เฟเรซิสโดนอดีตหัวหน้าตำหนิเพราะกระทำการโดยประมาท เรื่องกลายเป็นว่าก้อนรังไหมด้านหลังคือว่าที่นักรบเทพตนที่สองซึ่งอยู่ในช่วงก่อนถือกำเนิด อย่างน้อยโทนาชก็ช่วยรวบรวมส่วนหนึ่งไว้ได้อีกทั้งยังจับหัวหน้าของกลุ่มต่อต้านได้อีก นานไปนางยิ่งเชื่อว่าตนไม่สมควรดื้อแพ่งอยู่จุดนี้ต่อไป
“ตรงนั้นช่วยสนใจหน่อย กำลังจะจบเรื่องแล้ว!” วิเรียนเอ็ดเสียงเขียวใส่ผู้รักษาการตำแหน่งสูงสุดในการประชุมสองวันจากนั้น
เฟเรซิสไม่ได้เข้าร่วมการสืบสวนโดยตรงเพราะง่วนกับการจัดการทวีปเทพให้เรียบร้อยทั้งเรื่องข่าวลือและที่อยู่ของผู้ที่ถูกทำลายเมืองไป โทนาชทิ้งคำบ่นไว้ข้างหลังเพราะต้องเอาเศษเสี้ยวของว่าที่นักรบเทพไปส่งเสาค้ำจุนให้รักษาจนกว่าถึงเวลา คนที่เครียดที่สุดคือพอลไลน์กับพีเตอร์เพราะความจริงเรื่องพ่อกลับมาทิ่มแทงอีกครั้ง
“คงอยากฟังว่าทางนั้นคืนชีพคนได้จริงไหมล่ะสิ” แม้จะเก็บปีกแต่รัศมีสีเขียวเรื่อเรืองของวิเรียนยังแผ่ออกมาจากหัวโต๊ะ เฟเรซิสทำเป็นสนใจเรื่องนี้มากกว่าการออกจากตำแหน่ง “ไม่ใช่การชุบชีวิตแท้จริง ขุนพลปิศาจตนแรกเป็นวิญญาณธาตุทำให้บงการเวทมนตร์ธาตุผ่านศพได้เหมือนตุ๊กตา เราเชื่อว่าเขาควบคุมจิตกับความทรงจำที่หลงเหลือในสิ่งของ นั่นทำให้ตบตาทุกคนได้ว่าคืนชีพคนตาย”
เฟเรซิสพยักหน้าอย่างเบื่อหน่าย นางถามอย่างไร้ความกระตือรือร้นเกี่ยวกับขุนพลปิศาจตนแรก
“กำลังเก็บรวบรวมกำลังและข่าวสารเหมือนฝ่ายเรา” วิเรียนถอนหายใจยาวเหยียด “รู้แค่ในที่ประชุมนะ พวกเสาค้ำจุนส่งสารแสดงความยินดีกับตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดมาแล้ว พวกเขาเรียกเรื่องนักรบเทพกับขุนพลปิศาจว่า ‘เรื่องไร้สาระ’ ดินแดนพันธสัญญาอาจอยู่ไกลเกินว่าสองชั่วอายุคน เราทำได้แค่ฝันให้ลูกหลานได้อยู่ในดินแดนแห่งความเท่าเทียมนั่น หากไม่ร้ายแรงก็แทบไม่มีผลกระทบกับคนทั่วไป”
“หมายความว่าศูนย์กลางต้องทำงานหนักไปชั่วลูกชั่วหลานสินะ ข้าจะคอยฟังข่าวที่เกียนไม่ต้องห่วง” เฟเรซิสเก็บงำความหงุดหงิดไม่ได้จนต้องแหย่ว่าที่ผู้บัญชาการสูงสุดเล่น
วิเรียนนับหนึ่งถึงสิบก่อนบอกให้อีกฝ่ายสงบ “เพราะพยายามหนีเลยไม่สนใจรายละเอียดเรื่องนักรบเทพสินะ” นางทำให้เฟเรซิสตื่นจากความเบื่อหน่าย “พรุ่งนี้เช้าเจ้ากับท่านพัวร์รีนรีบไปห้องรับรอง โทนาชต้องการคุยเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้าย”
เฟเรซิสหันไปกระซิบถามพอลไลน์ซึ่งคิดบางอย่างอยู่คนเดียว เขาส่ายหน้าบอกไม่มั่นใจว่าวิเรียนหมายความถึงอะไร
“คราวนี้มาว่ากันต่อเรื่องการสร้างเมืองใหม่...” วิเรียนพาที่ประชุมเข้าประเด็นสุดท้าย...
