JJNY : 4in1 ม็อบต้านปูตินผุดอื้อรอบโลก│ชาวรัสเซียทั่วโลกเผาพาสปอร์ต│สินค้าราคาพุ่งไม่หยุด│พท.อัดรบ.ไม่พร้อมดูแลปชช.

ม็อบต้านปูตินผุดอื้อรอบโลก ฝรั่งเศสเตือนโลกเตรียมพร้อมรับสงครามยืดเยื้อ
https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_6911426
 
 
ม็อบต้านปูตินผุดอื้อรอบโลก-เกรตาโผล่ผสมโรง ด้านฝรั่งเศสเตือนโลกเตรียมพร้อมรับสงครามยืดเยื้อ
   
ประธานาธิบดีเอมมาเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส กล่าวเตือนประชาคมโลกให้เตรียมตัวรับกับภาวะสงครามและความขัดแย้งยืดเยื้อระหว่างยูเครนและรัสเซีย โดยนอกจากภาวะสงครามและความขัดแย้งแล้ว ยังรวมถึงผลกระทบที่จะตามมาใหญ่หลวงยาวนานจึงจำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อม
 
สงครามกลับมาเยือนทวีปยุโรปอีกครั้ง เป็นการเลือกกระทำเพียงฝ่ายเดียวของประธานาธิบดีปูติน ที่ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมทางมนุษยธรรมตามมา ประชาชนชาวยูเครนตอนนี้กำลังพยายามต่อต้าน และยุโรปเองก็กำลังยืนเคียงข้างชาวบยูเครนในการต่อต้านครั้งนี้” มาครง ระบุ
 
วันเดียวกัน ยังมีชาวยูเครนและผู้ต่อต้านการทำสงครามของรัสเซียเดินทางออกมาชุมนุมแสดงพลังในเมืองใหญ่หลายแห่งทั่วโลก เช่น ที่นครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งมีผู้ชุมนุมหลายร้อยคนเรียกร้องให้ทางการออสเตรเลียใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียที่รุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก
 
ขณะที่การชุมนุมที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ผู้ประท้วงเรียกร้องให้ปลดรัสเซียออกจากสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือยูเอ็นเอสซี นอกจากนี้ การชุมนุมยังเกิดขึ้นที่กรุงวอร์ซอว์ ประเทศโปแลนด์ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และมหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงกรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน โดยนางสาวเกรตา ธันเบิร์ก หรือเกรียตา ทุนแบร์ย เยาวชนนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมชื่อดังก้องโลกเข้าร่วมด้วย
 

 
ชาวรัสเซียทั่วโลกเผาพาสปอร์ต แสดงจุดยืนต้านผู้นำประเทศ
https://www.matichon.co.th/foreign/news_3205051
 
ชาวรัสเซียทั่วโลกเผาพาสปอร์ต แสดงจุดยืนต้านผู้นำประเทศ
 
หลังจากรัสเซียตัดสินใจบุกเข้าโจมตีรัสเซีย เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ประชาชนทั่วโลกซึ่งรวมถึงชาวรัสเซียที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ได้ออกมาประท้วงกันอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ล่าสุดมีภาพการเผาหนังสือเดินทางรัสเซียเพื่อเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่าต่อต้านการกระทำที่โหดร้ายของปูติน



สินค้าราคาพุ่งไม่หยุด ‘น้ำมันถั่วเหลือง-เหล้า-เบียร์-ชูกำลัง’ ดาหน้าปรับขึ้น 10-30%
https://www.matichon.co.th/economy/news_3205105

สินค้าราคาพุ่งไม่หยุด ‘น้ำมันถั่วเหลือง-เหล้า-เบียร์-ชูกำลัง’ ดาหน้าปรับขึ้น 10-30%
 
เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ นายสมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่งค้าปลีกไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำมันพืชเพื่อการบริโภค พบว่า อยู่ในภาวะสต็อกเริ่มตึงตัว และราคาปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง จึงส่งผลต่อราคาขายส่งขายปลีกน้ำมันปาล์มและน้ำมันถั่วเหลืองเพื่อใช้ในครัวเรือนมีราคาสูงขึ้น โดยราคาขายปลีกน้ำมันปาล์มบรรจุขวด (1 ลิตร) เกิน 60 บาท และบางพื้นที่สูงถึง 70 บาท ขณะที่ราคาถั่วเหลืองเริ่มเกิน 55 บาท และบางพื้นที่สูงถึง 58-59 บาทแล้วหรือปรับขึ้นประมาณ 10% ต่อขวด  ซึ่งเป็นราคาที่ขยับต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา จึงทำให้ขณะนี้โมเดิร์นเทรดใช้การจำกัดจำนวนการซื้อไม่เกิน 2-6 ขวดต่อครอบครัว

