สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
ระบบราชการสมัยอยุทธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้นไม่มีการสอบครับ ส่วนใหญ่เป็นระบบอุปถัมภ์ สิ่งสำคัญที่สุดคือการได้รับแต่งตั้งหรือได้รับการอุปถัมภ์จากพระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์ หรือขุนนางผู้ใหญ่
ขุนนางผู้ใหญ่มักถวายบุตรหลานให้เป็นมหาดเล็กรับใช้พระมหากษัตริย์หรือพระราชวงศ์เพื่อสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์กับพระราชวงศ์ มีโอกาสได้เรียนรู้งานราชการ เมื่อถวายงานมาเป็นเวลานานก็อาจได้เป็นที่ไว้วางพระทัยให้ใช้สอยทำราชการต่างๆ จนเมื่อพระมหากษัตริย์เห็นว่าควรมีตำแหน่งราชการแล้วก็ตั้งให้มีตำแหน่ง และอาจได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นไปเรื่อยๆ ตามสมควร
ด้วยความที่มหาดเล็กถวายงานใกล้ชิดมานานได้รับความไว้วางพระทัยส่วนใหญ่จึงมักได้ขึ้นไปดำรงตำแหน่งระดับสูง เมื่อได้เป็นใหญ่ก็ถวายบุตรหลานเป็นมหาดเล็กรุ่นต่อไปเพื่อสืบทอดอำนาจในวงศ์ตระกูลไปเรื่อยๆ หากพระราชวงศ์ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ก็มักจะแต่งตั้งมหาดเล็กหรือข้าหลวงเดิมของตนเองขึ้นมาดำรงตำแหน่งสูงๆ เป็นปกติ
ไพร่และทาสยากที่จะได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็ก ในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศมีกฎหมายห้ามนำ "หินะชาติ" หรือผู้ไม่มีวงศ์ตระกูลมาถวายตัวเป็นมหาดเล็กโดยเด็ดขาด ดังความว่า
“อนึ่งถ้าผู้ใดหากระกูลมีได้ เปนหินะชาติเปนทาษผู้มีชื่อใช้สอยอยู่แล้ว ครั้นเล่นเบี้ยได้ก็ดี จะได้เงินแห่งใดมาเสียแก่เจ้าเงินมาเสียแก่เจ้าเงินแล้ว ๆ มาติดสอยบนบานฃอเปนมหาดเลกชาวที่นั้น อย่าให้รับเอาบังคมทูลพระกรุณาถวายให้เปนอันขาดทีเดียว เหดุว่ามิได้เคยสู่พระราชสถาน ด้วยว่าพระราชสถานนั้นกอปรด้วยเครื่องประดับประดาอลังการทังปวงเปนที่ห้ามแหนบุคละจะได้เหนเปนอันยาก
อนึ่งพระสุระเสียงแลองคพระมหากระษัตรเจ้านั้นยากที่บุคลจะได้ยินเหน ครั้นเปนคนหินะชาดิได้เหนพระราชสถานแลองค์สมเดจ์พระมหากระษัตรเจ้าและได้ฟังพระสุระเสียง อันมิควรจะได้เหนได้ฟังนั้น ก็มีใจกำเริบมัวเมาไป ก็สำคัญว่าอาตมาจะได้เปนใหญ่ ครั้นออกจากพระราชสถานแล้ว ก็จะนำเอาการในเปนการนอก แลทนงองอาจ์อวดอ้างว่าเฝ้าแหนพิดทูลได้ ก็ย่ำยีเบียดเบียนราษฎร ๆ จะได้ความแค้น”