เฟเรซิสออกจากห้องประชุมด้วยอาการเหมือนมีหมอกอยู่ในหัว ความจริงแล้วนางทำทุกอย่างเสร็จสิ้นตามสมควรแก่ตำแหน่งแล้วเพียงผู้สืบทอดต้องการให้นั่งฟังแผนงานของพวกเขาก่อนจากไป แถมวิเรียนยังเอาเรื่องแรงกดดันจากเหล่าอดีตผู้บัญชาการมาต่อรองให้ไปเที่ยวด้วยกันอีก
“ขอเอาพวกนี้ไปเก็บก่อนแล้วค่อยไป” วิเรียนทักมาจากด้านหลังอย่างกระตือรือร้น เฟเรซิสซึ่งต้องเอาของไปเก็บในห้องเช่นกันรับคำ
“ทำไมไม่อยากออกเที่ยวกับนางล่ะ แล้วปฏิเสธผู้หญิงทุกคนแบบนี้หรือเปล่า” พอลไลน์แอบเข้ามาคุยเมื่อลับตาวิเรียน
เฟเรซิสส่งเสียงคำรามในลำคอ “คิดว่าจะเป็นยังไงถ้าคนทำงานไม่สมตำแหน่งออกเที่ยวกับลูกสาวผู้บัญชาการสูงสุดล่ะ ต่อให้เป็นแค่ข่าวลือข้าก็เสี่ยงทำให้ตำแหน่งมีรอยด่างพร้อยเพราะเรื่องนี้ไม่ได้ โทนาชพูดให้ฟังร่วมร้อยรอบว่าเราได้รับเกียรติมาทำงานตำแหน่งนี้ดังนั้นห้ามทำให้ชื่อเสียงมัวหมอง หากนางนั่งกินข้าวในโรงอาหารหรือเจอกันตอนซื้อของยังพอรับได้ และในนี้ก็มีผู้หญิงแค่นับหัวได้ด้วย”
“อย่างนั้นเจอกันตอนเย็น ขอให้สนุกกับบ่ายนี้นะ” ชายหนุ่มส่งยิ้มให้แล้วกลับไปทำธุระของตน
หญิงสาวมองชายหนุ่มอย่างมีความหวัง จากนี้ศูนย์กลางจะติดต่อกับเกียนอย่างเป็นทางการเพื่อขอคำปรึกษาด้านเวทมนตร์ แม้ทำเพื่อตัวเองแต่พอลไลน์ก็สามารถกร่อนกำแพงระหว่างเผ่าเทพกับมนุษย์ได้ ศูนย์กลางแข็งแกร่งแต่ไม่อาจยืนตามลำพังความช่วยเหลือจากผู้ไว้ใจได้จึงจำเป็น
ใช้เวลาอิดเอื้อนอยู่นานเฟเรซิสก็มาพบวิเรียนหน้าประตูส่วนสำนักงาน ทั้งคู่ยิ้มให้กันก่อนเลือกร้านอาหารสำหรับทานอาหารกลางวัน
หลังจัดการอาหารตรงหน้าเสร็จเฟเรซิสก็ลองแหย่อีกฝ่ายเป็นครั้งที่สอง “คิดยังไงถึงอยากออกเที่ยวกันแบบนี้”
“เห็นว่าน่าสนใจดี พอไม่ยอมไปด้วยยิ่งอยากลองของจนชักติดใจ” วิเรียนหัวเราะ นางซับปากจนมั่นใจว่าไม่มีเศษอาหารให้เห็น “ช้าชอบที่ตัวตนข้างในมากกว่ารูปลักษณ์หรือเพศ และข้าไม่คิดแต่งงานตลอดชีวิตด้วย เรื่องคู่ชีวิตตายนั้นน่าเศร้า แล้วยังลูกของพวกเขาอีก”
