เนื่องจากช่วงนี้รถไฟฟ้ากำลังเป็นเทรน สำหรับใครที่กำลังตัดสินใจ จะซื้อรถ EV หรือ PHEV ยังเลือกไม่ถูก
เลยอยากเล่าประสบการณ์ใช้งาน MG HS PHEV ให้ฟัง MG HS PHEV เป็นรถยนต์ ขนาด C-SUV ที่ผมใช้งานมา 4 เดือน แล้วตอนนี้ขับไป เกือบ 7 พันโล ก็อยากจะมาเล่าประสบการณ์ ให้ฟัง ทำไมถึงตัดสินใจเลือกรถคันนี้มาใช้งาน
จริงๆก็สนใจรถคันนี้มาตั้งแต่เปิดตัว ด้วยความที่เป็นรถ PHEV ที่ราคาคุ้มค่าที่สุดในตลาด ในตอนนี้มีแค่ Outlander กับ Haval H6 ที่เป็น Hybrid
โดยโจทย์ที่ผมเลือก คือขนาดตัวรถต้องมีพื้นที่เพียงพอสำหรับบรรทุกสัมภาระเวลาเดินทางไกล การนั่งโดยสารต้องไม่อึดอัดเกินไป และโจทย์อีกข้อนึงคือเรื่องความประหยัดน้ำมัน ก่อนหน้านี้ผมเติมน้ำมันเฉลี่ยเดือนละประมาณ 5,000 บาท ได้เลยนะ เนื่องจากสภาพการจราจรที่รถติดหนักมาก เลยอยากได้รถที่มีความประหยัดเพื่อ Save ค่าใช้จ่าย เนื่องจากค่าน้ำมันเป็นเงาตามตัวอยู่ตลอด แล้วทำไมไม่เลือกรถยนต์ไฟฟ้าหละ ช่วงนั้นมี Ora Good CAT เข้ามาพอดีเลยมีโอกาสได้ไปลองนั่ง รู้สึกว่ายังไม่ตอบโจทย์เรื่องพื้นที่สัมภาระ และการชาร์จสำหรับการเดินทางไกลที่จะต้องมีเวลารอในการชาร์จ เลยตัด Ora Good CAT ออกไป แล้วมามองรถที่เป็นรูปแบบ Hybrid แทนเมื่อดูข้อเสนอและอัตราดอกเบี้ยต่างๆ โดย MG ได้ข้อเสนอที่น่าสนใจกว่ายี่ห้ออื่นคือ ฟรี! ค่าบำรุงรักษาตามระยะนาน 5 ปี / 1 แสนโล ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 33,000 บาท เลยมาจบที่ MG HS PHEV
พอเรามีรถไฟฟ้าก็ต้องมีเรื่องของการติดที่ชาร์จ เนื่องจากว่ารถคันนี้เป็น PHEV โดยตัว Onboard Charger ของรถสามารถรับไฟได้ประมาณ 3 Kw ซึ่งสำหรับบ้านทั่วไป 15/45 สามารถใช้งานได้พร้อมกันกับเครื่องใช้ไฟฟ้า อื่นๆ เนื่องจากตัวเครื่องชาร์จเองไม่ได้ใช้พลังงานเยอะ ซึ้งในตอนแรกก็ไม่ได้วางแผนจะเปลี่ยนระบบไฟในบ้านในช่วงนี้ แต่เนื่องจากมีเหตุจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยน Main Breaker ที่บ้านจากเดิมที่ใช้แบบฟิวส์ เลยถือโอกาสเปลี่ยนMain Breaker สายไฟ และเปลี่ยนมิเตอร์เป็น TOU ไปเลย ซึ่งค่าใช้จ่าย สำหรับการเปลี่ยนมิเตอร์ จาก 15/45 เป็น 30/100 จะเสียค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 700 บาท และค่าเปลี่ยนมิเตอร์แบบ TOU อีกประมาณ 6000 บาท สำหรับ การไฟฟ้านครหลวง และค่าสายไฟ + อุปกรณ์อื่นแล้วแต่บ้าน
