแบบนี่แหละที่เรียกว่าหยิ่งยะโส และนำไปสู่การเผชิญหน้ากับประเทศที่ไม่ยอมจำนนกับระเบียบโลกที่พวกนี้ยัดเยียดให้
หากปูตินจะมีคุณความดีอยู่บ้างในตอนนี้ ก็คงจะเห็นการที่เขาเปลือยนิสัยสันดานแท้จริงของโลกตะวันตกเสียล่อนจ้อนนั่นเอง
คุณว่าชาวโลกเริ่มเหลือทนกับมหาอำนาจที่หลอกให้ยูเครนพังพินาศเพื่อทำลายเศรษฐกิจรัสเซียกันหรือยัง
จาก นสพ POST TODAY
บทความทัศนะโดย กรกิจ ดิษฐาน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ไม่ได้เชียร์ปูติน ไม่ได้ชอบสงคราม แต่เหลือทนกับมหาอำนาจบาตรใหญ่
สงครามคือความโหดร้ายแต่การเมืองก็โหดร้ายเช่นกัน ขณะที่สงครามอาจจะนับเหยื่อได้ง่าย แต่เหยื่อจากการชิงอำนาจทางการเมืองโลกอาจจะนับยากยิ่งกว่า ผู้เขียนเห็นความเห็นหนึ่งแพล็ตฟอร์มข่าวต่างประเทศ เจ้าของคอมเมนต์บอกในทำนองว่า ชาวแอฟริกัน ชาวลาตินอเมริกัน ชาวตะวันออกกลาง ชาวเอเชียส่วนใหญ่ต่างก็ "เข้าอกเข้าใจรัสเซีย" ที่ต้องรุกรานยูเครน มีแต่ชาติตะวันตกกับ "สมุน" ไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่พยายามทำให้รัสเซียเป็นผู้ร้าย ส่วนตัวเองเป็นพระเอก
บอกตามตรงว่าผู้เขียนคิดคล้ายๆ กันเรื่องคนส่วนใหญ่ของโลก (อย่างน้อยเท่าที่อ่านผ่านตาในช่องคอมเมนต์ข่าว) ถ้าไม่เห็นใจรัสเซียก็ประณามชาติตะวันตกว่าเป็นตัวการของสงคราม
ผู้เขียนยังเห็นแนวโน้มของการตำหนิผู้นำยูเครนที่คล้อยตามชาติตะวันตก ตะบี้ตะบันที่จะพายูเครนเป็นสมาชิกนาโตให้ได้ ทั้งๆ ที่น่าจะรู้ว่าเป็นการบีบให้รัสเซียต้องลงมือ
ผู้เขียนคิดคล้ายๆ กับคนเหล่า แต่ตัวผู้เขียนไม่สนับสนุนสงคราม คิดว่าการใช้กำลังทหารของปูตินโหดร้ายและเร่งรีบเกินไปจนเกิดความเสียหายในวงกว้าง และที่สำคัญผู้เขียน "ไม่ใช่แฟนปูติน"
ด้วยความสัตย์จริง ผู้เขียนทำงานด้านข่าวต่างประเทศมาเกือบ 20 ปีแล้ว ไล่หลังปูตินก้าวขึ้นสู่อำนาจไม่กี่ปี เห็นการพลิกโฉมรัสเซียจากยักษ์ป่วย จนกลายเป็นมหาอำนาจอีกครั้ง เห็นปูตินที่ผู้คนทั่วโลกชื่นชม จนวันนี้กลายเป็นคนที่มองเป็น "ตัวโกง"
จากวันนั้นถึงวันนี้ ผู้เขียนติดตามข่าวของปูตินห่างๆ ไม่ได้ชื่นชมโสมนัสเหมือนบางคนที่ยกให้เป็นผู้นำผู้เปี่ยมความสามารถราวกับไร้ที่ติ ปูตินนั้นแม้จะทำให้รัสเซียพ้นจากกาลียุคมาได้ก็จริง แต่เขาก็กำจัดฝ่ายตรงข้ามอย่างร้ายกาจเช่นกัน