เฟเรซิสไม่คาดว่าจะพบคำตอบอย่างนี้จากครอบครัวทหาร “งั้นทำไมเราไม่รับเฉพาะคนโสดล่ะ แล้วให้ย้ายไปตำแหน่งความเสี่ยงต่ำถ้าต้องการแต่งงาน วุ่นวายดีแต่มันแสดงให้เห็นว่าเราสนใจเรื่องครอบครัว”
“ความคิดแบบแหกทางเดินแบบนี้ล่ะที่น่าสนใจ” วิเรียนยกแก้วน้ำชูให้คู่สนทนาว่านั่นคือสิ่งยอดเยี่ยม
จากนั้นทั้งคู่ก็ไปเดินแถบร้านค้าต่อ การพูดคุยส่วนใหญ่วนอยู่ในหัวข้อว่าศูนย์กลางควรปรับปรุงตรงไหนให้ดีมากกว่านี้ งานรับตำแหน่งของวิเรียนในอีกหนึ่งสัปดาห์จะมีทั้งคนยิ้มอย่างยินดีและกรีดร้องอย่างทรมาน โทนาชจะมาร่วมงานด้วยแม้จะไม่ตอบรับเรื่องเป็นที่ปรึกษาหลังจากนี้
“แล้วจะไปทำอะไรที่เกียนหรือ” วิเรียนถามขึ้นตอนนั่งในร้านน้ำชา น่าแปลกใจที่นางมีความเป็นผู้หญิงมากกว่าที่คิด ขนมปังผลไม้กับครีมสีสดไม่เข้ากับความเคร่งขรึมของทหารระดับสูง ขนาดเฟเรซิสเป็นรองผู้บัญชาการยังถูกมองด้วยแววตาสงสัยอยู่บ่อยครั้งจนชินในที่สุด
“ไปทำงานร้านอาหารของเลสลีย์ อาจเอาเงินจากตำแหน่งไปซื้อห้องพักเล็กๆอยู่ที่นั่น” เฟเรซิสตอบ นางก็กินของหวานพวกพายผลไม้เหมือนกัน
วิเรียนนิ่งชั่วอึดใจก่อนพูดออกมา “แล้วยังไม่อยากแต่งกับเขาหรือ” นางกลั้นยิ้มเมื่อเห็นเฟเรซิสเกือบสำลักกาแฟ
“เร็วไปรึเปล่า” เฟเรซิสปั้นหน้าไม่ถูก “ข้ายังเพิ่งยี่สิบเวลามีเหลือเฟือ”
“นั่นเพราะเผ่าเทพมีลูกยากจึงให้แต่งเร็ว ส่วนมนุษย์อยู่ได้อย่างมากก็ร้อย เดี๋ยวก็ไม่มีทายาทสืบทอดความรั้นหรอก” วิเรียนหัวเราะชอบใจอาการของคู่เที่ยว
เฟเรซิสกลืนอาการเขินลงคอ “ต้องทำความรู้จักกันมากกว่านี้ แต่พ่อกับแม่เห็นด้วยเพราะข่าวลือนั่น”
“มันคลาดเคลื่อนจากความเข้าใจของพวกเราน่ะ” วิเรียนพูดเรียบๆแล้วพาเปลี่ยนเรื่องคุย “อยู่ที่นั่นเตรียมรับจดหมายเวทมนตร์ไว้ด้วย จะเขียนไปคุยเรื่องนิยาย”
“ตอบก่อนสิว่ามันยังไงกันแน่!” เฟเรซิสคาดคั้นจนอีกฝ่ายโบ้ยให้ไปถามอดีตผู้บัญชาการพรุ่งนี้เช้า “ถ้าจะคุยทำไมต้องนัดให้วุ่นวายด้วย ตัวเองก็เคยเป็นถึงผู้บัญชาการแท้ๆ”
ความหงุดหงิดยอมสลายตัวเมื่อวิเรียนชวนไปร้านหนังสือเพื่อจะได้แนะนำนิยายน่าอ่านให้ ฝ่ายเฟเรซิสก็อยากหาวิธีทำอาหารแบบเป็นผู้เป็นคนกับเขาบ้างโดยเฉพาะของหวาน...
