JJNY : 5in1 ฟังวินจยย.│ชาวนาเชียงใหม่งดทำนาปรัง│โรงแรมเหนือจี้‘เคลียร์บิล’│พท.เปิดตัวนโยบายกรุงเทพฯ│สลดนักข่าวสาวรัสเซีย

ฟังเสียงวินจยย. หลังรัฐบาล ช่วยค่าน้ำมันเดือนละ250 บ่นอุบ จะพอได้ไง ลดราคาน้ำมันยังดีกว่า
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_6960040
 
 
ฟังเสียงวินจยย. หลังรัฐบาล ช่วยค่าน้ำมันเดือนละ250 บ่นอุบ จะพอได้ไง ลดราคาน้ำมันยังดีกว่า เผยปกติค่าน้ำมัน วันละ 150 เฉลี่ยต่อเดือนประมาณ  3,000 บาท
   
จากกรณีที่รัฐบาลมีมาตรการ ช่วยเหลือค่าครองชีพ โดยช่วยค่าน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ ให้กับผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมการขนส่งทางบก ทั้งหมด 157,000 คน โดยจ่ายให้เดือนละ 250 บาท เป็นระยะ 3 เดือน คาดว่าจะเริ่มต้นตั้งแต่เดือน พ.ค. ไปจนถึงเดือน ก.ค. ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุด วันที่ 24 มี.ค. 2565 ข่าวสดออนไลน์ ลงพื้นที่สอบถามความคิดเห็น ผู้ที่ประกอบอาชีพขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ในพื้นที่กทม.เกี่ยวกับมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพของรัฐบาล ที่จะช่วยเหลือจ่ายค่าน้ำมัน เดือนละ 250 บาท
 
จากการสอบถามนายไพบูลย์ โพธิวัฒน์ อายุ 65 ปี อาชีพ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง กล่าวว่า เงิน250 บาท นั้น ไม่เพียงพอ เขาก็คิดเป็นเศษเงินของเขา มาตรการดีที่สุดก็ต้องลดค่าน้ำมันลง ไหนบอกว่าประเทศไทยมีแก๊สเยอะ ทำไมต้องไปอิงจากต่างประเทศ ปกติตนจ่ายค่าน้ำมัน วันละ 150 บาท เฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 3,000 บาท ที่รัฐจะช่วยจ่ายค่าน้ำมัน 250 บาทต่อเดือน จะช่วยอะไรได้ ก็ช่วยได้แค่ 1-2 วัน แล้วอีก 20 กว่าวัน จะทำอย่างไร
 
มาตรการนี้เหมือนขายผ้าเอาหน้ารอด ทุกวันนี้เดือดร้อนของแพงหมดทุกอย่าง แต่ถ้าจะให้วินขึ้นราคาค่าโดยสาร ก็ไม่ได้เดี๋ยวมีปัญหาอีก พวกตนตรึงราคาค่าโดยสารไว้ปกติเลย วิ่งไม่เกิน 2 กม. ราคา 25 บาท ตนยังเก็บแค่ 10 – 15 บาทเท่านั้น ทุกวันนี้รายได้แทบจะไม่พอ หลังโควิดรายได้หายไปเยอะจากเมื่อก่อน อยากฝากถึงรัฐบาลเรื่องน้ำมัน ก็อยากให้ช่วยลดลงบ้าง ราคาน้ำมันพุ่งไป 40 บาทแล้ว มันไม่ไหวแล้ว
 
นายนันท์มนัส พงษ์พียะ อายุ 50 ปี อาชีพ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง กล่าวว่า ตนคิดว่าไม่สามารถมาชดเชยกันได้ พวกตนขับวินกันทุกวัน เติมน้ำมันต่อวันก็ 150 บาท จากเมื่อก่อนเติมน้ำมันลิตรละ 20 กว่าบาท ขับวินวันหนึ่งก็ได้ 400 – 500 บาท แต่ทุกวันราคาน้ำมันขึ้นแทบจะทุกอาทิตย์ มันส่งผลกระทบเพราะรายได้น้อยลง ถ้ารัฐบาลจะช่วยจ่ายค่าน้ำมัน 250 บาท
 
ตนคิดว่าช่วยไม่ตรงจุด ยังไงก็ไม่พอ ค่าครองชีพทุกวันนี้ของทุกอย่างมันขึ้นราคาหมด ได้รับผลกระทบรายจ่ายเพิ่มขึ้น แต่รายได้ลดลง ราคาค่าโดยสารก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น ทางที่ดีถ้ารัฐบาลคิดช่วย น่าจะเข้าไปปรับลดภาษีน้ำมัน ปรับลดเงินกองทุนน้ำมัน หรือนำเงินส่วนนี้มาชดเชยให้ประชาชนดีกว่า
 
