ประเด็น Hi-res ของเครื่องเสียงติดรถยนต์ เช่น Harman Kardon ใน Volvo V60 บล็อกเครื่อง T8

ผมอ่านคอมเมนต์ใต้รีวิวรถยนต์ Volvo มาหลายคอมเมนต์
พบว่า หลายคนประทับใจ เครื่องเสียงติดรถยนต์ V60 ตัวท็อป ยี่ห้อ Harman Kardon

ซึ่งแม้กระทั่ง SUV รุ่นพิเศษอย่าง Volvo XC90 ก็ยังใช้เครื่องเสียงยี่ห้อนี้ (แต่ XC90 ตัวท็อปใช้เครื่องเสียง Bowers and Wilkins)
เช่นเดียวกับรถหรูเจ้าตลาดอื่นก็ใช้เช่นกัน
 
Harman Kardon เป็นแบรนด์เครื่องเสียงสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีบริษัทแม่อยู่เกาหลีใต้
เป็นเจ้าของแบรนด์เครื่องเสียงมากมาย อย่างที่เห็นได้หลายแห่ง คือ JBL
แม้กระทั่งเครื่องเสียงรถยนต์ Bang & Olufsen ของเดนมาร์กก็ถูก Harman ซื้อไปแล้ว
Harman บอกว่าจะนำเทคโนโลยีของตน เพิ่มประสิทธิภาพให้ B & O

ผมเป็นผู้ใช้ V60 และเห็นด้วยว่า Harman Kardon ใน Volvo ดีจริง
ไม่ว่าจะเล่นจาก USB หรือ Bluetooth เสียงจากลำโพงทั้ง 14 ตัว เพียงพอต่อการฟังในรถ
ยิ่ง V60 เก็บเสียงดีที่สุดคันหนึ่งในคลาสรถเดียวกัน ยิ่งได้อรรถรส
โดยเฉพาะเมื่อวิ่งด้วยมอเตอร์ล้อหลังอย่างเดียว ไม่เปิดสันดาปภายในล้อหน้า
 
การส่ง Bluetooth ในรถพอเดาได้ว่า Codec ไม่ใช่แค่ SBC ซึ่งเป็น Codec มาตรฐานทั่วไป 
กล่าวคือ Volvo หลายคันรองรับ AAC (Codec การสื่อสาร ไม่ใช่ Codec ไฟล์เพลง*)
หรืออาจเป็นแม้กระทั่ง AptX ที่บิตเรตสูงกว่า ให้เสียงใกล้เคียงกับ CD
*สำหรับ Codec ไฟล์เสียงและวิดีโอ V60 รองรับดังภาพนี้

 
เมื่อเล่นเพลงที่บีบอัดด้วย Lossless method เช่น FLAC ได้
ดังนั้น หากเล่นจาก USB สามารถเล่นเพลง Hi-res ได้ด้วย
ทั้งนี้ มือถือของคุณ ก็อาจเล่น Hi-res ได้นะครับ
แต่คนเราจะได้ยินหรือไม่ เรามาดูกันต่อ
 
หากถามว่าเล่น Hi-res ได้ถึงประมาณ 40,000 Hz แล้วคนฟังได้ยินเกิน 20,000 Hz ไหม?
ตอบว่า ไม่ได้ยินครับ
อย่างผมอายุ 40 กว่า ก็ได้ยินแค่หมื่นต้น ๆ
น้อง ๆ อาจได้ยินเกือบถึงสองหมื่น
พี่สว. อาจได้ยินแค่หมื่นเดียว
ซึ่งก็เพียงพอต่อการฟังเพลงให้เกิดอรรถรสแล้ว
เพราะอย่างกีต้าร์ โน้ตสูงสุด 1,174.624 Hz พอพิจารณา Harmonic ดังภาพ Harmonic กีต้าร์ช่วงหมื่นกว่าเฮิร์ตซเป็นต้นไปแทบจะไม่มีความดัง
(เครื่องดนตรีแต่ละประเภท โน้ตเดียวกัน แต่มี Harmonic ต่างกัน นี่คือสาเหตุที่ทำให้เสียงเครื่องดนตรีแต่ละประเภท ต่างกัน แม้เล่นโน้ต/คอร์ดเดียวกัน)

 
ลองเช็คว่าคุณได้ยินถึงกี่เฮิร์ตซได้ที่
https://panasonic.jp/hochouki/download/dagehg/hearing2.html?fbclid=IwAR1pV7eIgRmrP8_xQQ1y_XFIjar5ymWKfxD8xTzguly6pdDlhRM4E_hfOwc
 
ทั้งที่คนไม่ได้ยินเกิน 20,000 Hz
ทำไมเครื่องเล่น Hi-res ถึงขายได้?
ทำไมเพลง Hi-res ถึงขายได้ ราคาต่อไฟล์ก็แพงด้วย?
ทำไม Streaming ต่าง ๆ ถึงคิดค่าบริการแพงกว่าเมื่อส่งเสียง Master (สูงกว่า CD) มา?
 