ระบบขุนนางของอยุทธยาและรัตนโกสินทร์ เท่าที่ปรากฏไม่ได้กำหนดตายตัวว่าต้องมีการสืบทอดตำแหน่งในวงศ์ตระกูลตายตัวเหมือนยุโรป แต่บ่อยครั้งที่คนให้วงศ์ตระกูลเดียวกันมักจะได้รับราชการในกรมกองเดียวกัน และอาจมีการสืบทอดตำแหน่งไปสู่บุตรหลานได้ เพราะสมัยโบราณการเรียนรู้งานราชการมักสืบทอดกันในวงศ์ตระกูล ทำให้บุตรหลานขุนนางผู้ใหญ่มีโอกาสได้เรียนรู้งานราชการมากกว่าคนนอก ตำแหน่งเจ้าเมืองสำคัญก็อาจถูกสงวนไว้ในตระกูล เช่น ตำแหน่งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชสมัยรัตนโกสินทร์เป็นของตระกูล ณ นคร มาตลอดถึงรัชกาลที่ ๕ หรือตำแหน่งจุฬาราชมนตรีที่เป็นของเชื้อสายเฉกอะหมัดตั้งแต่สมัยอยุทธยา
ลาลูแบร์บันทึกว่าขุนนางทุกตำแหน่งสืบตระกูล แต่หากมีความผิดตระกูลนั้นก็อาจถูกถอดถอนจากตำแหน่ง และมีน้อยตระกูลที่จะรักษาตัวอยู่ได้ยั่งยืน รัชกาลที่ ๕ ก็มีพระราชนิพนธ์ว่า "ถ้าขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยผู้ใดมีบุตรดีที่ได้ทดลองแล้ว พระเจ้าแผ่นดินเห็นสมควรที่จะรับราชการสืบตระกูลบิดาได้ ก็เลื่อนยศให้สืบตระกูลบิดาไปบ้าง แต่ที่ไม่ได้สืบตระกูลบิดาเสียนั้นโดยมาก เพราะบุตรไม่ดีเหมือนบิดา"
นอกจากการถวายตัวเป็นมหาดเล็ก คนทั่วไปอาจเป็นขุนนางได้หากได้รับการสนับสนุนจากขุนนางระดับสูง เพราะในกฎหมายสมัยอยุทธยากล่าวถึงการที่สมุหนายก สมุหพระกลาโหม จตุสดมภ์ กราบทูลพระมหากษัตริย์ขอให้แต่งตั้งคนให้มีบรรดาศักดิ์พระ หลวง ขุน หมื่น ได้ ดังนั้นการได้ฝากตัวหรืออยู่ทำงานใกล้ชิดขุนนางชั้นผู้ใหญ่ก็เป็นโอกาสหนึ่งในการเป็นขุนนาง โดยมากอาจอยู่ในกรมกองหรือสังกัดของขุนนางผู้ใหญ่ที่ให้การอุปถัมภ์ แต่มีข้อยกเว้นเช่น ตำแหน่งเจ้ากรมปลัดกรมพระตำรวจหลวงมีข้อห้ามไม่ให้เสนาบดีเสนอชื่อ ต้องมาจากการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์เท่านั้น
ขุนนางที่มาจากการแต่งตั้งของเสนาบดีผู้ใหญ่ถือเป็น "ขุนนางชั้นประทวน" คือได้รับใบประทวนแต่งตั้งจากขุนนาง ส่วนขุนนางที่มาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ถือเป็น "ขุนนางชั้นสัญญาบัตร" ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรแต่งตั้ง หากเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่อาจจะได้จารึกราชทินนามในสุพรรณบัฏหรือหิรัญบัฏด้วยครับ
ในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศก็มีการออกพระราชกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่ควรเสนอชื่อเป็นขุนนางว่าต้องมี คุณานุรูป วุฒิ ๔ อธิบดี ๔
คุณานุรูป คือ เป็นผู้มีบุคลิกลักษณะดี เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย และเป็นที่เคารพของไพร่ฟ้า
วุฒิ ๔ ได้แก่
-ชาติวุฒิ คือ เป็นเชื้อสายตระกูลอัครมหาเสนาบดีสืบต่อกันมา
-วัยวุฒิ คือ มีอายุ ๓๑ ปีขึ้นไป
-คุณวุฒิ คือ มีความรู้เชี่ยวชาญทั้งการทหารและพลเรือน
-ปัญญาวุฒิ คือ มีความฉลาดรอบรู้สามารถแก้ไขปัญหาและประยุกต์ใช้ในทางราชการ
อธิบดี ๔ ประยุกต์มาจากหลักอิทธิบาท ๔ ของพระพุทธศาสนาได้แก่
-ฉันทาธิบดี คือ ถวายสิ่งที่พระเจ้าแผ่นดินประสงค์