นายฐาปกรณ์ ฉายลิ่ม อายุ 20 ปี อาชีพ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง กล่าวว่า ที่รัฐบาลจะช่วยจ่ายค่าน้ำมัน เดือนละ 250 บาท มันน้อยมากไม่พอหรอก วันหนึ่งก็เติม 200 บาท โควิดราคาน้ำมันแพง ลิตรละ 40 บาท ผู้โดยสารก็น้อย อยากให้รัฐบาลช่วยมากกว่านี้ ให้ราคาน้ำมันถูกลงหน่อย คนหาเช้ากินค่ำจะได้มีรายได้
 

 
ราคาปุ๋ยแพง! ชาวนาเชียงใหม่งดทำนาปรัง
https://www.nationtv.tv/news/378867814

ชาวนาดอยสะเก็ด เชียงใหม่ งดปลูกข้าวนาปรังเหตุปุ๋ยแพง ต้นทุนพุ่งสูงกว่า 2 เท่าตัว ไม่คุ้มกับการลงทุน อยากให้รัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือชาวนาโดยไม่ต้องผ่านหน่วยงาน
 
เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2565 นายกิตติศักดิ์ จันทร์ไพศรี ชาวนาอำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ช่วงนี้ชาวนาในพื้นที่อำเภอดอยสะเก็ด  จังหวัดเชียงใหม่ บางรายได้งดปลูกข้าวนาปรัง เนื่องจากทางชลประทานขอความร่วมมืองดปลูกข้าวนาปรัง ประกอบกับราคาปุ๋ยปรับเพิ่มขึ้นสูงมากกว่า 2 เท่าตัว ทำให้ชาวนาส่วนใหญ่เกรงว่าหากปลูกข้าวในช่วงนี้อาจจะไม่คุ้มกับการลงทุน
 
โดยปกติราคาปุ๋ยที่ชาวนานำมาใช้เพื่อการปลูกข้าวอยู่ที่ราคาประมาณ 510 บาท ปัจจุบันราคาเพิ่มขึ้นเป็น 1,440 บาท ซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตที่สูงมาก จากเดิมมีต้นทุนการปลูกต่อไร่ที่ 4,000 บาท สูงขึ้นเป็น 6,000 บาท ทันที ทั้งนี้ยังไม่รวมกับ ค่าจ้างรถเก็บเกี่ยวและรถขนข้าวเพื่อนำไปจำหน่าย ขณะที่ผลผลิตต่อไร่จะได้ประมาณเพียง 800 กิโลกรัม จำหน่ายเป็นข้าวเปลือกในราคากิโลกรัมละ 6 บาท เท่านั้นและมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงจึงไม่คุ้มที่จะลงทุนในช่วงนี้
 
สำหรับเรื่องราคาปุ๋ยที่แพงขึ้น แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาประกาศว่าจะเข้ามาช่วยเหลือ แต่ยังไม่สามารถดำเนินการอะไรได้ ตอนนี้ชาวนาบางส่วนต้องหยุดทำนาไปเพราะเกรงว่าจะไม่คุ้มกับการลงทุน การที่รัฐบาลจะเข้ามาช่วยประกันรายได้นั้น ชาวนาไม่ได้ต้องการ เนื่องจากในความเป็นจริงการประกันรายได้ เป็นในลักษณะให้พ่อค้าคนกลาง หรือโรงสีนำเงินมาซื้อข้าวชาวนาในราคาต่ำโดยมีรัฐบาลเข้ามาช่วยพยุงราคา หลังจากนั้นพ่อค้านำข้าวไปจำหน่ายในราคาที่สูงกว่าราคารับซื้อเป็นจำนวนมาก อยากให้รัฐบาลเข้ามาช่วยชาวนาโดยตรงโดยไม่ต้องผ่านหน่วยงานอื่น ที่ผ่านมารัฐบาลไม่เคยเข้ามาช่วยเหลืออย่างจริงจังและแก้ไขปัญหาได้อย่างยั่งยืน


 
โรงแรมเหนือจี้รัฐ ‘เคลียร์บิล’ เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3
https://www.nationtv.tv/news/378867816

ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมภาคเหนือ ครวญประสบปัญหาไม่ได้เงินสบทบร้อยละ 40 คืนจากโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3
 
เบื้องต้นมีมูลค่ารวมหลักสิบล้านบาท จนกระทบการหมุนเวียนเงินในการทำธุรกิจ วอนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเคลียร์ข้อกังขา-เงินตกค้างให้หมด เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ 