วันรุ่งขึ้นเฟเรซิสพบพอลไลน์หน้าห้องรับรองแขก ทั้งคู่แลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องธุระหลังประตูจนได้รับอนุญาตให้เข้าไป ทั้งห้องสว่างจ้าราวต้องการข่มบารมีของผู้มาเยือน โทนาชนั่งหันหน้ามาทันทีราวละจากสิ่งอื่นใกล้ๆ หลังเก้าอี้บุนวมของเขามีควันบางๆคล้ายบางสิ่งเพิ่งสลายตัวจากสายตา ฝ่ายวิเรียนก็มองไปที่ควันดังกล่าวจนสองคนเข้ามานั่งด้านตรงข้าม
“เราเชื่อว่าสมควรอธิบายทีละเรื่องเพื่อทำให้เข้าใจตรงกัน” วิเรียนขยับตัวให้นั่งสบายขึ้นราวกับแขกคนสำคัญเพิ่งกลับไป “พวกเราเข้าใจผิดกันหมดเรื่องนักรบเทพกับผู้กล้า”
เฟเรซิสมองอย่างมีความหวัง มันอาจเป็นแค่เรื่องตลกใหญ่หรือเป็นแค่เรื่องล่าไม่ใช่ความจริง วิเรียนโยนทุกอย่างให้อดีตผู้บัญชาการเป็นคนพูด เจ้าตัวก็ไม่มีท่าทีกระตือรือร้นเลยสักนิด
โทนาชพูดเรียบเฉยรวบรัดตัดความ “นักรบเทพคือผู้ได้รับเลือกจากชีพจรธรณี ไม่จำเป็นต้องมีวีรกรรมหรือคุณความดีโดดเด่น” คำพูดดังกล่าวหยุดเฟเรซิสไม่ให้ขยับเท้าเล่นต่อ “เมื่อพลังจากชีพจรธรณีแยกไปสร้างตัวตนมันจะเรียกหายนะมาตามอัตราส่วนที่เสียไป ซึ่งนักรบเทพคนดังกล่าวต้องหยุดมันเป็นการทดสอบว่าคู่ควรไหม”
(มีต่อ)
นางฟ้าเปื้อนเลือด ตอนจบ
“ตรงนั้นช่วยสนใจหน่อย กำลังจะจบเรื่องแล้ว!” วิเรียนเอ็ดเสียงเขียวใส่ผู้รักษาการตำแหน่งสูงสุดในการประชุมสองวันจากนั้น
เฟเรซิสไม่ได้เข้าร่วมการสืบสวนโดยตรงเพราะง่วนกับการจัดการทวีปเทพให้เรียบร้อยทั้งเรื่องข่าวลือและที่อยู่ของผู้ที่ถูกทำลายเมืองไป โทนาชทิ้งคำบ่นไว้ข้างหลังเพราะต้องเอาเศษเสี้ยวของว่าที่นักรบเทพไปส่งเสาค้ำจุนให้รักษาจนกว่าถึงเวลา คนที่เครียดที่สุดคือพอลไลน์กับพีเตอร์เพราะความจริงเรื่องพ่อกลับมาทิ่มแทงอีกครั้ง
“คงอยากฟังว่าทางนั้นคืนชีพคนได้จริงไหมล่ะสิ” แม้จะเก็บปีกแต่รัศมีสีเขียวเรื่อเรืองของวิเรียนยังแผ่ออกมาจากหัวโต๊ะ เฟเรซิสทำเป็นสนใจเรื่องนี้มากกว่าการออกจากตำแหน่ง “ไม่ใช่การชุบชีวิตแท้จริง ขุนพลปิศาจตนแรกเป็นวิญญาณธาตุทำให้บงการเวทมนตร์ธาตุผ่านศพได้เหมือนตุ๊กตา เราเชื่อว่าเขาควบคุมจิตกับความทรงจำที่หลงเหลือในสิ่งของ นั่นทำให้ตบตาทุกคนได้ว่าคืนชีพคนตาย”