-วิริยาธิบดี คือ มีความเพียรในราชการ
-จิตตาธิบดี คือ มีกล้าหาญในศึกสงคราม
-วิมังสาธิบดี คือ ฉลาดการพิพากษาคดีความและอุบายในราชการต่างๆ
แต่ในทางปฏิบัตินั้นยากจะได้คนที่มีความสามารถตามที่ระบุไว้ทุกประการ ในพระราชกำหนดจึงมีการผ่อนผันว่า “แม้นแต่สองประการสามประการก็ภอจะเอาเปนที่พระหลวงขุนหมื่นตามสมควร”
ถ้าใครไม่มีวุฒิ ๔ และอธิบดี ๔ “ถึงคุณาสมควรก็ดี อย่าให้สมุหกลาโหมสมุหนายกจัตุสดมกราบทูลพระกรุณาแต่งตั้งผู้นั้นเปนพระหลวงขุนหมื่นเปนอันขาดทีเดียว”
แต่คุณสมบัติที่น่าจะปฏิบัติใช้ได้จริงและชี้วัดได้ง่ายที่สุดคือ ‘ชาติวุฒิ’ เป็นตระกูลขุนนางผู้ใหญ่สืบทอดกันมาอย่างที่กล่าวไว้แล้ว
ไพร่มีโอกาสที่จะเริ่มต้นรับราชการในตำแหน่งระดับล่างได้ ปรากฏในพระไอยการอาชญาหลวงกล่าวถึง "ไพร่มาเปนหมื่นพันจ่าเสมียร" สันนิษฐานเมื่อขุนนางเห็นว่าไพร่ในสังกัดของตนมีความสามารถพอจะทำราชการใช้สอยได้ก็ตั้งให้เป็นข้าราชการ หากรู้หนังสืออ่านออกเขียนได้คงเริ่มจากงานเสมียนหรือทนายหน้าหอรับใช้ประจำตัวก่อน และอาจไต่เต้ามีบรรดาศักดิ์สูงขึ้นไปตามลำดับ แต่โอกาสที่จะได้ดำรงตำแหน่งระดับสูงชั้นสัญญาบัตรคงน้อยกว่าคนในตระกูลขุนนางมาก
นอกจากนี้ยังมีวิธีการอื่นที่จะได้รับบรรดาศักดิ์เป็นขุนนาง เช่น
เลือกอยู่ถูกข้างในศึกชิงอำนาจ แม้เป็นไพร่ไร้บรรดาศักดิ์ ถ้าช่วยเหลือเจ้านายชิงอำนาจหรือเป็นข้าหลวงเดิมมาแต่ก่อนก็มีโอกาสได้เป็นใหญ่แบบก้าวกระโดด เช่น สมเด็จพระเพทราชาทรงตั้งนายบุญมากข้าหลวงเดิมผู้มีความชอบเป็น "เจ้าพระยาวิชิตภูบาล" พระราชทานเครื่องสูงให้ครองวังหลัง หรือเมื่อรัชกาลที่ ๑ ทรงขึ้นครองราชย์ ได้แต่งตั้งข้าราชการใหม่หลายคน ที่ไม่เคยมีบรรดาศักดิ์มาก่อนก็ได้เลื่อนเป็นเจ้าพระยา พระยา พระ ครองตำแหน่งสำคัญจำนวนมาก
มีคุณสมบัติหรือความชำนาญการเฉพาะด้าน เช่น มีวิชาการต่อสู้จนมูลนายเห็นฝีมือก็อาจถูกดึงตัวไปรับราชการในกรมกองฝ่ายทหารโดยอาจได้เป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยหรือหัวหมู่นายกอง รู้ภาษาต่างประเทศ (มักเป็นลูกครึ่ง) อาจได้เป็นล่ามในกรมท่า นักมวยที่มีฝีมืออาจจะได้รับราชการในกรมทนายเลือก ผู้เป็นควาญช้างหมอช้างอาจได้รับราชการในกรมพระคชบาล มีวิชาการแพทย์อาจได้รับราชการเป็นแพทย์หลวง ช่างฝีมือแขนงต่างๆ อาจได้รับราชการในกรมช่างสิบหมู่ แต่ความสามารถหลายอย่างมักสืบทอดความรู้กันในตระกูล คนนอกยากจะเรียนรู้ได้
บวชเป็นพระสงฆ์จนมีความรู้พระธรรมหรือรู้หนังสือมีโอกาสที่จะสึกออกมารับราชการใน กรมลูกขุน กรมอาลักษณ์ กรมธรรมการ กรมราชบัณฑิต กรมสังฆการี จนในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีเหตุว่าพระสงฆ์เที่ยวประจบเจ้าและขุนนางหวังจะให้ช่วยสึกมารับราชการในกรมมหาดไทย กรมพระกลาโหม กรมท่า จนรัชกาลที่ ๔ ต้องทรงมีประกาศห้ามเด็ดขาด ทรงกำหนดว่าชาววัดควรเป็นขุนนางได้แค่ ๕ กรมแรกที่กล่าวมาเท่านั้น
