จขกท. เป็นอดีตเด็กเนิร์ดหนอนหนังสือยุคเก้าศูนย์ ตั้งแต่สมัยที่การหาข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตยังไม่แพร่หลายเท่าปัจจุบัน ยุคนั้นเสิร์จเอ็นจิ้นที่จำได้น่าจะมีแค่ยาฮูมั้งที่นิยมกันที่สุด กูเกิลยอดนิยมของยุคนี้น่าจะยังไม่เกิด (หรืออาจจะเกิดแล้ว แต่เราไม่รู้จักเอง) ส่วนบราวเซอร์ยอดนิยมก็เป็นเนสเคปที่คนรุ่นใหม่อาจจะไม่รู้จักกันแล้ว
และความรู้สึกในตอนนั้นอินเตอร์เน็ตแบบรายเดือนก็ยังมีราคาแพงและเกินความจำเป็นสำหรับเราที่เพิ่งเรียนจบ ทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศระดับล่างที่รายได้ไม่มากนัก อินเตอร์เน็ตในที่ทำงานยังมีไม่กี่เครื่องที่ใช้ได้และถูกจำกัดวงให้ใช้เฉพาะผู้บริหารและ จนท. หน่วยงานที่ต้องติดต่อต่างประเทศเป็นหลัก
การใช้งานอินเตอร์เน็ตของเราเลยต้องขวนขวายหามาใช้เอาเอง ส่วนใหญ่จะใช้วิธีซื้อการ์ดอินเตอร์เน็ตเป็นครั้งคราวเอารหัสมาคอนเน็คผ่านสายโทรศัพท์เข้าโมเด็มความเร็วต่ำ 56K ที่บ้าน ฟังเสียงตู้ดๆ ครืดๆ พรืดๆ แพร่ดๆ แล้วมารอลุ้นว่าจะคอนเน็คติดมั้ย ข้อมูลที่ต้องการจะค้นหาเจอทันกับงานหรือปล่าว
ด้วยอาชีพการงานสายพัฒนาโปรดัคส์อุตสาหกรรมที่จะต้องหาข้อมูลใหม่ๆ มาใช้ในสายงานบ่อยๆ ข้อมูลที่ต้องการในอินเตอร์เน็ตยุคนั้นก็อยู่ในช่วงเริ่มต้น ก็ยังมีให้หาเจอไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นของต่างประเทศ และไม่ให้ความละเอียดของข้อมูลเชิงลึกมากพอเหมือนยุคปัจจุบัน ดังนั้นการหาความรู้ส่วนใหญ่ก็เลยยังคงต้องหาผ่านสื่อสิ่งพิมพ์อย่างหนังสือเป็นหลัก ชีวิตหลังเลิกงานของเราก็เลยจะวนเวียนอยู่แต่ในร้านหนังสือเป็นกิจวัตร
ร้านซีเอ็ด ดอกหญ้า ดวงกมล และร้านหนังสืออื่นๆ รวมถึงแผนกหนังสือในห้างจะเป็นสถานที่ยอดฮิตของเราแทบทุกวัน เรียกว่าต้องมีติดไม้ติดมือกลับบ้านวันละเล่มสองเล่มเป็นเรื่องปรกติธรรมดามาก
วันหยุดถ้าไม่มีงานอื่นทำ เราก็จะไปเดินเล่นตามร้านหนังสือมือสอง หาหนังสือเก่าๆ ทั้งสายบันเทิงสายความรู้ มาอ่านบ้าง นานๆทีก็ไปหาซื้อหนังสือเกี่ยวกับสายงานเทคนิค หรือหนังสือต่างประเทศที่มีรูปภาพสวยๆ แถวสวนจตุจักรมาเก็บสะสม