เรื่องของการใช้งาน คันนี้เป็นเครื่อง 1.5 Turbo + มอเตอร์ไฟฟ้า ให้พละกำลังเพียงพอกับการใช้งาน และสามารถขับในโหมด ไฟฟ้า ได้ 67 โลตามที่เคลมแต่การใช้งานจริงอาจะลดลงไปเนื่องจากแอร์ซึ่งจะมีผลกับการใช้แบตเตอร์รี่โดยตรง ขับทางไกลนั่งสบาย ด้วยความที่รุ่นนี้ถ้าเป็นสีภายนอกสีขาวภายในก็จะเป็นสีขาวแต่ถ้าเป็นสีอื่นๆ ภายในก็จะเป็นสีดำ ปรกติก็จะเปิด Sunroof เพื่อให้มีแสงเข้ามาทำให้ห้องโดยสารดูโปร่งขึ้น มีเบรคมืไฟฟ้า Auto Break Hold สะดวกมาก เวลาใช้งานในเมือง รวมถึงมีกล้อง 360 องศา ช่วยเวลาไปที่แคบได้ไม่ต้องลุ้น
อัตราสิ้นเปลืองเป็นอย่างไร ตลอดระยะเวลา 4 เดือน 7 พันโลที่ใช้ไป ผมเสียค่าใช้จ่ายกับการเติมน้ำมัน + ชาร์จไฟ 4620 บาท ตกประมาณ กิโลละ 60 สตางค์ ซึ่งถือว่าประหยัดมาก อัตราสิ้นเปลืองจะดูแย่ตอนที่เดินทางไกล บางรอบเติม V-Power ด้วยซ้ำ รถ PHEV ขับทางไกลจะประหยัดน้อยกว่า Hybrid เนื่องจากน้ำหนักตัว แต่ถ้าใช้ในเมืองแล้วหละก็ ประหยัดสุดๆ ชาร์จไฟเดือนนึง 500 บาท ยิ่งเปลี่ยนมาใช้ TOU ยิ่งถูกลงไปอีก ชาร์จครั้งนึง 0-100% ตก 30 บาท จากเดิม ขับ Ecocar ไปกลับทำงานวันนึง มี 3 ลิตร ตีกลมๆ ก็ 100 บาทแล้ว เวลาไปห้างอย่าง Central ก็มีจุดชาร์จฟรีให้ใช้ ไปทานข้าว ไม่เสียค่าเดินทางเลย แถมได้ไฟกลับบ้านด้วย
สิ่งที่ไม่ชอบ ระบบควบคุมต่างๆ ทำผ่านหน้าจอกลาง ถ้าวันไหนใจร้อนจะหงุดหงิดกว่าเดิมกว่าจอจะ ติดกว่าจะเปิดแอร์ กว่าภาพจากล้องจะขึ้น บางครั้งจอก็ค้าง แต่กด Reset ได้ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
ระบบแอร์ Auto จะเปิดรับอากาศจากภายนอกบ้าง ถ้าไม่กด Auto ก็ไม่เป็นไร
ระบบ Ismart ไม่ค่อย update บางทีชาร์จเต็มแล้วแต่สถานะ ยังขึ้นแค่ 80%
ปัญหาที่เจอหลังจากใช้งานมา อาการหนักสุด คือแบต 12V หมด เนื่องจากจอดทิ้งไว้ที่สนามบิน 4 วัน หลังจากนั้นก็นำรถเข้าเช็คที่ศูนย์ พบว่าตัว Software ควบคุมมีปัญหาทางศูนย์ก็ได้ทำการ Update Software ให้ ณ ตอนนียังไม่มีอาการอีก นอกนั้นก็ยังไม่พบปัญหาอะไร จากปัญหาที่เกิดขึ้นทาง MG เองมีการติดตามตั้งแต่แจ้งเหตุผ่าน Callcenter นัดหมายศูนย์ ติดตามปัญหาอย่างต่อเนื่อง ถือว่าน่าชื่นชม
สรุป ผมว่าเป็นรถที่คุ้มค่าคันนึง ยิ่งรุ่น Minor Change มาแล้วส่วนลดจัดหนักมาก ถ้าไม่ติดเรื่องหน้าตาและOption ต่างๆตัวนี้ก็คุ้มค่าครับ