และผู้เขียนก็ไม่ได้ชื่นชอบระบอบอำนาจนิยม/เผด็จการ เพราะไม่ชอบให้ใครมาบังคับ ซึ่งรัสเซียยุคปูตินนั้นประชาชนถูกบีบมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ผู้เขียนนึกถึงมงแต็สกีเยอ นักปรัชญาฝรั่งเศสที่ชี้ว่าระบอบเผด็จการนั้นเหมาะกับประเทศใหญ่ๆ ส่วนประเทศเล็กๆ นั้นเหมาะกับระบอบมหาชนรัฐ (หรือประชาธิปไตยเสรี)
นี่เป็นความคิดสมัยศตวรรษที่ 18 แต่เราจะเห็นว่ามันยังเป็นจริงอยู่บ้างในยุคสมัยนี้ คือกรณีของรัสเซียและจีน โดยมีสหรัฐเป็นข้อยกเว้น
รัสเซียนั้นแพแตกเมื่อสิ้นระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์ เมื่อมีผู้นำประชาธิปไตยก็อ่อนปวกเปียกจนคานอำนาจพวะตกตะวันตกไม่ได้ ทำให้พวกตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐกุมอำนาจเดี่ยวในเวทีการเมืองโลก
อำนาจบาตรใหญ่ของชาติตะวันตกในฐานะเจ้าโลกเดี่ยวนั้นเห็นได้จากบทความของผู้เขียนเรื่อง "โจมตีประเทศอื่นตามใจชอบ นาโตทำได้ คนอื่นทำไม่ได้!" ในกรณีบอมบ์ยูโกสลาเวียตามใจชอบ
มองอีกแง่หนึ่งไอ้การกุมอำนาจแต่ผู้เดียวของบางประเทศ (Hegemony) นั้น มันต่างจากเผด็จการตรงไหน?
พอรัสเซียได้ปูตินและปูตินบริหารดีจนประชาชนพอใจมากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็เริ่มทำตัวเป็นผู้นำแบบที่รัสเซียต้องการ นั่นคือเผด็จการ
ส่วนจีนนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ในยุคสาธารณรัฐที่คนคาดหวังว่าจีนจะมีประชาธิปไตยนั้น นอกจากจะพังไม่เป็นท่าแล้ว ยังแบ่งเป็นก๊กบดขยี้กันเองด้วยซ้ำ จนกระทั่งเผด็จการคอมมิวนิสต์เข้ามากุมอำนาจเดียวและจัดระเบียบจนจีนเป็นจีนที่แกร่งดังทุกวันนี้
คนไทยบางคนอาจคิดว่าเผด็จการแบบนี้สมควรแบบประเทศมให้บริหาร แต่ผู้เขียนขอบอกว่า "ตรองดูให้ดี" เพราะคุณภาพของผู้นำเผด็จการบ้านเราอาจไม่เท่าจีนหรือปูติน
กลับมาที่ความเป็นเผด็จการของปูติน
ด้วยความที่ชาติตะวันตกโปรโมทระบอบการเมืองของตัวเองอย่างหนักในช่วงกุมอำนาจเดี่ยวในเวทีการเมืองโลก ทำให้เราๆ คิดว่า "ประชาธิปไตยเสรี" แบบตะวันตกมันคือทุกสิ่งทุกอย่าง มันดีงามที่สุด มันมีแต่ความเท่าเเทียมดังยุคพระศรีอาริย์