เราไม่เคยนับจำนวนหนังสือที่มี แต่หลังจากเก็บสะสมมาหลายปีเคยลองประเมินคร่าวๆ ด้วยสายตาก็น่าจะหลายพันเล่มอาจจะถึงหมื่น เพราะตั้งแต่เริ่มทำงานมีรายได้ก็ยังนึกไม่ออกว่ามีวันไหนบ้างที่ไม่เคยซื้อหนังสือกลับบ้าน อ่านไม่อ่านไม่รู้แต่ขอให้ได้ซื้อไว้ก่อน
แรกๆตอนรายได้ไม่มากนักก็ซื้อพวกหนังสือนิตยสารราคาไม่กี่สิบบาท อ่านไปสะสมไป พอทำงานนานไปรายได้เยอะขึ้นก็ขยับไปเป็นพวกหนังสือหัวนอก และเท็กซ์บุ้คสั่งจากต่างประเทศ ยังไม่นับรวมถึงประเภทที่บอกรับสมาชิกประจำที่ส่งมาให้ถึงที่ทำงานอีก
ก็เคยคิดคำนวณเล่นๆ พอประเมินได้ว่าปีๆ นึงจ่ายค่าหนังสือไปหลายหมื่นบาท ทำงานมาเกือบสามสิบปี เงินหมดไปกับค่าหนังสือรวมๆแล้วหลายแสนอยู่ จะเรียกว่าเฉียดล้านก็ว่าได้มั้ง
นึกถึงตอนนี้ก็รู้สึกว่าเป็นเงินก้อนใหญ่มากแอบเสียดายตังนิดนึง แต่ก็เข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องของความจำเป็นด้วย เพราะว่ามีส่วนที่ต้องเอามาใช้ในอาชีพการงาน และเป็นของสะสมที่ให้ความสุขทางใจกับชีวิต คงไม่ต่างกับของสะสมอื่นๆ อย่างพระเครื่อง แผ่นเสียง โมเดลฟิกเกอร์ ฯลฯ ที่ชาวบ้านเขานิยมสะสมกัน เพียงแต่ของเราถ้าเอาไปขายต่ออาจจะไม่ได้ราคา หรือไม่ได้เป็นของที่คนส่วนใหญ่ต้องการ
หนังสือที่เก็บไว้ปัจจุบันเอาใส่ลังแพ็คเก็บเอาไว้ได้หลายสิบลังนี่ขนาดคัดแยกทยอยเอาไปบริจาคให้มูลนิธิการกุศลต่างๆ เพื่อส่งต่อให้กับ รร. ในชนบทไปประมาณครึ่งนึงแล้ว เพราะตอนนี้เออร์รี่รีไทร์จากงานประจำใน กทม. มาหลายปีละ มาอยู่ ตจว. ทำธุรกิจส่วนตัว
บรรดาหนังสือทั้งหลายที่มีเหลืออยู่ก็ติดสอยห้อยตามใส่รถบรรทุกเต็มคันรถกลับมาด้วย ราวกับย้ายห้องสมุดกันทีเดียวเชียว เพียงแต่ทุกวันนี้ยังเก็บกองอยู่ในลังเอาไว้บนชั้นสองของบ้านเพราะยังหาที่ลงอันเหมาะสมไม่ได้
ปัจจุบันการหาข้อมูลความรู้ต่างๆ ผ่านทางสื่อออนไลน์ พัฒนาจนแทบไม่มีขีดจำกัดแล้ว ทั้งความสะดวก รวดเร็วและให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ส่วนสื่อสิ่งพิมพ์ก็อย่างที่เห็นกันโดนผลกระทบจนร้านหนังสือใหญ่ๆ ปิดตัวกันเพียบ ที่มีเหลืออยู่ก็ดูเงียบเหงาอย่างน่าใจหาย ไปเดินๆดูร้านหนังสือยุคนี้ลูกค้ามาเดินกันโหรงเหรงมาก บรรยากาศวังเวง บางที่มีแต่พนักงานประจำร้านนั่งคุยกัน เราเดินเข้าไปมองซ้ายมองขวาก็มีแต่เราเป็นลูกค้าอยู่คนเดียว