เฟเรซิสพยักหน้าอย่างเบื่อหน่าย นางถามอย่างไร้ความกระตือรือร้นเกี่ยวกับขุนพลปิศาจตนแรก
“กำลังเก็บรวบรวมกำลังและข่าวสารเหมือนฝ่ายเรา” วิเรียนถอนหายใจยาวเหยียด “รู้แค่ในที่ประชุมนะ พวกเสาค้ำจุนส่งสารแสดงความยินดีกับตำแหน่งผู้บัญชาการสูงสุดมาแล้ว พวกเขาเรียกเรื่องนักรบเทพกับขุนพลปิศาจว่า ‘เรื่องไร้สาระ’ ดินแดนพันธสัญญาอาจอยู่ไกลเกินว่าสองชั่วอายุคน เราทำได้แค่ฝันให้ลูกหลานได้อยู่ในดินแดนแห่งความเท่าเทียมนั่น หากไม่ร้ายแรงก็แทบไม่มีผลกระทบกับคนทั่วไป”
“หมายความว่าศูนย์กลางต้องทำงานหนักไปชั่วลูกชั่วหลานสินะ ข้าจะคอยฟังข่าวที่เกียนไม่ต้องห่วง” เฟเรซิสเก็บงำความหงุดหงิดไม่ได้จนต้องแหย่ว่าที่ผู้บัญชาการสูงสุดเล่น
วิเรียนนับหนึ่งถึงสิบก่อนบอกให้อีกฝ่ายสงบ “เพราะพยายามหนีเลยไม่สนใจรายละเอียดเรื่องนักรบเทพสินะ” นางทำให้เฟเรซิสตื่นจากความเบื่อหน่าย “พรุ่งนี้เช้าเจ้ากับท่านพัวร์รีนรีบไปห้องรับรอง โทนาชต้องการคุยเรื่องนี้เป็นครั้งสุดท้าย”
เฟเรซิสหันไปกระซิบถามพอลไลน์ซึ่งคิดบางอย่างอยู่คนเดียว เขาส่ายหน้าบอกไม่มั่นใจว่าวิเรียนหมายความถึงอะไร
“คราวนี้มาว่ากันต่อเรื่องการสร้างเมืองใหม่...” วิเรียนพาที่ประชุมเข้าประเด็นสุดท้าย...
เฟเรซิสออกจากห้องประชุมด้วยอาการเหมือนมีหมอกอยู่ในหัว ความจริงแล้วนางทำทุกอย่างเสร็จสิ้นตามสมควรแก่ตำแหน่งแล้วเพียงผู้สืบทอดต้องการให้นั่งฟังแผนงานของพวกเขาก่อนจากไป แถมวิเรียนยังเอาเรื่องแรงกดดันจากเหล่าอดีตผู้บัญชาการมาต่อรองให้ไปเที่ยวด้วยกันอีก
“ขอเอาพวกนี้ไปเก็บก่อนแล้วค่อยไป” วิเรียนทักมาจากด้านหลังอย่างกระตือรือร้น เฟเรซิสซึ่งต้องเอาของไปเก็บในห้องเช่นกันรับคำ
“ทำไมไม่อยากออกเที่ยวกับนางล่ะ แล้วปฏิเสธผู้หญิงทุกคนแบบนี้หรือเปล่า” พอลไลน์แอบเข้ามาคุยเมื่อลับตาวิเรียน
เฟเรซิสส่งเสียงคำรามในลำคอ “คิดว่าจะเป็นยังไงถ้าคนทำงานไม่สมตำแหน่งออกเที่ยวกับลูกสาวผู้บัญชาการสูงสุดล่ะ ต่อให้เป็นแค่ข่าวลือข้าก็เสี่ยงทำให้ตำแหน่งมีรอยด่างพร้อยเพราะเรื่องนี้ไม่ได้ โทนาชพูดให้ฟังร่วมร้อยรอบว่าเราได้รับเกียรติมาทำงานตำแหน่งนี้ดังนั้นห้ามทำให้ชื่อเสียงมัวหมอง หากนางนั่งกินข้าวในโรงอาหารหรือเจอกันตอนซื้อของยังพอรับได้ และในนี้ก็มีผู้หญิงแค่นับหัวได้ด้วย”