แต่ประชาธิปไตยนั้นไม่จำเป็นต้องลอกแบบใคร ขอเพียงให้อำนาจประชาชนตัดสินใจชะตากรรมตัวเอง มีระบอบการถ่วงดุลอำนาจที่ดี และมีความโปร่งใสเรื่องการบริหาร เราก็สามารถสร้างประชาธิปไตยในรูปแบบของเราได้
แต่เพราะการโฆษณาของชาติตะวันตกที่ยกตัวเองว่าดีเลิศ คนอื่นชั่วช้านั้น ทำให้ความขัดแย้งระหว่างประเทศหลายๆ เรื่องถูกเบี่ยงประเด็นจากเรื่องการชิงอำนาจ กลายเป็นเรื่องฮีโร่ประชาธิปไตยกอบกู้โลกจากเผด็จการที่โหดร้าย
ประชาชนในประเทศโลกที่สาม/ประเทศชายของต่างรู้เช่นเห็นชาติการกระทำอำพรางพวกนี้ดี เพราะประเทศของ
พวกเขาถูกย่ำยีจากตะวันตกโดยอ้างว่าจะช่วยสร้างความศิวิไลซ์บ้าง (ข้ออ้างสมัยล่าอาณานิคม) จะช่วยสร้างประชาธิปไตยบ้าง (ข้ออ้างสมัยลัทธิจักรพรรดินิยมใหม่คือยุคนี้)
เชื่อหรือไม่ว่าในสงครามยูเครน พวกตะวันตกและคนยูเครนเองก็ยังยึดติดกับแนวคิดว่า "เราคือผู้ศิวิไลซ์" ส่วนรัสเซียนั้นเป็นดังพวก "อนารยชน"
รัสเซียแม้จะฝรั่งเหมือนกัน แต่พวกยุโรประแวงว่าเป็นพวกครึ่งชาติยูเรเชีย ทั้งยังใหญ่โตและทรงอำนาจ ต่างจากชาติตะวันตกที่ประกอบด้วยรัฐเล็กๆ ย่อมๆ ต้องรวมตัวกันเพื่อความอยู่รอด ทำไม่ค่อยอยากจะให้รัสเซียเป็น "พวกเดียวกับเรา"
นั่นก็เรื่องหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่งก็คือชาวตะวันตกแม้จะพยายามบอกชาวโลกว่าพวกเขา "อารยะ" ไม่เหยียดชาติพันธุ์ใดแต่การกระทำในช่วงสงครามยูเครนทำให้ชาวโลกต้องย่นคิ้วด้วยความสงสัยว่าที่ผ่านมามันเป็นการเล่านละครหรือไร?
จะขอยกตัวอย่าง ผู้สื่อข่าวต่างประเทศอาวุโสของ CBS News (ช่องข่าวอเมริกัน) ที่กล่าวระหว่างรายงานข่าวว่า ยูเครนนั้น “ด้วยความเคารพ ไม่ใช่สถานที่เหมือนกับอิรักหรืออัฟกานิสถาน ที่มีความขัดแย้งโหมกระหน่ำมานานหลายทศวรรษ นี่เป็นสถานที่ที่ค่อนข้างมีอารยะธรรม ค่อนข้างเป็นยุโรป”
หรือจะเป็นผู้สื่อข่าวของ ITV (ช่องข่าวอังกฤษ) ที่รายงานว่า "นี่ไม่ใช่ประเทศกำลังพัฒนา ประเทศโลกที่สาม นี่คือยุโรป!” หรือจะเป็นข้อเขียนของแดเนียล แฮนแนน นักการเมืองอังกฤษและนักเขียนของ Telegraph บอกว่า "ยูเครนเป็นประเทศในยุโรป ผู้คนดู Netflix และมีบัญชี Instagram ลงคะแนนในการเลือกตั้งเสรีและอ่านหนังสือพิมพ์ที่ไม่เซ็นเซอร์ สงครามไม่ใช่สิ่งที่มาเยี่ยมเยียนประชากรที่ยากจนและทุรกันดาลอีกต่อไป”