แต่ไม่ว่ายังไงเราก็ยังนิยมชมชอบกับการได้อ่านหนังสือ มีเวลาก็หยิบเอาจากในลังมาปัดฝุ่นนอนอ่านเล่น ดูรูป เอาหนังสือปิดหน้าเวลาแอบงีบ กลิ่นของหนังสือให้ความรู้สึกย้อนวัยกลับไปเป็นเหมือนตอนที่เป็นนักศึกษาปีหนึ่งแล้วไปหาข้อมูลทำรายงาน อ่านหนังสือในห้องสมุดของมหา'ลัยพร้อมๆกับแอบเหล่สาวๆในห้องสมุดไปด้วย ก็ไม่รู้ว่าบรรยากาศของห้องสมุดปัจจุบันนี้เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง จะยังเหมือนสมัยเราเป็นหนุ่มกระเตาะหรือปล่าว
ตอนนี้กำลังก่อสร้างทำห้องทำงานเพิ่ม เป็นโฮมออฟฟิศที่จะเอาไว้ทั้งรับแขก คุยงานและกลายร่างเป็นห้องพักผ่อนในยามเลิกงาน เลยคิดว่าอยากจะทำมุมหรือผนังด้านนึงเป็นชั้นวางหนังสือแบบเต็มผนังตั้งแต่พื้นไปยันถึงเพดานไปเลยเพื่อจะได้ขนเอาหนังสือที่เก็บไว้จำนวนมากในลังมาใส่ มีที่อยู่ให้กับเพื่อนเก่าเสียที
ส่วนจะได้เอาออกมาอ่านบ้างหรือปล่าวก็เป็นอีกเรื่องแต่ดูน่าจะมีความสุขดีเวลาได้เห็นผนังห้องเป็นแถวหนังสือเรียงรายกันเยอะๆ เต็มผนัง ถ้าว่างๆไม่มีอะไรทำก็คงเอาออกมานอนอ่านบนเดย์เบด แล้วก็หลับไปตรงหน้าชั้นวางหนังสือนี่แหละ ให้อารมณ์และบรรยากาศเสมือนแอบหลับอยู่ในห้องสมุดมหา'ลัย
เลยแอบคิดว่าตอนนี้จะมีชนกลุ่มเหลือน้อยแบบเราบ้างมั้ย ที่ยังชอบอ่านหนังสือแบบที่เป็นรูปเล่ม ที่ยังคิดอยากทำห้องเก็บหนังสือ หรือมุมชั้นเก็บหนังสือใหญ่ๆ กันในบ้านอยู่ ยิ่งกับคนรุ่นใหม่ที่สื่อออนไลน์เข้ามาทดแทน แทบทุกอย่างในโลกของหนังสือได้เกือบทั้งหมด (อาจจะมีเหลือแค่กลิ่นหนังสือล่ะมั้งที่ยังทำไม่ได้ ) คงจะใช้สมาร์ททีวี มือถือ แทบแล็ต อีบุ้ครีดเดอร์ ใช้ดูใช้อ่านแทนหนังสือกันเกือบหมดแล้ว
ดังนั้น การที่จะมีห้องหนังสือไว้นั่งๆนอนๆอ่านเล่น มีตู้หรือชั้นวางที่มีหนังสือเรียงรายอยู่กันจำนวนมากให้เปลืองพื้นที่คงจะไม่ใช่สิ่งที่ต้องมีไว้ในบ้านอีกต่อไปกับบ้านยุคนี้แล้ว เหล่าบรรดาชนเผ่าชาวหนอนหนังสือ (เข้าใจว่าส่วนใหญ่น่าจะเริ่มสูงวัยกันแล้ว) มีความคิดเห็นกันยังไงบ้าง