“อย่างนั้นเจอกันตอนเย็น ขอให้สนุกกับบ่ายนี้นะ” ชายหนุ่มส่งยิ้มให้แล้วกลับไปทำธุระของตน
หญิงสาวมองชายหนุ่มอย่างมีความหวัง จากนี้ศูนย์กลางจะติดต่อกับเกียนอย่างเป็นทางการเพื่อขอคำปรึกษาด้านเวทมนตร์ แม้ทำเพื่อตัวเองแต่พอลไลน์ก็สามารถกร่อนกำแพงระหว่างเผ่าเทพกับมนุษย์ได้ ศูนย์กลางแข็งแกร่งแต่ไม่อาจยืนตามลำพังความช่วยเหลือจากผู้ไว้ใจได้จึงจำเป็น
ใช้เวลาอิดเอื้อนอยู่นานเฟเรซิสก็มาพบวิเรียนหน้าประตูส่วนสำนักงาน ทั้งคู่ยิ้มให้กันก่อนเลือกร้านอาหารสำหรับทานอาหารกลางวัน
หลังจัดการอาหารตรงหน้าเสร็จเฟเรซิสก็ลองแหย่อีกฝ่ายเป็นครั้งที่สอง “คิดยังไงถึงอยากออกเที่ยวกันแบบนี้”
“เห็นว่าน่าสนใจดี พอไม่ยอมไปด้วยยิ่งอยากลองของจนชักติดใจ” วิเรียนหัวเราะ นางซับปากจนมั่นใจว่าไม่มีเศษอาหารให้เห็น “ช้าชอบที่ตัวตนข้างในมากกว่ารูปลักษณ์หรือเพศ และข้าไม่คิดแต่งงานตลอดชีวิตด้วย เรื่องคู่ชีวิตตายนั้นน่าเศร้า แล้วยังลูกของพวกเขาอีก”
เฟเรซิสไม่คาดว่าจะพบคำตอบอย่างนี้จากครอบครัวทหาร “งั้นทำไมเราไม่รับเฉพาะคนโสดล่ะ แล้วให้ย้ายไปตำแหน่งความเสี่ยงต่ำถ้าต้องการแต่งงาน วุ่นวายดีแต่มันแสดงให้เห็นว่าเราสนใจเรื่องครอบครัว”
“ความคิดแบบแหกทางเดินแบบนี้ล่ะที่น่าสนใจ” วิเรียนยกแก้วน้ำชูให้คู่สนทนาว่านั่นคือสิ่งยอดเยี่ยม
จากนั้นทั้งคู่ก็ไปเดินแถบร้านค้าต่อ การพูดคุยส่วนใหญ่วนอยู่ในหัวข้อว่าศูนย์กลางควรปรับปรุงตรงไหนให้ดีมากกว่านี้ งานรับตำแหน่งของวิเรียนในอีกหนึ่งสัปดาห์จะมีทั้งคนยิ้มอย่างยินดีและกรีดร้องอย่างทรมาน โทนาชจะมาร่วมงานด้วยแม้จะไม่ตอบรับเรื่องเป็นที่ปรึกษาหลังจากนี้
“แล้วจะไปทำอะไรที่เกียนหรือ” วิเรียนถามขึ้นตอนนั่งในร้านน้ำชา น่าแปลกใจที่นางมีความเป็นผู้หญิงมากกว่าที่คิด ขนมปังผลไม้กับครีมสีสดไม่เข้ากับความเคร่งขรึมของทหารระดับสูง ขนาดเฟเรซิสเป็นรองผู้บัญชาการยังถูกมองด้วยแววตาสงสัยอยู่บ่อยครั้งจนชินในที่สุด
“ไปทำงานร้านอาหารของเลสลีย์ อาจเอาเงินจากตำแหน่งไปซื้อห้องพักเล็กๆอยู่ที่นั่น” เฟเรซิสตอบ นางก็กินของหวานพวกพายผลไม้เหมือนกัน
วิเรียนนิ่งชั่วอึดใจก่อนพูดออกมา “แล้วยังไม่อยากแต่งกับเขาหรือ” นางกลั้นยิ้มเมื่อเห็นเฟเรซิสเกือบสำลักกาแฟ