หลังจากที่เรารับรถมาแล้วก็จะมีเอกสาร ใบแจ้งงานสำรวจและติดตั้ง MG HOME CHARGER โดยหากเราใช้มิเตอร์ขนาดต่ำกว่า 15/45 ทางเจ้าหน้าที่จะแนะนำให้ทำเรื่องขอเปลี่ยนเป็น 30/100 เพื่อความปลอดภัย สำหรับ อุปกรณ์ที่ทาง MG แถมให้ในการติดตั้งเครื่องชาร์จ จะประกอบไปด้วย ตัวเครื่องชาร์จ , RCD หรือกันดูด ถ้าเป็นเครื่องชาร์จรุ่น สีดำ จะมี เบรคเกอ 40 A ในตัว ,กล่อง คอนซูเมอร์ , สายไฟ พร้อมท่อ 10 เมตร หากเกินจากระยะ 10 เมตร จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม เมตรละ 300 บาท และแท่งกราว สำหรับส่วนนี้ผมจะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม 900 บาท เนื่องจากระยะสายเกิน
โดยจะมีอุปกรณ์ที่ผมติดเพิ่ม คือ 1 ตู้กันน้ำเบอร์ 3 เนื่องจากตำแหน่งที่ติดอุปกรณ์อยู่นอกชายคา ตัว Wifi Meter , เต้าเสียบตัวเมีย (ติดเอง)
สิ่งที่เราจะต้องเตรียมเพิ่ม เนื่องจากผมทำเรื่องขอเพิ่มขนาดมิเตอร์เป็น 30/100 การไฟฟ้ากำหนดให้สายไฟต้องมีขนาดไม่ต่ำกว่า25mm เลยต้องทำการเปลี่ยนสายไฟ จากมิเตอร์มายัง เมนเบรคเกอร์ของบ้านที่มีการเปลี่ยนใหม่เป็นขนาด 100A จากเดิม 60A และเพิ่มลูกย่อย ขนาด 40A สำหรับเครื่องชาร์จ
การวางระบบไฟแบบนี้จะมีค่าใช้จ่ายสูงเนื่องจากต้องเปลี่ยนสายใหม่ซึ่งมีความยาวเยอะ สำหรับในปัจจุบันการไฟฟ้า มีการอนุโลม ให้แยกวงจรสำหรับเครื่องชาร์จได้ เพื่อลดค่าใช้จ่ายผู้ใช้ก็จะเดินสายเพิ่มอีก 1 ชุด ขนาด 10-16 mm มาที่ตู้คอนซูเมอร์ของเครื่องชาร์จได้เลย แยกจากวงจรในบ้าน
ตำแหน่งในการติดตั้งเนื่องจากที่บ้านเป็นโรงจอดรถ แบบยาวจอด 2 คันต่อกัน เลยต้องพิจารณาเรื่องตำแหน่งการติดให้สามารถชาร์จได้ทั้ง 2 ตำแหน่งกรณีที่มีการสลับที่จอด เลยเลือกติดบริเวณด้านข้างตู้เก็บของ
สำหรับตัว Wifi Meter ที่ติดเพิ่ม ทำให้เราสามารถติดตามการใช้ไฟของเครื่องชาร์จได้และสั่งเปิดปิด ตั้งเวลาผ่าน Application ได้ เนื่องจากผมได้เปลี่ยนมิเตอร์เป็น แบบ TOU ก็จะตั้งเวลาให้มันชาร์จหลังจาก 4 ทุ่ม เพื่อให้ได้อัตราที่ถูกลง สำหรับต้าเสียบตัวเมีย ติดไว้เผื่อ กรณีเครื่องชาร์จเสีย เราสามารถใช้ตัว Emergency Charger ได้ ตรงนี้เจ้าหน้าที่ไม่ได้ติดให้เนืองจากทางบริษัทที่ติด จะคิดค่าติดตั้ง ประมาณ 4-5 พันบาท ผมเลยติดเพิ่มเองทีหลัง