แล้วปัจจุบันชะตาชีวิตของเหล่าหนังสือที่บ้านของท่านได้เก็บสะสมกันไว้ยังอยู่สุขสบายดีกันมั้ย โดนลูกหลานแอบเอาไปมัดตราสังข์ชั่งกิโลขายซาเล้ง หรือกลายเป็นของเก่าเก็บอันล้ำค่าในมุมมืดของห้องเก็บของกันบ้างหรือปล่าว 😎
ในยุคนี้บ้านของท่านยังทำห้องเก็บสะสมหนังสือ หรือมีตู้ มีชั้นวางที่มีหนังสือเรียงรายเป็นแถวไว้ในบ้านกันอยู่มั้ย
และความรู้สึกในตอนนั้นอินเตอร์เน็ตแบบรายเดือนก็ยังมีราคาแพงและเกินความจำเป็นสำหรับเราที่เพิ่งเรียนจบ ทำงานเป็นพนักงานออฟฟิศระดับล่างที่รายได้ไม่มากนัก อินเตอร์เน็ตในที่ทำงานยังมีไม่กี่เครื่องที่ใช้ได้และถูกจำกัดวงให้ใช้เฉพาะผู้บริหารและ จนท. หน่วยงานที่ต้องติดต่อต่างประเทศเป็นหลัก
การใช้งานอินเตอร์เน็ตของเราเลยต้องขวนขวายหามาใช้เอาเอง ส่วนใหญ่จะใช้วิธีซื้อการ์ดอินเตอร์เน็ตเป็นครั้งคราวเอารหัสมาคอนเน็คผ่านสายโทรศัพท์เข้าโมเด็มความเร็วต่ำ 56K ที่บ้าน ฟังเสียงตู้ดๆ ครืดๆ พรืดๆ แพร่ดๆ แล้วมารอลุ้นว่าจะคอนเน็คติดมั้ย ข้อมูลที่ต้องการจะค้นหาเจอทันกับงานหรือปล่าว
ด้วยอาชีพการงานสายพัฒนาโปรดัคส์อุตสาหกรรมที่จะต้องหาข้อมูลใหม่ๆ มาใช้ในสายงานบ่อยๆ ข้อมูลที่ต้องการในอินเตอร์เน็ตยุคนั้นก็อยู่ในช่วงเริ่มต้น ก็ยังมีให้หาเจอไม่มากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นของต่างประเทศ และไม่ให้ความละเอียดของข้อมูลเชิงลึกมากพอเหมือนยุคปัจจุบัน ดังนั้นการหาความรู้ส่วนใหญ่ก็เลยยังคงต้องหาผ่านสื่อสิ่งพิมพ์อย่างหนังสือเป็นหลัก ชีวิตหลังเลิกงานของเราก็เลยจะวนเวียนอยู่แต่ในร้านหนังสือเป็นกิจวัตร
ร้านซีเอ็ด ดอกหญ้า ดวงกมล และร้านหนังสืออื่นๆ รวมถึงแผนกหนังสือในห้างจะเป็นสถานที่ยอดฮิตของเราแทบทุกวัน เรียกว่าต้องมีติดไม้ติดมือกลับบ้านวันละเล่มสองเล่มเป็นเรื่องปรกติธรรมดามาก
วันหยุดถ้าไม่มีงานอื่นทำ เราก็จะไปเดินเล่นตามร้านหนังสือมือสอง หาหนังสือเก่าๆ ทั้งสายบันเทิงสายความรู้ มาอ่านบ้าง นานๆทีก็ไปหาซื้อหนังสือเกี่ยวกับสายงานเทคนิค หรือหนังสือต่างประเทศที่มีรูปภาพสวยๆ แถวสวนจตุจักรมาเก็บสะสม
เราไม่เคยนับจำนวนหนังสือที่มี แต่หลังจากเก็บสะสมมาหลายปีเคยลองประเมินคร่าวๆ ด้วยสายตาก็น่าจะหลายพันเล่มอาจจะถึงหมื่น เพราะตั้งแต่เริ่มทำงานมีรายได้ก็ยังนึกไม่ออกว่ามีวันไหนบ้างที่ไม่เคยซื้อหนังสือกลับบ้าน อ่านไม่อ่านไม่รู้แต่ขอให้ได้ซื้อไว้ก่อน