เมื่อชาวตะวันตกพรรณนาความขัดแย้งเรื่องยูเครนแบบนี้จะไม่ให้ "คนส่วนใหญ่ของโลก" หงุดหงิดได้อย่างไร เพราะพวกเขายังมีความคิดเหยียดๆ แอบแฝงอยู่ และมันเผยตัวเองออกมาเมื่อสงคราม (ที่พวกเขามักไปก่อในประเทศอื่น) มาโผล่ที่หน้าประตูบ้าน
คนส่วนใหญ่เหล่านี้" ไม่ได้อยู่แค่ในแอฟริกา ลาตินอเมริกา ตะวันออกกลาง และเอเชียส่วนใหญ่ แต่ในใยุโรปก็มีมาก หนึ่งในนั้นคือ เอกตอร์ เบเยริน นักฟุตบอลอาชีพชาวสเปนและทีมชาติสเปนในสังกัดอาร์เซนอล/เรอัลเบติส เขาบอกกับ Marca สื่อกีฬาของสเปนว่า
“มันเกิดขึ้นในปาเลสไตน์ เยเมน อิรัก… ตอนนี้เรากำลังตัดสินใจว่ารัสเซียควรจะเล่นในฟุตบอลโลกหรือไม่ เอาจริงๆ แล้วนี้คือสิ่งที่ประเทศอื่นทำมาหลายปีแล้ว" และว่านี่ "เป็นการเหยียดเชื้อชาติที่เมินเฉยต่อความขัดแย้งอื่นๆ"
ด้วยทัศนคติแบบนี้นี่เองที่ทำให้ประเทศกำลังพัฒนาและผู้ที่ตาสว่างในประเทศพัฒนาแล้วรู้สึกรังเกียจพวกนักการเมืองตะวันตก รู้สึกเวทนาคนยูเครนเพราะพวกตนก็เคยมีชะตากรรมคล้ายๆ กัน แต่ก็หมั่นไส้รัฐบาลเซนเลนสกีที่
กระ
และ "คนส่วนใหญ่ของโลก" ไม่ได้โปรปูตินและไม่ได้โปรสงคราม เมื่อพวกเขาด่าตะวันตกและตำหนิเซนเลนสกี้
ตรงกันข้ามคนเหล่านี้เจ็บปวดกับสงครามและเจ็บแสบกับขูดรีดโดยประเทศอำนาจบาตรใหญ่ สิ่งที่เขาโปรคือ "ความยุติธรรมที่เท่าเทียมกันระหว่างประเทศ" และตำหนิ "ความหน้าไหว้หลังหลอก"
พวกเขารู้ดีว่าศึกยูเครน-รัสเซียไม่ใช่การต่อสู้ของ "ความดี-ความชั่ว" หรือ "เสรีภาพ-การกดขี่" หรือ "ประชาธิปไตย-เผด็จการ" แต่เป็นสงครามชิงอำนาจระหว่างโลกตะวันตกและโลกตะวันออก
นาโตก็ขยายอำนาจ รัสเซียก็ขยายอำนาจ ต่างฝ่ายต่างต้องการปักหมุดยึดพื้นที่ ไม้ว่าจะอ้างเหตุผลอะไรก็ตาม นี่คือการชิงความเป็นใหญ่ชัดๆ
แต่เพราะมองประเด็นไม่ขาด บางคนที่ "เชียร์" ศึกชิงอำนาจครั้งนี้จึงคิดแคบๆ ว่า พวกที่เข้าใจว่ารัสเซียทำลงไปทำไมนั้นไม่ต่างอะไรกับพวกเชียร์เผด็จการ และการเห็นใจยูเครนเท่ากับเป็นฝ่ายประชาธิปไตย
การคิดแบบนี้คับแคบเกินไป เพราะไม่ทุกคนที่ชอบปูตินและให้ท้ายการทำสงคราม หลายคนสงสารยูเครน แต่ก็ไม่ชอบแนวทางรุกตะวันออกของนาโต