               ในส่วนของจังหวัดเชียงใหม่ มีผู้ประกอบการโรงแรมเข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกัน  จำนวน 224 แห่ง และร้านอาหาร 96 แห่ง ตอนนี้ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าได้รับผลกระทบกันมากน้อยขนาดไหน ซึ่งเชื่อว่า ในเฟส 3 มีผู้ประกอบการโรงแรมหลายแห่ง ที่ยังไม่ได้รับเงินสบทบคืน น่าจะมีตั้งแต่หลักพันบาทจนถึงหลักแสนบาทต่อแห่ง  ในระหว่างนี้ คงจะมีการสำรวจจากผู้ประกอบการกันอีกครั้ง เพื่อไม่ให้เกิดการตกค้าง หรือหากว่าบางแห่งไม่ได้รับเงิน ภาครัฐก็ต้องมีการชี้แจงว่าเกิดจากสาเหตุอะไร เพื่อให้ธุรกิจภาพรวมเดินต่อไปได้

               “ขณะนี้โรงแรมในจังหวัดเชียงใหม่กลับมาเปิดบริการเพียง 30,000 ห้อง จากที่มีทั้งหมด 60,000 ห้อง และอัตราเข้าพักอยู่ที่ร้อยละ 10-15 เท่านั้น  ซึ่งก็ถือว่าธุรกิจอยู่ในภาวะที่ไม่ดีติดต่อกันมาหลายปีแล้ว แต่ที่ผ่านมา ก็ยอมรับว่าภาครัฐได้ให้การช่วยเหลือหลายอย่าง แต่เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ก็ต้องเร่งดำเนินการ เพื่อไม่ให้เกิดเป็นปัญหาสะสม เพราะตอนนี้ก็อยู่ในช่วงของโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 4 ซึ่งก็ถือว่าไม่ค่อยคักคัก มีการใช้สิทธิ์ทั้งประเทศไป 1.3ล้านสิทธิ์จากทั้งหมด 2 ล้านสิทธิ์” นางละเอียด กล่าว          
             
ไร้เงินทุนหมุนเวียน-นักท่องเที่ยวซบเซา
 
นายวีรวิทย์ แสงจักร ประธานกลุ่มผู้ประกอบการที่พักขนาดเล็ก(ล่ามช้าง)จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ยอมรับว่ามีโรงแรมหลายแห่งในจังหวัดเชียงใหม่ที่เข้าโครงการเราเที่ยวด้วยกันแล้วกำลังประสบปัญหาไม่ได้รับเงินสบทบร้อยละ 40 คืนจากภาครัฐ ซึ่งมูลค่ารวมกันน่าจะหลายล้านบาท ทำให้โรงแรมได้รับผลกระทบแทนที่จะมีรายได้เข้ามาหมุนเวียนในภาวะที่ธุรกิจซบเซา กลับต้องมาเสียเวลาในการติดตามเงินว่าจะเข้ามาในระบบได้เมื่อไหร่ ซึ่งในส่วนของเฟส 4 ก็เริ่มมีโรงแรมหลายแห่งอาจจะไม่อยากเข้าร่วมโครงการ โดยขณะนี้เชื่อว่าไม่ได้เกิดขึ้นที่เชียงใหม่จังหวัดเดียว แต่น่าจะเจอปัญหาเหมือนกันทั่วประเทศ เป็นเรื่องที่ภาครัฐต้องแก้ไขโดยด่วน
 
                นายวิโรจน์ ชายา นายกสมาคมโรงแรมจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า สำหรับจังหวัดเชียงรายมีโรงแรม 600 แห่ง และเข้าร่วมโครงการเราเที่ยวด้วยกัน 300 แห่ง ซึ่งในเฟส 1 และเฟส 2 ไม่มีปัญหาอะไร ได้เงินสบทบเข้ามาตามเวลาที่กำหนด แต่ในเฟส 3 กลับพบปัญหาเกิดขึ้น เท่าที่ีสอบถามมีมากกว่า 20 แห่งที่ไม่ได้รับเงินสบทบร้อยละ 40 คืนจากภาครัฐ มูลค่าน่าจะไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งได้มีการประสานไปยังการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ก็ได้รับคำตอบว่าตรวจสอบข้อมูล ซึ่งเมื่อเกิดความล่าช้าแบบนี้ทำให้ได้รับความเดือดร้อนกันเป็นอย่างมาก เพราะธุรกิจไม่ได้คึกคัก และมีรายจ่ายทุกวัน ทุกแห่งต่างต้องการรายได้มาหมุนเวียนในธุรกิจ
 
            ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส่วนหนึ่งของความล่าช้าในการโอนเงินค่าสบทบในโครงการเที่ยวด้วยกัน เฟส 3  คืนให้กับผู้ประกอบการโรงแรมล่าช้านั้น เนื่องจากมีบางโรงแรมที่อาจจะต้องถูกตรวจสอบความโปร่งใส   เช่น กรณีที่มีการพักเกิน 5 วัน หรือกรณีที่ไม่สามารถสแกนใบหน้าของคนเข้าพักได้ รวมไปถึงมีบางโรงแรมที่มีไม่ปฎิบัติตามเงื่อนไขที่ภาครัฐกำหนดไว้
 

 
พรรคเพื่อไทย จัดงานเปิดตัวนโยบายกรุงเทพฯ
https://www.innnews.co.th/news/politics/news_311724/
 
พรรคเพื่อไทย จัดงานเปิดตัวนโยบายกรุงเทพฯ และเปิดตัวผู้สมัคร ส.ก.ของพรรคทั้ง 50 เขต
 
พรรคเพื่อไทย จัดงานเปิดตัวนโยบายกรุงเทพฯ และเปิดตัวผู้สมัคร ส.ก.ของพรรคทั้ง 50 เขต ภายใต้แคมเปญ “BANGKOK BLING กรุงเทพฯ มั่งคั่ง” เน้นนโยบายสะท้อนให้เห็นภาพว่า การเลือกพรรคเพื่อไทยคือการเลือกอนาคตที่มั่งคั่งให้กับคนกรุงเทพฯ โดยมีแกนนำพรรค นำโดยนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่านและหัวหน้าพรรค ,นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค รวมถึงนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัฒกรรม และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยไปจนถึงแกนนำของพรรคและส.ส. และสมาชิกพรรคเพื่อไทน เข้าร่วมงาน ท่ามกลางมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เข้มข้น
 
โดยนางสาวแพทองธาร เปิดเผยภายหลังการเปิดตัวว่าที่ผู้สมัครสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร หรือ ส.ก.พรรคเพื่อไทยทั้ง 50 เขต ว่า ตนขอเคลียร์ตารางงานก่อน เนื่องจากมีงานประจำที่ทำอยู่ แต่ยืนยันว่าหากมีเวลาจะลงพื้นที่ช่วยผู้สมัครทุกคนแน่นอน รวมถึงการลงพื้นที่รับสมัครสมาชิกครอบครัวเพื่อไทยในต่างจังหวัดด้วย
 
ด้านนายแพทย์ชลน่าน กล่าวว่า ในฐานะที่พรรคเพื่อไทยเป็นสถาบันการเมือง เราเห็นคุณค่าของอนาคตน กทม. ซึ่งมีความสำคัญ และโอกาสนี้เป็นโอกาสของพี่น้องชาว กทม. ในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. และ ส.ก. โดยพรรคเพื่อไทยปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะส่งผู้สมัครทั้ง 50 เขต เพราะเห็นความสำคัญของบทบาท ส.ก. เนื่องจาก ส.ก.ทั้ง 50 คน คือผู้กำหนดอนาคตของชาว กทม.ได้ เนื่องจากเงินงบประมาณจำนวน 1 แสนล้านบาทต่อปี มาจากการอนุมัติโดยสภากทม. ซึ่งนโนบายอยู่ที่การเสนอแนะ ผลักดัน และสนับสนุนจากการทำงานของผู้ว่า ฝ่ายบริหาร และส.ก. ซึ่งพรรคพท.มีนโยบายที่จะผลักดันเข้าไปผ่าน ส.ก. ด้วย
 
นอกจากนี้ ผู้สมัครทั้ง 50 คน คือบุคคลที่ผ่านมาการคัดเลือก คัดสรรมาอย่างดีเป็นทั้งอดีตส.ก. ส.ข. ซึ่งมีประสบการณ์ในพื้นที่ และสภาฯ และยังมีคนรุ่นใหม่ที่เป็นส่วนผสมผสานในการเข้ามารับใช้ประชาชน ทั้งนี้ ส.ก.ของพรรคทำหน้าที่จริงในพื้นที่ เราไม่ได้คัดคนที่ไม่ทำงาน ไม่มีประสบการณ์ เรารู้แก่ใจดีว่าส.ก.ของเราทำหน้าที่รับใช้ประชาชนมาอย่างเพียบพร้อม จึงเป็นการตอบโจทย์วันนี้ว่า เลือกเพื่อไทยเลือกอนาคตที่มั่งคั่งให้ชาว กทม. ซึ่งพรรคเพื่อไทยสนับสนุนโอบอุ้มอย่างเต็มที่เพื่อผลักดันนโยบายกรุงเทพมั่งคั่ง อนาคตของชาวกทม. ส.ก.พรรคเพื่อไทยขออาสานำมาให้ประชาชนทุกคน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่