[CR] MG HS PHEV ใช้แล้วเป็นยังไง เดี๋ยวเล่าให้ฟัง
เลยอยากเล่าประสบการณ์ใช้งาน MG HS PHEV ให้ฟัง MG HS PHEV เป็นรถยนต์ ขนาด C-SUV ที่ผมใช้งานมา 4 เดือน แล้วตอนนี้ขับไป เกือบ 7 พันโล ก็อยากจะมาเล่าประสบการณ์ ให้ฟัง ทำไมถึงตัดสินใจเลือกรถคันนี้มาใช้งาน
จริงๆก็สนใจรถคันนี้มาตั้งแต่เปิดตัว ด้วยความที่เป็นรถ PHEV ที่ราคาคุ้มค่าที่สุดในตลาด ในตอนนี้มีแค่ Outlander กับ Haval H6 ที่เป็น Hybrid
โดยโจทย์ที่ผมเลือก คือขนาดตัวรถต้องมีพื้นที่เพียงพอสำหรับบรรทุกสัมภาระเวลาเดินทางไกล การนั่งโดยสารต้องไม่อึดอัดเกินไป และโจทย์อีกข้อนึงคือเรื่องความประหยัดน้ำมัน ก่อนหน้านี้ผมเติมน้ำมันเฉลี่ยเดือนละประมาณ 5,000 บาท ได้เลยนะ เนื่องจากสภาพการจราจรที่รถติดหนักมาก เลยอยากได้รถที่มีความประหยัดเพื่อ Save ค่าใช้จ่าย เนื่องจากค่าน้ำมันเป็นเงาตามตัวอยู่ตลอด แล้วทำไมไม่เลือกรถยนต์ไฟฟ้าหละ ช่วงนั้นมี Ora Good CAT เข้ามาพอดีเลยมีโอกาสได้ไปลองนั่ง รู้สึกว่ายังไม่ตอบโจทย์เรื่องพื้นที่สัมภาระ และการชาร์จสำหรับการเดินทางไกลที่จะต้องมีเวลารอในการชาร์จ เลยตัด Ora Good CAT ออกไป แล้วมามองรถที่เป็นรูปแบบ Hybrid แทนเมื่อดูข้อเสนอและอัตราดอกเบี้ยต่างๆ โดย MG ได้ข้อเสนอที่น่าสนใจกว่ายี่ห้ออื่นคือ ฟรี! ค่าบำรุงรักษาตามระยะนาน 5 ปี / 1 แสนโล ซึ่งคิดเป็นมูลค่า 33,000 บาท เลยมาจบที่ MG HS PHEV
พอเรามีรถไฟฟ้าก็ต้องมีเรื่องของการติดที่ชาร์จ เนื่องจากว่ารถคันนี้เป็น PHEV โดยตัว Onboard Charger ของรถสามารถรับไฟได้ประมาณ 3 Kw ซึ่งสำหรับบ้านทั่วไป 15/45 สามารถใช้งานได้พร้อมกันกับเครื่องใช้ไฟฟ้า อื่นๆ เนื่องจากตัวเครื่องชาร์จเองไม่ได้ใช้พลังงานเยอะ ซึ้งในตอนแรกก็ไม่ได้วางแผนจะเปลี่ยนระบบไฟในบ้านในช่วงนี้ แต่เนื่องจากมีเหตุจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยน Main Breaker ที่บ้านจากเดิมที่ใช้แบบฟิวส์ เลยถือโอกาสเปลี่ยนMain Breaker สายไฟ และเปลี่ยนมิเตอร์เป็น TOU ไปเลย ซึ่งค่าใช้จ่าย สำหรับการเปลี่ยนมิเตอร์ จาก 15/45 เป็น 30/100 จะเสียค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 700 บาท และค่าเปลี่ยนมิเตอร์แบบ TOU อีกประมาณ 6000 บาท สำหรับ การไฟฟ้านครหลวง และค่าสายไฟ + อุปกรณ์อื่นแล้วแต่บ้าน