ประเด็นว่า Hi-res จำเป็นไหมถกกันในหมู่ Audiophile (นักฟังเพลงผู้สนใจความละเอียดของเสียงอย่างมาก) ต่างประเทศกันเยอะ
สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตในฟอรัมฝรั่งต่าง ๆ ที่ปฏิเสธ Hi-res ไปเลย คือ การละเลย ไม่พูดถึง Alias
(สมัยนี้ไม่ค่อยมีคนปฏิเสธละ คงจะเน็ตเร็ว โหลดตัวความถี่สูงก็ไม่ได้นาน)
จากภาพความถี่ต้นฉบับด้านล่างภาพนี้ เมื่อสุ่ม (Sampling) เสียงเป็นดิจิตอล จะเกิดความถี่ซ้ำ เป็นช่วง ๆ ดังภาพที่สองด้านล่าง


 
Alias เป็นปรากฏการณ์ ที่เกิดจากการสุ่มด้วยความถี่ต่ำเกินไป
ก้อนซ้ำในภาพก่อนหน้าจะเลื่อนตาม Ws ที่น้อยลงมาซ้อนทับกัน เสียงจะเพี้ยน
จึงควรสุ่ม ด้วยความถี่สุ่มของสื่อดิจิตอล เรียกว่า Nyquist frequency ซึ่งเป็นสองเท่าของความกว้างแบนด์
หรือ Ws ควร >= Wb ดังรูปด้านบนจะโอเค
(เช่น 44,100 Hz ของ CD ซึ่งเป็นสองเท่าของความกว้างแบนด์ที่มนุษย์ได้ยินสูงสุดประมาณ 20,000 Hz)
 
อย่างไรก็ตาม ภาพความถี่ของเสียง ไม่ได้เป็นก้อนความยาวจำกัดดังภาพสมมติก่อนหน้า
แต่ยาวไปถึงอนันต์ ดังภาพถัดไป (ภาพนี้ก็ยังไม่ถูกต้องนัก)

 
จะเห็นว่า เมื่อเกิดการสุ่ม เสียงความถี่สูงมาก (มากกว่า 22,050 Hz สำหรับกรณีอัด CD) จะมาซ้อนปนเปื้อนในความถี่ต่ำ
ทำให้เสียงสุดท้ายที่เก็บในไฟล์เสียง (แถบสีเทา) เพี้ยนจากรูปสามเหลี่ยมต้นฉบับครับ
ยิ่งเครื่องดนตรีมี Harmonic ความถี่สูงมาก ผนวกกับไมค์โครโฟนห้องอัดไว ยิ่งจะมีความถี่สูงเกิน 22,050 มาปนเปได้ เป็นต้น
 
นอกจากนี้ เมื่อก่อนยังเป็นที่ถกเถียงกันว่า จะซอยย่อยความดังเสียง 16-bit ระดับ หรือ 14-bit ระดับ
(Sony และ Philips ตามลำดับ ซึ่งสุดท้ายทั่วโลกใช้แบบ Sony 16-bit ซึ่ง 2^16 = 65,536 ระดับ)
แต่สมัยนี้ กลับพบว่า Hi-res มีระดับความดังเสียงถึง 24-bit เป็นต้น
ทำให้ในปัจจุบัน Streaming หลายเจ้าสามารถส่งความดังเสียงได้ละเอียดถึง 16,777,216 ระดับ
 
คุณคิดว่าอย่างไรครับ?
หากฟังเพลงถึงความถี่เปียโนหรือไวโอลิน นั้น Hi-res น่าจะพอมีประโยชน์ไหม?
; เปียโน  (โน้ตสูงสุด 4186 Hz) มี Harmonic เช่นเดียวกับกีต้าร์ข้างต้น
ทั้งใน
1. เชิงความถี่สุ่ม จากเดิมเราฟัง CD กันที่ความถี่สุ่ม 44,100 Hz (เป็นความถี่ที่ได้ยิน 22,050 Hz) สมัยนี้ Hi-res มีความถี่สุ่มถึง 96,000 Hz หรือบางแหล่งมีถึง 176,400 Hz
และ
2. เชิงซอยย่อยความดังเสียง จากเดิมเราฟัง CD ดัง 65,536 ระดับ สมัยนี้ Hi-res มีถึง 16,777,216 ระดับ หรือบางแหล่งมีถึง 4,294,967,296 ระดับ
 
ผมมองว่าในรถไม่มีประโยชน์ เพราะมีเสียงรบกวนภายนอก ฟังของดีไม่ออก
ดังนั้น FLAC ใน USB รถผม มี Hi-res แค่เพลงเดียว โหลดมาทดลองเฉย ๆ
นอกจากนั้น ไฟล์ FLAC ที่เหลือ เป็นแค่ระดับ CD
 
ทั้งนี้ ผมเป็นหนึ่งในหมู่ Audiophile
กล่าวคือ ถ้าฟังในบ้าน ผมฟังแยกออกระหว่างการเล่นด้วย Hi-res กับ CD quality สำหรับบางเพลง
 
ขั้นสุด ๆ สำหรับพวก Audiophile แบบ Wireless (ซึ่งด้อยกว่าแบบ Wire) นั้น คือ Bluetooth Codec ชื่อ LDAC ของ Sony ให้รายละเอียดดีมาก
เหนือกว่า Codec AptX / AAC โดยไม่ต้องพูดถึง Codec SBC
โดยเฉพาะการฟังจากหูฟัง หรือ ลำโพงบ้าน
แต่ไม่รู้ว่ารถที่มีเครื่องเสียง Sony ใช้ Codec นี้หรือเปล่า

สุดท้ายนี้ คุณฟังในรถแล้วแยกออกไหม ระหว่าง
เพลง Hi-res
(ซึ่งสุ่มด้วยความถี่ > 50,000 Hz และมีความละเอียดของความดัง 16,777,216 ระดับ เป็นต้น แล้วเล่นผ่าน USB / สายเสียง)
กับ
เพลง CD quality
(ซึ่งสุ่มด้วยความถี่ 44,100 Hz และมีความละเอียดของความดัง 65,536 ระดับ แล้วเล่นผ่าน USB / สายเสียง / Bluetooth Codec ที่รองรับความถี่สุ่มกลาง ๆ ดังกล่าว เช่น LDAC)
. . .
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่