มีความดีความชอบจากราชการสงคราม เช่น กฎมณเฑียรบาลระบุว่า หากพลราบสามารถช่วยให้ชนช้างชนะข้าศึกได้ หรือสามารถตัดช่องโจมตีทัพทะลวงฟันข้าศึกจนแตกพ่าย หรือไปสู้ศึกตัวต่อตัวรอดมาได้พร้อมกับยึดอาวุธศัตรูมาด้วย จะได้เลื่อนเป็นขุน
มีความดีความชอบถวายของมงคลให้ราชสำนัก เช่น นายอานชุยคล้องช้างเผือกได้ส่งมาถวายสมเด็จพระนารายณ์ จึงได้เลื่อนเป็น "ขุนคเชนทรไอยราวิสุทธิราชกริณี" ได้รับพระราชทานเจียดเงินเหลี่ยมเกลี้ยงเครื่องทองสำรับหนึ่ง เงินตรา ๒ ชั่ง ผ้าลายสรรพางค์ไหมลายปูม และเสื้อแพรสำรับหนึ่ง ภรรยานายอานชุยได้รับพระราชทานครอบเงินกลีบบัวหนัก ๑๐ ตำลึง เครื่องเงินสำรับหนึ่ง และเงินตราชั่งหนึ่ง ผ้าท้องขาวเชิงชายเขียนสำรับหนึ่ง
เป็นผู้นำชุมชนชาวต่างประเทศ เช่น ยามาดะ นางามาสะ ที่เป็น "ออกญาเสนาภิมุข" เจ้ากรมอาสาญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้นำชุมชนชาวญี่ปุ่นในรัชกาลพระเจ้าทรงธรรม นายบ้านหรือหัวหน้าชุมชนที่รับผิดชอบควบคุมส่งของป่าต่างๆ ก็อาจได้มีบรรดาศักดิ์ เช่น ในรัชกาลพระเจ้าเอกทัศโปรดให้ตั้งหัวหน้าชุมชนเขมรป่าดง ๕ คนเป็นหลวง ให้ควบคุมพวกเขมรส่วยป่าดงในตำบลบ้านที่ตนอยู่นั้นๆ ทำราชการขึ้นกับเมืองพิมาย
เป็นตัวแทนสถานีการค้าต่างประเทศ หรือเป็นพ่อค้าต่างประเทศที่ทำงานให้ราชสำนัก อาจได้รับบรรดาศักดิ์จากราชสำนัก เช่น จอร์จ ไวท์ (George White) พ่อค้าชาวอังกฤษสมัยสมเด็จพระนารายณ์ได้เป็น "ออกหลวงวิจิตรสาคร" (O Laung Vichitra Sakon) โยฮันเนส ไคส์ (Joannes Keyts) และ เอน็อค โปลฟูต (Enogh Poolvoet) หัวหน้าสถานีการค้าบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ต่างได้เป็น "หลวงอภัยวารี" (Lowang Feiwari)
ทำธุรกิจที่ต้องแบ่งผลกำไรหรือผลประโยชน์เข้าหลวง เช่น ประมูลได้เป็นเจ้าภาษีนายอากร (ส่วนมากในสมัยรัตนโกสินทร์มักเป็นชาวจีน) ก็จะได้รับบรรดาศักดิ์ เช่น นายอากรบ่อนเบี้ยในสมัยรัตนโกสินทร์จะไดด้รับประทวนตราตั้งเป็นที่ขุนพัฒนสมบัติ (หรือชื่อมีสร้อยอย่างอื่นแต่ขึ้นต้นชื่อด้วยคำว่าพัฒนทั้งนั้น เป็นเหตุให้คนทั้งหลายเรียกนายอากรบ่อนเบี้ยว่า “ขุนพัฒน์” ทุกคน) หรือจดหมายเหตุลาลูแบร์บันทึกว่า เจ้าของโรงโสเภณีในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ได้มีบรรดาศักดิ์เป็น "ออกญามีน" จ่ายภาษีให้ราชสำนัก
ติดสินบนหรือวิ่งเต้นหาเส้นสายเพื่อดึงตนเองเข้าสู่ระบบ เช่น พระเจ้ากรุงธนบุรีในพงศาวดารกรุงศรีอยุทธยาฉบับปลีกระบุว่า เดิมทรงเป็นเพียงพ่อค้าเกวียน แต่เข้าไปช่วยเหลือกรมการเมืองตากชำระถ้อยความราษฎรอยู่เนืองๆ จนเจ้าเมืองตากถึงแก่กรรมจึงลงมาอยุทธยาติดต่อกับคนรู้จักให้ช่วยเดินเรื่องให้พระยาจักรีกราบทูลขอให้ได้เป็นเจ้าเมืองตากแทน