เรื่องของการใช้งาน คันนี้เป็นเครื่อง 1.5 Turbo + มอเตอร์ไฟฟ้า ให้พละกำลังเพียงพอกับการใช้งาน และสามารถขับในโหมด ไฟฟ้า ได้ 67 โลตามที่เคลมแต่การใช้งานจริงอาจะลดลงไปเนื่องจากแอร์ซึ่งจะมีผลกับการใช้แบตเตอร์รี่โดยตรง ขับทางไกลนั่งสบาย ด้วยความที่รุ่นนี้ถ้าเป็นสีภายนอกสีขาวภายในก็จะเป็นสีขาวแต่ถ้าเป็นสีอื่นๆ ภายในก็จะเป็นสีดำ ปรกติก็จะเปิด Sunroof เพื่อให้มีแสงเข้ามาทำให้ห้องโดยสารดูโปร่งขึ้น มีเบรคมืไฟฟ้า Auto Break Hold สะดวกมาก เวลาใช้งานในเมือง รวมถึงมีกล้อง 360 องศา ช่วยเวลาไปที่แคบได้ไม่ต้องลุ้น
อัตราสิ้นเปลืองเป็นอย่างไร ตลอดระยะเวลา 4 เดือน 7 พันโลที่ใช้ไป ผมเสียค่าใช้จ่ายกับการเติมน้ำมัน + ชาร์จไฟ 4620 บาท ตกประมาณ กิโลละ 60 สตางค์ ซึ่งถือว่าประหยัดมาก อัตราสิ้นเปลืองจะดูแย่ตอนที่เดินทางไกล บางรอบเติม V-Power ด้วยซ้ำ รถ PHEV ขับทางไกลจะประหยัดน้อยกว่า Hybrid เนื่องจากน้ำหนักตัว แต่ถ้าใช้ในเมืองแล้วหละก็ ประหยัดสุดๆ ชาร์จไฟเดือนนึง 500 บาท ยิ่งเปลี่ยนมาใช้ TOU ยิ่งถูกลงไปอีก ชาร์จครั้งนึง 0-100% ตก 30 บาท จากเดิม ขับ Ecocar ไปกลับทำงานวันนึง มี 3 ลิตร ตีกลมๆ ก็ 100 บาทแล้ว เวลาไปห้างอย่าง Central ก็มีจุดชาร์จฟรีให้ใช้ ไปทานข้าว ไม่เสียค่าเดินทางเลย แถมได้ไฟกลับบ้านด้วย
สิ่งที่ไม่ชอบ ระบบควบคุมต่างๆ ทำผ่านหน้าจอกลาง ถ้าวันไหนใจร้อนจะหงุดหงิดกว่าเดิมกว่าจอจะ ติดกว่าจะเปิดแอร์ กว่าภาพจากล้องจะขึ้น บางครั้งจอก็ค้าง แต่กด Reset ได้ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร
ระบบแอร์ Auto จะเปิดรับอากาศจากภายนอกบ้าง ถ้าไม่กด Auto ก็ไม่เป็นไร
ระบบ Ismart ไม่ค่อย update บางทีชาร์จเต็มแล้วแต่สถานะ ยังขึ้นแค่ 80%
ปัญหาที่เจอหลังจากใช้งานมา อาการหนักสุด คือแบต 12V หมด เนื่องจากจอดทิ้งไว้ที่สนามบิน 4 วัน หลังจากนั้นก็นำรถเข้าเช็คที่ศูนย์ พบว่าตัว Software ควบคุมมีปัญหาทางศูนย์ก็ได้ทำการ Update Software ให้ ณ ตอนนียังไม่มีอาการอีก นอกนั้นก็ยังไม่พบปัญหาอะไร จากปัญหาที่เกิดขึ้นทาง MG เองมีการติดตามตั้งแต่แจ้งเหตุผ่าน Callcenter นัดหมายศูนย์ ติดตามปัญหาอย่างต่อเนื่อง ถือว่าน่าชื่นชม
สรุป ผมว่าเป็นรถที่คุ้มค่าคันนึง ยิ่งรุ่น Minor Change มาแล้วส่วนลดจัดหนักมาก ถ้าไม่ติดเรื่องหน้าตาและOption ต่างๆตัวนี้ก็คุ้มค่าครับ