แรกๆตอนรายได้ไม่มากนักก็ซื้อพวกหนังสือนิตยสารราคาไม่กี่สิบบาท อ่านไปสะสมไป พอทำงานนานไปรายได้เยอะขึ้นก็ขยับไปเป็นพวกหนังสือหัวนอก และเท็กซ์บุ้คสั่งจากต่างประเทศ ยังไม่นับรวมถึงประเภทที่บอกรับสมาชิกประจำที่ส่งมาให้ถึงที่ทำงานอีก
ก็เคยคิดคำนวณเล่นๆ พอประเมินได้ว่าปีๆ นึงจ่ายค่าหนังสือไปหลายหมื่นบาท ทำงานมาเกือบสามสิบปี เงินหมดไปกับค่าหนังสือรวมๆแล้วหลายแสนอยู่ จะเรียกว่าเฉียดล้านก็ว่าได้มั้ง
นึกถึงตอนนี้ก็รู้สึกว่าเป็นเงินก้อนใหญ่มากแอบเสียดายตังนิดนึง แต่ก็เข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องของความจำเป็นด้วย เพราะว่ามีส่วนที่ต้องเอามาใช้ในอาชีพการงาน และเป็นของสะสมที่ให้ความสุขทางใจกับชีวิต คงไม่ต่างกับของสะสมอื่นๆ อย่างพระเครื่อง แผ่นเสียง โมเดลฟิกเกอร์ ฯลฯ ที่ชาวบ้านเขานิยมสะสมกัน เพียงแต่ของเราถ้าเอาไปขายต่ออาจจะไม่ได้ราคา หรือไม่ได้เป็นของที่คนส่วนใหญ่ต้องการ
หนังสือที่เก็บไว้ปัจจุบันเอาใส่ลังแพ็คเก็บเอาไว้ได้หลายสิบลังนี่ขนาดคัดแยกทยอยเอาไปบริจาคให้มูลนิธิการกุศลต่างๆ เพื่อส่งต่อให้กับ รร. ในชนบทไปประมาณครึ่งนึงแล้ว เพราะตอนนี้เออร์รี่รีไทร์จากงานประจำใน กทม. มาหลายปีละ มาอยู่ ตจว. ทำธุรกิจส่วนตัว
บรรดาหนังสือทั้งหลายที่มีเหลืออยู่ก็ติดสอยห้อยตามใส่รถบรรทุกเต็มคันรถกลับมาด้วย ราวกับย้ายห้องสมุดกันทีเดียวเชียว เพียงแต่ทุกวันนี้ยังเก็บกองอยู่ในลังเอาไว้บนชั้นสองของบ้านเพราะยังหาที่ลงอันเหมาะสมไม่ได้
ปัจจุบันการหาข้อมูลความรู้ต่างๆ ผ่านทางสื่อออนไลน์ พัฒนาจนแทบไม่มีขีดจำกัดแล้ว ทั้งความสะดวก รวดเร็วและให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ ส่วนสื่อสิ่งพิมพ์ก็อย่างที่เห็นกันโดนผลกระทบจนร้านหนังสือใหญ่ๆ ปิดตัวกันเพียบ ที่มีเหลืออยู่ก็ดูเงียบเหงาอย่างน่าใจหาย ไปเดินๆดูร้านหนังสือยุคนี้ลูกค้ามาเดินกันโหรงเหรงมาก บรรยากาศวังเวง บางที่มีแต่พนักงานประจำร้านนั่งคุยกัน เราเดินเข้าไปมองซ้ายมองขวาก็มีแต่เราเป็นลูกค้าอยู่คนเดียว