ขุนนางผู้ใหญ่มักถวายบุตรหลานให้เป็นมหาดเล็กรับใช้พระมหากษัตริย์หรือพระราชวงศ์เพื่อสร้างเครือข่ายความสัมพันธ์กับพระราชวงศ์ มีโอกาสได้เรียนรู้งานราชการ เมื่อถวายงานมาเป็นเวลานานก็อาจได้เป็นที่ไว้วางพระทัยให้ใช้สอยทำราชการต่างๆ จนเมื่อพระมหากษัตริย์เห็นว่าควรมีตำแหน่งราชการแล้วก็ตั้งให้มีตำแหน่ง และอาจได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นไปเรื่อยๆ ตามสมควร
ด้วยความที่มหาดเล็กถวายงานใกล้ชิดมานานได้รับความไว้วางพระทัยส่วนใหญ่จึงมักได้ขึ้นไปดำรงตำแหน่งระดับสูง เมื่อได้เป็นใหญ่ก็ถวายบุตรหลานเป็นมหาดเล็กรุ่นต่อไปเพื่อสืบทอดอำนาจในวงศ์ตระกูลไปเรื่อยๆ หากพระราชวงศ์ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ก็มักจะแต่งตั้งมหาดเล็กหรือข้าหลวงเดิมของตนเองขึ้นมาดำรงตำแหน่งสูงๆ เป็นปกติ
ไพร่และทาสยากที่จะได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็ก ในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศมีกฎหมายห้ามนำ "หินะชาติ" หรือผู้ไม่มีวงศ์ตระกูลมาถวายตัวเป็นมหาดเล็กโดยเด็ดขาด ดังความว่า
“อนึ่งถ้าผู้ใดหากระกูลมีได้ เปนหินะชาติเปนทาษผู้มีชื่อใช้สอยอยู่แล้ว ครั้นเล่นเบี้ยได้ก็ดี จะได้เงินแห่งใดมาเสียแก่เจ้าเงินมาเสียแก่เจ้าเงินแล้ว ๆ มาติดสอยบนบานฃอเปนมหาดเลกชาวที่นั้น อย่าให้รับเอาบังคมทูลพระกรุณาถวายให้เปนอันขาดทีเดียว เหดุว่ามิได้เคยสู่พระราชสถาน ด้วยว่าพระราชสถานนั้นกอปรด้วยเครื่องประดับประดาอลังการทังปวงเปนที่ห้ามแหนบุคละจะได้เหนเปนอันยาก
อนึ่งพระสุระเสียงแลองคพระมหากระษัตรเจ้านั้นยากที่บุคลจะได้ยินเหน ครั้นเปนคนหินะชาดิได้เหนพระราชสถานแลองค์สมเดจ์พระมหากระษัตรเจ้าและได้ฟังพระสุระเสียง อันมิควรจะได้เหนได้ฟังนั้น ก็มีใจกำเริบมัวเมาไป ก็สำคัญว่าอาตมาจะได้เปนใหญ่ ครั้นออกจากพระราชสถานแล้ว ก็จะนำเอาการในเปนการนอก แลทนงองอาจ์อวดอ้างว่าเฝ้าแหนพิดทูลได้ ก็ย่ำยีเบียดเบียนราษฎร ๆ จะได้ความแค้น”
ระบบขุนนางของอยุทธยาและรัตนโกสินทร์ เท่าที่ปรากฏไม่ได้กำหนดตายตัวว่าต้องมีการสืบทอดตำแหน่งในวงศ์ตระกูลตายตัวเหมือนยุโรป แต่บ่อยครั้งที่คนให้วงศ์ตระกูลเดียวกันมักจะได้รับราชการในกรมกองเดียวกัน และอาจมีการสืบทอดตำแหน่งไปสู่บุตรหลานได้ เพราะสมัยโบราณการเรียนรู้งานราชการมักสืบทอดกันในวงศ์ตระกูล ทำให้บุตรหลานขุนนางผู้ใหญ่มีโอกาสได้เรียนรู้งานราชการมากกว่าคนนอก ตำแหน่งเจ้าเมืองสำคัญก็อาจถูกสงวนไว้ในตระกูล เช่น ตำแหน่งเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชสมัยรัตนโกสินทร์เป็นของตระกูล ณ นคร มาตลอดถึงรัชกาลที่ ๕ หรือตำแหน่งจุฬาราชมนตรีที่เป็นของเชื้อสายเฉกอะหมัดตั้งแต่สมัยอยุทธยา