ตอนนี้น้ำมันถั่วเหลืองอยู่ในภาวะตึงตัวมากขึ้น สาเหตุสะสมมาตั้งแต่การที่ราคาน้ำมันปาล์มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและจำนวนวางขายในตลาดลดลง ทำให้ประชาชนหรือพ่อค้ารายย่อยเปลี่ยนไปใช้น้ำมันถั่วเหลืองที่มีราคาถูกกว่าแทน แต่เมื่อสถานการณ์ราคาปาล์มยังสูง สต็อกปาล์มไม่ได้เพิ่มมาก และจิตวิทยาจากสถานการณ์การโจมตียูเครนของสหรัฐ อาจกระทบต่อปริมาณถั่วเหลืองโลกลดลง ซึ่งไทยยังต้องพึ่งพาการนำเข้าถั่วเหลือง เพื่อสกัดเป็นน้ำมันและเป็นส่วนผสมหนึ่งในอาหารสัตว์“ นายสมชายกล่าวและว่า
 
“แต่ก็อยากตั้งข้อสังเกตและให้ภาครัฐตรวจสอบว่ามีการบิดเบือนตลาดทั้งในแง่กักตุนวัตถุดิบ กักตุนสินค้า เพื่อเก็งกำไรและปั่นราคาตลาดให้สูงเกินความเป็นจริงหรือไม่ ปล่อยไปอย่างนี้ไม่นานจะเกิดวงจรสินค้าขาดราคาแพง อยากให้ป้องกันก่อนเกิดปัญหา เหมือนกรณีเนื้อหมู ที่พบว่ามีสต็อกมากแต่ไม่มีขายในตลาด ขณะที่ผู้ผลิตน้ำมันปาล์มและถั่วเหลืองได้จำกัดการจัดส่งถึงร้านค้าแล้ว แม้จะยังมีขายแต่ไม่ได้เท่าเดิม”
 
นายสมชาย กล่าวว่า ขณะเดียวกันได้มีผู้ผลิตในหลายสินค้าแจ้งจะมีการปรับเพิ่มราคาขายส่งแล้ว ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ อาทิ เครื่องดื่มประเภทเหล้าและเบียร์ ขอขึ้น 20-30 บาทต่อลัง (12 ขวด) บางยี่ห้อขึ้นขวดละ 5 บาท เช่น เบียร์จากขวดละ 65 บาท เป็น 70 บาท เครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อยอดนิยมขอปรับ 2 บาทต่อขวด หรือ ปรับจาก 10 บาท เป็น 12 บาท หรือปรับขึ้นถึง 20% เริ่มตั้งแต่ 1 มีนาคมนี้

นายสมชาย กล่าวถึงกำลังซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป พบว่า ค่อนข้างเงียบ แม้รัฐบาลมีการต่อโครงการคนละครึ่งเฟส 4 จะมีความคึกคักแค่ระยะแรกๆของการต่อโครงการ ซึ่งอาจเป็นเพราะวงเงินที่ได้รับน้อยกว่าครั้งก่อนๆ และเป็นเรื่องที่น่ากังวล หากรัฐไม่มีการเติมเงินให้ประชาชน กำลังซื้อก็จะไม่มี รัฐก็ต้องเติมเงินต่อเนื่อง เรื่องนี้ตนได้เสนอมาตลอดว่า รัฐควรปรับจากการแจกเงิน เป็นการสนับสนุนด้านการสร้างอาชีพ เพื่อให้ประชาชนมีรายได้
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการสำรวจโมเดิร์นเทรด พบว่า ชั้นวางสินค้าในค้าปลีกหลายแห่ง เริ่มขาดแคลน โดยเฉพาะน้ำมันพืชปาล์มและถั่วเหลือง และมีสินค้าหลายชนิดบางยี่ห้อบางตาลง ซึ่งจากการสอบถามจากพนักงานขาย ระบุว่า สินค้าบางชนิด ประชาชนเข้ามาซื้อเพิ่มมากกว่าปกติ ทำให้ทางค้าปลีกนั้นๆ ต้องใช้การจำกัดจำนวนการซื้อ เริ่มตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่