“เร็วไปรึเปล่า” เฟเรซิสปั้นหน้าไม่ถูก “ข้ายังเพิ่งยี่สิบเวลามีเหลือเฟือ”
“นั่นเพราะเผ่าเทพมีลูกยากจึงให้แต่งเร็ว ส่วนมนุษย์อยู่ได้อย่างมากก็ร้อย เดี๋ยวก็ไม่มีทายาทสืบทอดความรั้นหรอก” วิเรียนหัวเราะชอบใจอาการของคู่เที่ยว
เฟเรซิสกลืนอาการเขินลงคอ “ต้องทำความรู้จักกันมากกว่านี้ แต่พ่อกับแม่เห็นด้วยเพราะข่าวลือนั่น”
“มันคลาดเคลื่อนจากความเข้าใจของพวกเราน่ะ” วิเรียนพูดเรียบๆแล้วพาเปลี่ยนเรื่องคุย “อยู่ที่นั่นเตรียมรับจดหมายเวทมนตร์ไว้ด้วย จะเขียนไปคุยเรื่องนิยาย”
“ตอบก่อนสิว่ามันยังไงกันแน่!” เฟเรซิสคาดคั้นจนอีกฝ่ายโบ้ยให้ไปถามอดีตผู้บัญชาการพรุ่งนี้เช้า “ถ้าจะคุยทำไมต้องนัดให้วุ่นวายด้วย ตัวเองก็เคยเป็นถึงผู้บัญชาการแท้ๆ”
ความหงุดหงิดยอมสลายตัวเมื่อวิเรียนชวนไปร้านหนังสือเพื่อจะได้แนะนำนิยายน่าอ่านให้ ฝ่ายเฟเรซิสก็อยากหาวิธีทำอาหารแบบเป็นผู้เป็นคนกับเขาบ้างโดยเฉพาะของหวาน...
วันรุ่งขึ้นเฟเรซิสพบพอลไลน์หน้าห้องรับรองแขก ทั้งคู่แลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องธุระหลังประตูจนได้รับอนุญาตให้เข้าไป ทั้งห้องสว่างจ้าราวต้องการข่มบารมีของผู้มาเยือน โทนาชนั่งหันหน้ามาทันทีราวละจากสิ่งอื่นใกล้ๆ หลังเก้าอี้บุนวมของเขามีควันบางๆคล้ายบางสิ่งเพิ่งสลายตัวจากสายตา ฝ่ายวิเรียนก็มองไปที่ควันดังกล่าวจนสองคนเข้ามานั่งด้านตรงข้าม
“เราเชื่อว่าสมควรอธิบายทีละเรื่องเพื่อทำให้เข้าใจตรงกัน” วิเรียนขยับตัวให้นั่งสบายขึ้นราวกับแขกคนสำคัญเพิ่งกลับไป “พวกเราเข้าใจผิดกันหมดเรื่องนักรบเทพกับผู้กล้า”
เฟเรซิสมองอย่างมีความหวัง มันอาจเป็นแค่เรื่องตลกใหญ่หรือเป็นแค่เรื่องล่าไม่ใช่ความจริง วิเรียนโยนทุกอย่างให้อดีตผู้บัญชาการเป็นคนพูด เจ้าตัวก็ไม่มีท่าทีกระตือรือร้นเลยสักนิด
โทนาชพูดเรียบเฉยรวบรัดตัดความ “นักรบเทพคือผู้ได้รับเลือกจากชีพจรธรณี ไม่จำเป็นต้องมีวีรกรรมหรือคุณความดีโดดเด่น” คำพูดดังกล่าวหยุดเฟเรซิสไม่ให้ขยับเท้าเล่นต่อ “เมื่อพลังจากชีพจรธรณีแยกไปสร้างตัวตนมันจะเรียกหายนะมาตามอัตราส่วนที่เสียไป ซึ่งนักรบเทพคนดังกล่าวต้องหยุดมันเป็นการทดสอบว่าคู่ควรไหม”
(มีต่อ)