ลาลูแบร์บันทึกว่าขุนนางทุกตำแหน่งสืบตระกูล แต่หากมีความผิดตระกูลนั้นก็อาจถูกถอดถอนจากตำแหน่ง และมีน้อยตระกูลที่จะรักษาตัวอยู่ได้ยั่งยืน รัชกาลที่ ๕ ก็มีพระราชนิพนธ์ว่า "ถ้าขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยผู้ใดมีบุตรดีที่ได้ทดลองแล้ว พระเจ้าแผ่นดินเห็นสมควรที่จะรับราชการสืบตระกูลบิดาได้ ก็เลื่อนยศให้สืบตระกูลบิดาไปบ้าง แต่ที่ไม่ได้สืบตระกูลบิดาเสียนั้นโดยมาก เพราะบุตรไม่ดีเหมือนบิดา"
นอกจากการถวายตัวเป็นมหาดเล็ก คนทั่วไปอาจเป็นขุนนางได้หากได้รับการสนับสนุนจากขุนนางระดับสูง เพราะในกฎหมายสมัยอยุทธยากล่าวถึงการที่สมุหนายก สมุหพระกลาโหม จตุสดมภ์ กราบทูลพระมหากษัตริย์ขอให้แต่งตั้งคนให้มีบรรดาศักดิ์พระ หลวง ขุน หมื่น ได้ ดังนั้นการได้ฝากตัวหรืออยู่ทำงานใกล้ชิดขุนนางชั้นผู้ใหญ่ก็เป็นโอกาสหนึ่งในการเป็นขุนนาง โดยมากอาจอยู่ในกรมกองหรือสังกัดของขุนนางผู้ใหญ่ที่ให้การอุปถัมภ์ แต่มีข้อยกเว้นเช่น ตำแหน่งเจ้ากรมปลัดกรมพระตำรวจหลวงมีข้อห้ามไม่ให้เสนาบดีเสนอชื่อ ต้องมาจากการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์เท่านั้น
ขุนนางที่มาจากการแต่งตั้งของเสนาบดีผู้ใหญ่ถือเป็น "ขุนนางชั้นประทวน" คือได้รับใบประทวนแต่งตั้งจากขุนนาง ส่วนขุนนางที่มาจากการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ถือเป็น "ขุนนางชั้นสัญญาบัตร" ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรแต่งตั้ง หากเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่อาจจะได้จารึกราชทินนามในสุพรรณบัฏหรือหิรัญบัฏด้วยครับ
ในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศก็มีการออกพระราชกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่ควรเสนอชื่อเป็นขุนนางว่าต้องมี คุณานุรูป วุฒิ ๔ อธิบดี ๔
คุณานุรูป คือ เป็นผู้มีบุคลิกลักษณะดี เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย และเป็นที่เคารพของไพร่ฟ้า
วุฒิ ๔ ได้แก่
-ชาติวุฒิ คือ เป็นเชื้อสายตระกูลอัครมหาเสนาบดีสืบต่อกันมา
-วัยวุฒิ คือ มีอายุ ๓๑ ปีขึ้นไป
-คุณวุฒิ คือ มีความรู้เชี่ยวชาญทั้งการทหารและพลเรือน
-ปัญญาวุฒิ คือ มีความฉลาดรอบรู้สามารถแก้ไขปัญหาและประยุกต์ใช้ในทางราชการ
อธิบดี ๔ ประยุกต์มาจากหลักอิทธิบาท ๔ ของพระพุทธศาสนาได้แก่
-ฉันทาธิบดี คือ ถวายสิ่งที่พระเจ้าแผ่นดินประสงค์
-วิริยาธิบดี คือ มีความเพียรในราชการ
-จิตตาธิบดี คือ มีกล้าหาญในศึกสงคราม
-วิมังสาธิบดี คือ ฉลาดการพิพากษาคดีความและอุบายในราชการต่างๆ