หลังจากที่เรารับรถมาแล้วก็จะมีเอกสาร ใบแจ้งงานสำรวจและติดตั้ง MG HOME CHARGER โดยหากเราใช้มิเตอร์ขนาดต่ำกว่า 15/45 ทางเจ้าหน้าที่จะแนะนำให้ทำเรื่องขอเปลี่ยนเป็น 30/100 เพื่อความปลอดภัย สำหรับ อุปกรณ์ที่ทาง MG แถมให้ในการติดตั้งเครื่องชาร์จ จะประกอบไปด้วย ตัวเครื่องชาร์จ , RCD หรือกันดูด ถ้าเป็นเครื่องชาร์จรุ่น สีดำ จะมี เบรคเกอ 40 A ในตัว ,กล่อง คอนซูเมอร์ , สายไฟ พร้อมท่อ 10 เมตร หากเกินจากระยะ 10 เมตร จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม เมตรละ 300 บาท และแท่งกราว สำหรับส่วนนี้ผมจะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม 900 บาท เนื่องจากระยะสายเกิน
โดยจะมีอุปกรณ์ที่ผมติดเพิ่ม คือ 1 ตู้กันน้ำเบอร์ 3 เนื่องจากตำแหน่งที่ติดอุปกรณ์อยู่นอกชายคา ตัว Wifi Meter , เต้าเสียบตัวเมีย (ติดเอง)
สิ่งที่เราจะต้องเตรียมเพิ่ม เนื่องจากผมทำเรื่องขอเพิ่มขนาดมิเตอร์เป็น 30/100 การไฟฟ้ากำหนดให้สายไฟต้องมีขนาดไม่ต่ำกว่า25mm เลยต้องทำการเปลี่ยนสายไฟ จากมิเตอร์มายัง เมนเบรคเกอร์ของบ้านที่มีการเปลี่ยนใหม่เป็นขนาด 100A จากเดิม 60A และเพิ่มลูกย่อย ขนาด 40A สำหรับเครื่องชาร์จ
การวางระบบไฟแบบนี้จะมีค่าใช้จ่ายสูงเนื่องจากต้องเปลี่ยนสายใหม่ซึ่งมีความยาวเยอะ สำหรับในปัจจุบันการไฟฟ้า มีการอนุโลม ให้แยกวงจรสำหรับเครื่องชาร์จได้ เพื่อลดค่าใช้จ่ายผู้ใช้ก็จะเดินสายเพิ่มอีก 1 ชุด ขนาด 10-16 mm มาที่ตู้คอนซูเมอร์ของเครื่องชาร์จได้เลย แยกจากวงจรในบ้าน
ตำแหน่งในการติดตั้งเนื่องจากที่บ้านเป็นโรงจอดรถ แบบยาวจอด 2 คันต่อกัน เลยต้องพิจารณาเรื่องตำแหน่งการติดให้สามารถชาร์จได้ทั้ง 2 ตำแหน่งกรณีที่มีการสลับที่จอด เลยเลือกติดบริเวณด้านข้างตู้เก็บของ
สำหรับตัว Wifi Meter ที่ติดเพิ่ม ทำให้เราสามารถติดตามการใช้ไฟของเครื่องชาร์จได้และสั่งเปิดปิด ตั้งเวลาผ่าน Application ได้ เนื่องจากผมได้เปลี่ยนมิเตอร์เป็น แบบ TOU ก็จะตั้งเวลาให้มันชาร์จหลังจาก 4 ทุ่ม เพื่อให้ได้อัตราที่ถูกลง สำหรับต้าเสียบตัวเมีย ติดไว้เผื่อ กรณีเครื่องชาร์จเสีย เราสามารถใช้ตัว Emergency Charger ได้ ตรงนี้เจ้าหน้าที่ไม่ได้ติดให้เนืองจากทางบริษัทที่ติด จะคิดค่าติดตั้ง ประมาณ 4-5 พันบาท ผมเลยติดเพิ่มเองทีหลัง
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้