แต่ไม่ว่ายังไงเราก็ยังนิยมชมชอบกับการได้อ่านหนังสือ มีเวลาก็หยิบเอาจากในลังมาปัดฝุ่นนอนอ่านเล่น ดูรูป เอาหนังสือปิดหน้าเวลาแอบงีบ กลิ่นของหนังสือให้ความรู้สึกย้อนวัยกลับไปเป็นเหมือนตอนที่เป็นนักศึกษาปีหนึ่งแล้วไปหาข้อมูลทำรายงาน อ่านหนังสือในห้องสมุดของมหา'ลัยพร้อมๆกับแอบเหล่สาวๆในห้องสมุดไปด้วย ก็ไม่รู้ว่าบรรยากาศของห้องสมุดปัจจุบันนี้เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง จะยังเหมือนสมัยเราเป็นหนุ่มกระเตาะหรือปล่าว
ตอนนี้กำลังก่อสร้างทำห้องทำงานเพิ่ม เป็นโฮมออฟฟิศที่จะเอาไว้ทั้งรับแขก คุยงานและกลายร่างเป็นห้องพักผ่อนในยามเลิกงาน เลยคิดว่าอยากจะทำมุมหรือผนังด้านนึงเป็นชั้นวางหนังสือแบบเต็มผนังตั้งแต่พื้นไปยันถึงเพดานไปเลยเพื่อจะได้ขนเอาหนังสือที่เก็บไว้จำนวนมากในลังมาใส่ มีที่อยู่ให้กับเพื่อนเก่าเสียที
ส่วนจะได้เอาออกมาอ่านบ้างหรือปล่าวก็เป็นอีกเรื่องแต่ดูน่าจะมีความสุขดีเวลาได้เห็นผนังห้องเป็นแถวหนังสือเรียงรายกันเยอะๆ เต็มผนัง ถ้าว่างๆไม่มีอะไรทำก็คงเอาออกมานอนอ่านบนเดย์เบด แล้วก็หลับไปตรงหน้าชั้นวางหนังสือนี่แหละ ให้อารมณ์และบรรยากาศเสมือนแอบหลับอยู่ในห้องสมุดมหา'ลัย
เลยแอบคิดว่าตอนนี้จะมีชนกลุ่มเหลือน้อยแบบเราบ้างมั้ย ที่ยังชอบอ่านหนังสือแบบที่เป็นรูปเล่ม ที่ยังคิดอยากทำห้องเก็บหนังสือ หรือมุมชั้นเก็บหนังสือใหญ่ๆ กันในบ้านอยู่ ยิ่งกับคนรุ่นใหม่ที่สื่อออนไลน์เข้ามาทดแทน แทบทุกอย่างในโลกของหนังสือได้เกือบทั้งหมด (อาจจะมีเหลือแค่กลิ่นหนังสือล่ะมั้งที่ยังทำไม่ได้ ) คงจะใช้สมาร์ททีวี มือถือ แทบแล็ต อีบุ้ครีดเดอร์ ใช้ดูใช้อ่านแทนหนังสือกันเกือบหมดแล้ว
ดังนั้น การที่จะมีห้องหนังสือไว้นั่งๆนอนๆอ่านเล่น มีตู้หรือชั้นวางที่มีหนังสือเรียงรายอยู่กันจำนวนมากให้เปลืองพื้นที่คงจะไม่ใช่สิ่งที่ต้องมีไว้ในบ้านอีกต่อไปกับบ้านยุคนี้แล้ว เหล่าบรรดาชนเผ่าชาวหนอนหนังสือ (เข้าใจว่าส่วนใหญ่น่าจะเริ่มสูงวัยกันแล้ว) มีความคิดเห็นกันยังไงบ้าง
แล้วปัจจุบันชะตาชีวิตของเหล่าหนังสือที่บ้านของท่านได้เก็บสะสมกันไว้ยังอยู่สุขสบายดีกันมั้ย โดนลูกหลานแอบเอาไปมัดตราสังข์ชั่งกิโลขายซาเล้ง หรือกลายเป็นของเก่าเก็บอันล้ำค่าในมุมมืดของห้องเก็บของกันบ้างหรือปล่าว 😎