แต่ในทางปฏิบัตินั้นยากจะได้คนที่มีความสามารถตามที่ระบุไว้ทุกประการ ในพระราชกำหนดจึงมีการผ่อนผันว่า “แม้นแต่สองประการสามประการก็ภอจะเอาเปนที่พระหลวงขุนหมื่นตามสมควร”
ถ้าใครไม่มีวุฒิ ๔ และอธิบดี ๔ “ถึงคุณาสมควรก็ดี อย่าให้สมุหกลาโหมสมุหนายกจัตุสดมกราบทูลพระกรุณาแต่งตั้งผู้นั้นเปนพระหลวงขุนหมื่นเปนอันขาดทีเดียว”
แต่คุณสมบัติที่น่าจะปฏิบัติใช้ได้จริงและชี้วัดได้ง่ายที่สุดคือ ‘ชาติวุฒิ’ เป็นตระกูลขุนนางผู้ใหญ่สืบทอดกันมาอย่างที่กล่าวไว้แล้ว
ไพร่มีโอกาสที่จะเริ่มต้นรับราชการในตำแหน่งระดับล่างได้ ปรากฏในพระไอยการอาชญาหลวงกล่าวถึง "ไพร่มาเปนหมื่นพันจ่าเสมียร" สันนิษฐานเมื่อขุนนางเห็นว่าไพร่ในสังกัดของตนมีความสามารถพอจะทำราชการใช้สอยได้ก็ตั้งให้เป็นข้าราชการ หากรู้หนังสืออ่านออกเขียนได้คงเริ่มจากงานเสมียนหรือทนายหน้าหอรับใช้ประจำตัวก่อน และอาจไต่เต้ามีบรรดาศักดิ์สูงขึ้นไปตามลำดับ แต่โอกาสที่จะได้ดำรงตำแหน่งระดับสูงชั้นสัญญาบัตรคงน้อยกว่าคนในตระกูลขุนนางมาก
นอกจากนี้ยังมีวิธีการอื่นที่จะได้รับบรรดาศักดิ์เป็นขุนนาง เช่น
เลือกอยู่ถูกข้างในศึกชิงอำนาจ แม้เป็นไพร่ไร้บรรดาศักดิ์ ถ้าช่วยเหลือเจ้านายชิงอำนาจหรือเป็นข้าหลวงเดิมมาแต่ก่อนก็มีโอกาสได้เป็นใหญ่แบบก้าวกระโดด เช่น สมเด็จพระเพทราชาทรงตั้งนายบุญมากข้าหลวงเดิมผู้มีความชอบเป็น "เจ้าพระยาวิชิตภูบาล" พระราชทานเครื่องสูงให้ครองวังหลัง หรือเมื่อรัชกาลที่ ๑ ทรงขึ้นครองราชย์ ได้แต่งตั้งข้าราชการใหม่หลายคน ที่ไม่เคยมีบรรดาศักดิ์มาก่อนก็ได้เลื่อนเป็นเจ้าพระยา พระยา พระ ครองตำแหน่งสำคัญจำนวนมาก
มีคุณสมบัติหรือความชำนาญการเฉพาะด้าน เช่น มีวิชาการต่อสู้จนมูลนายเห็นฝีมือก็อาจถูกดึงตัวไปรับราชการในกรมกองฝ่ายทหารโดยอาจได้เป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยหรือหัวหมู่นายกอง รู้ภาษาต่างประเทศ (มักเป็นลูกครึ่ง) อาจได้เป็นล่ามในกรมท่า นักมวยที่มีฝีมืออาจจะได้รับราชการในกรมทนายเลือก ผู้เป็นควาญช้างหมอช้างอาจได้รับราชการในกรมพระคชบาล มีวิชาการแพทย์อาจได้รับราชการเป็นแพทย์หลวง ช่างฝีมือแขนงต่างๆ อาจได้รับราชการในกรมช่างสิบหมู่ แต่ความสามารถหลายอย่างมักสืบทอดความรู้กันในตระกูล คนนอกยากจะเรียนรู้ได้
บวชเป็นพระสงฆ์จนมีความรู้พระธรรมหรือรู้หนังสือมีโอกาสที่จะสึกออกมารับราชการใน กรมลูกขุน กรมอาลักษณ์ กรมธรรมการ กรมราชบัณฑิต กรมสังฆการี จนในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีเหตุว่าพระสงฆ์เที่ยวประจบเจ้าและขุนนางหวังจะให้ช่วยสึกมารับราชการในกรมมหาดไทย กรมพระกลาโหม กรมท่า จนรัชกาลที่ ๔ ต้องทรงมีประกาศห้ามเด็ดขาด ทรงกำหนดว่าชาววัดควรเป็นขุนนางได้แค่ ๕ กรมแรกที่กล่าวมาเท่านั้น