โลกเราทุกวันนี้แตกแยกเป็นขั้ว คือ Polarized ความเห็นต่างขั้วตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์แบบขาวกับดำ เอ็งชั่ว-ข้าดี ข้าถูก-เอ็งผิด ไม่คิดว่าโลกเรามันสีเทาๆ จะขาวดำแบบปลอดๆ นั้นไม่มี
เอาจริงๆ สถานะการณ์แบบ Polarized นั้นเหมือนกับโลเป็น Bipolar มากกว่า คือมักจะแบ่งพวกทะะเลาะกันเป็นสองกลุ่มอย่างที่บอกไว้ข้างต้น โดยไม่อนุญาตให้คนที่ไม่ยอมเข้ากลุ่ม หรือคิดไม่เหมือนสองกลุ่มนี้เป็นอิสระ กลุ่มอื่นๆ พวกนี้จะถูกบีบให้ต้องเลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
ดูอย่างอินเดียที่เป็นพันธมิตรชาติตะวันตกกลุ่ม QUOD ที่เอาไว้เล่นงานจีน (รวมถึงรัสเซียด้วย) แต่ไม่ยอมประณามรัสเซีย เพราะอินเดียนั้นมีมิตรไมตรีกับรัสเซียที่แนบแน่น อินเดียจึงถูกพวกพันธมิตร QUOD และลูกไล่ชาติตะวันตกกดดันไม่หยุด แม้แต่ญี่ปุ่นก็เอากับเขาด้วย
ไบเดนนั้นถึงกับออกปากว่าอินเดียนั้นค่อนข้างจะ "พึ่งพาไม่ได้" (somewhat shaky) ในเรื่องการประณามรัสเซีย
แต่การกดดันอินเดียอย่างหนักทำให้ชาวอินเดียแสดงพลังอย่างไม่เคยมาก่อนในการตอบโต้ตะวันตกตามแพลตฟอร์มข่าวต่างๆ ความที่คนอินเดียเชี่ยวชาญภาษาอังกฤษอยู่แล้ว เราจึงเห็นทัศนะแบบสวนกลับชาวตะวันตกที่ต่อต้านการรุกรานยูเครนมากขึ้นเรื่อยๆ
อีกครั้งต้องย้ำว่าคนอินเดียก็ไม่ได้สนับสนุนสงคราม เพียงแต่พวกเขายอมไม่ได้ที่พันธมิตรตะวันตกจะชี้นิ้วสั่งให้ประเทศเขาทำโน่นทำนี่ตามใจชอบ
ชาติตะวันตกนั้นออกปากว่ารัสเซีย "หยิ่งยะโส" แต่ก็ไม่ได้ดูตัวเองว่าหยิ่งยะโสเสียยิ่งกว่าจนคิดว่าส่วนใหญ่ของโลกจะ
ต้องหันว้ายหันขวาเพื่อพวกเขาออกคำสั่ง
ความหยิ่งยะโสนี้เกิดจากการที่ตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐเป็นมหาอำนาจเดี่ยว (Unipolar) มานาน จนคิดว่าตัวเองสั่งคนทั้งโลกได้
ดังที่ไบเดนออกปากมาแล้วว่าโลกเราถึงจุดกเปลี่ยน และ "มันกำลังจะมีระเบียบโลกใหม่ และเราจะเป็นผู้นำ (ระเบียบโลก) เราจำเป็นต้องสร้างเอกภาพของประเทศโลกเสรีในการทำเช่นนี้"
ความคิดแบบนี่แหละที่เรียกว่าหยิ่งยะโส และนำไปสู่การเผชิญหน้ากับประเทศที่ไม่ยอมจำนนกับระเบียบโลกที่พวกนี้ยัดเยียดให้
หากปูตินจะมีคุณความดีอยู่บ้างในตอนนี้ ก็คงจะเห็นการที่เขาเปลือยนิสัยสันดานแท้จริงของโลกตะวันตกเสียล่อนจ้อนนั่นเอง