มีความดีความชอบจากราชการสงคราม เช่น กฎมณเฑียรบาลระบุว่า หากพลราบสามารถช่วยให้ชนช้างชนะข้าศึกได้ หรือสามารถตัดช่องโจมตีทัพทะลวงฟันข้าศึกจนแตกพ่าย หรือไปสู้ศึกตัวต่อตัวรอดมาได้พร้อมกับยึดอาวุธศัตรูมาด้วย จะได้เลื่อนเป็นขุน
มีความดีความชอบถวายของมงคลให้ราชสำนัก เช่น นายอานชุยคล้องช้างเผือกได้ส่งมาถวายสมเด็จพระนารายณ์ จึงได้เลื่อนเป็น "ขุนคเชนทรไอยราวิสุทธิราชกริณี" ได้รับพระราชทานเจียดเงินเหลี่ยมเกลี้ยงเครื่องทองสำรับหนึ่ง เงินตรา ๒ ชั่ง ผ้าลายสรรพางค์ไหมลายปูม และเสื้อแพรสำรับหนึ่ง ภรรยานายอานชุยได้รับพระราชทานครอบเงินกลีบบัวหนัก ๑๐ ตำลึง เครื่องเงินสำรับหนึ่ง และเงินตราชั่งหนึ่ง ผ้าท้องขาวเชิงชายเขียนสำรับหนึ่ง
เป็นผู้นำชุมชนชาวต่างประเทศ เช่น ยามาดะ นางามาสะ ที่เป็น "ออกญาเสนาภิมุข" เจ้ากรมอาสาญี่ปุ่นซึ่งเป็นผู้นำชุมชนชาวญี่ปุ่นในรัชกาลพระเจ้าทรงธรรม นายบ้านหรือหัวหน้าชุมชนที่รับผิดชอบควบคุมส่งของป่าต่างๆ ก็อาจได้มีบรรดาศักดิ์ เช่น ในรัชกาลพระเจ้าเอกทัศโปรดให้ตั้งหัวหน้าชุมชนเขมรป่าดง ๕ คนเป็นหลวง ให้ควบคุมพวกเขมรส่วยป่าดงในตำบลบ้านที่ตนอยู่นั้นๆ ทำราชการขึ้นกับเมืองพิมาย
เป็นตัวแทนสถานีการค้าต่างประเทศ หรือเป็นพ่อค้าต่างประเทศที่ทำงานให้ราชสำนัก อาจได้รับบรรดาศักดิ์จากราชสำนัก เช่น จอร์จ ไวท์ (George White) พ่อค้าชาวอังกฤษสมัยสมเด็จพระนารายณ์ได้เป็น "ออกหลวงวิจิตรสาคร" (O Laung Vichitra Sakon) โยฮันเนส ไคส์ (Joannes Keyts) และ เอน็อค โปลฟูต (Enogh Poolvoet) หัวหน้าสถานีการค้าบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ต่างได้เป็น "หลวงอภัยวารี" (Lowang Feiwari)
ทำธุรกิจที่ต้องแบ่งผลกำไรหรือผลประโยชน์เข้าหลวง เช่น ประมูลได้เป็นเจ้าภาษีนายอากร (ส่วนมากในสมัยรัตนโกสินทร์มักเป็นชาวจีน) ก็จะได้รับบรรดาศักดิ์ เช่น นายอากรบ่อนเบี้ยในสมัยรัตนโกสินทร์จะไดด้รับประทวนตราตั้งเป็นที่ขุนพัฒนสมบัติ (หรือชื่อมีสร้อยอย่างอื่นแต่ขึ้นต้นชื่อด้วยคำว่าพัฒนทั้งนั้น เป็นเหตุให้คนทั้งหลายเรียกนายอากรบ่อนเบี้ยว่า “ขุนพัฒน์” ทุกคน) หรือจดหมายเหตุลาลูแบร์บันทึกว่า เจ้าของโรงโสเภณีในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ได้มีบรรดาศักดิ์เป็น "ออกญามีน" จ่ายภาษีให้ราชสำนัก
ติดสินบนหรือวิ่งเต้นหาเส้นสายเพื่อดึงตนเองเข้าสู่ระบบ เช่น พระเจ้ากรุงธนบุรีในพงศาวดารกรุงศรีอยุทธยาฉบับปลีกระบุว่า เดิมทรงเป็นเพียงพ่อค้าเกวียน แต่เข้าไปช่วยเหลือกรมการเมืองตากชำระถ้อยความราษฎรอยู่เนืองๆ จนเจ้าเมืองตากถึงแก่กรรมจึงลงมาอยุทธยาติดต่อกับคนรู้จักให้ช่วยเดินเรื่องให้พระยาจักรีกราบทูลขอให้ได้เป็นเจ้าเมืองตากแทน
แสดงความคิดเห็น
การเข้ารับราชการสมัยโบราณของไทย ใช้ระบบสอบคัดเลือกหรือสืบทอดตามสายเลือด