ร่ำไห้โฮ! แม่พลทหารถูกซ้อมดับ ร้องคดีไม่คืบ เชื่อถ่วงเวลา แฉคนผิดไม่ถูกพักราชการแถมได้ดี
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_6896030
ร่ำไห้โฮ! แม่พลทหารถูกซ้อมดับคาคุก ร้องทบ. 5 ปีแล้วคดีไม่คืบ เชื่อถ่วงเวลาให้จำเลยที่ 11 ที่ต้องขึ้นศาลทหาร แฉผู้ต้องหาไม่ถูกพักราชการ แถมยังได้ดี
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 18 ก.พ.65 ที่กองบัญชาการกองทัพบก นาง
เรณู หมดราคี อายุ 46 ปี แม่ของ พลทหาร
ยุทธินันท์ บุญเนียม ที่เสียชีวิตในเรือนจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นข่าวดังเมื่อปี 2560 เดินทางมาขอความเป็นธรรม ในคดีที่ลูกชายถูกทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิต แต่ไม่มีความคืบหน้า
นาย
เรณู มองว่า อาจต้องการประวิงเวลาในการขึ้นศาลทหารของจำเลย 11 คนที่มีส่วนร่วมในการกระทำผิด จนทำให้ลูกชายเสียชีวิต ขณะนี้เรื่องยังอยู่ในชั้นของศาลทหาร มณฑลทหารบกที่ 45 ซึ่งเวลาล่วงเลยมา 5 ปีแล้ว ยังไม่มีอะไรคืบหน้า ทั้งที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สรุปการชันสูตรพลิกศพ ระบุว่า ถูกทำร้ายจนเสียชีวิต โดยจำเลยเองก็ได้รับการสารภาพไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม วันนี้ยังไม่ได้มีการรับเรื่อง เนื่องจากทหารเวรแจ้งให้ตนกลับไปรวบรวมเอกสาร และเขียนยื่นคำร้องเป็นทางการมาอีกครั้ง
นาง
เรณู กล่าวทั้งน้ำตาว่า ต้องการขอความเป็นธรรมจาก พล.อ.
ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้ลงมาดูเรื่องนี้ด้วย เพราะคดีไม่มีอะไรซับซ้อนเลย ทางจำเลยก็รับสารภาพแล้ว แต่ศาลนัดมาแล้วก็มาไม่ครบ ทำให้ต้องเลื่อนออกไป
“
แถมรองผบ.เรือนจำ ในขณะนั้นบางคนยังได้ดิบได้ดี ไม่ถูกพักราชการเหมือนจำเลยคนอื่น จริงๆ แล้วลูกชายรักทหารบกมาก ให้ไปสมัครเหล่าทัพอื่นก็ไม่ไป จะมาสมัครทหารบกให้ได้ โดยไม่กี่เดือนก็จะปลดประจำการแล้ว แต่ต้องมาจบชีวิตก่อน ซึ่งทางผู้บังคับบัญชาช่วงนั้นก็บอกเรา จับผู้กระทำผิดได้แล้ว แต่คดีก็ยังไม่คืบ ซึ่งดิฉันก็จะเดินทางมายื่นหนังสืออีกครั้ง” นาง
เรณู กล่าว
อสังหาฯหวั่นเงินเฟ้อฉุดกำลังซื้อคาดฟื้นตัวปี67
https://www.bangkokbiznews.com/business/989091
ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ หวั่นปัจจัยลบปี65 ภาวะเงินเฟ้อฉุดกำลังซื้อ ต้นทุนวัสดุแรงงาน การฟื้นตัวเศรษฐกิจ ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร กระทบธุรกิจอสังหาฯ ล่าสุดปรับคาดการณ์ตลาดฟื้นตัวปี67 จากเดิมปี66
นาย
วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่าในปี 2565 ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงต้องเผชิญกับทั้งปัจจัยบวก และปัจจัยลบ โดยในส่วนของปัจจัยบวกประกอบด้วย การมีมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐ (ลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนองเหลือร้อยละ 0.01 รวมถึงการขยายไปสู่บ้านมือสองด้วย) มีการผ่อนคลายมาตรการผ่อนปรนมาตรการแอลทีวีของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จะช่วยให้มีการซื้อบ้านสัญญาที่ 2 และ 3 เพื่ออยู่อาศัยและเพื่อการลงทุนมีเพิ่มมากขึ้น สภาพคล่องของธนาคารมีมากพอสำหรับสินเชื่อปล่อยใหม่ ผู้ประกอบการยังคงมีการทำโปรโมชั่นลดราคาขายและให้ของแถมต่างๆ
สำหรับปัจจัยลบ คือความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง ประกอบด้วย การพื้นตัวทางเศรษฐกิจ ภาวะ "
เงินเฟ้อ" ที่มีผลต่อกำลังซื้อ อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มจะปรับขึ้น การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะสายพันธุ์ “
โอมิครอน” ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่าจะขยายความรุนแรงขึ้นหรือไม่ ภาวะหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับที่สูงถึง 90% ของจีดีพี สภาวะการจ้างงานและการมีรายได้ของประชาชนที่อาจจะมีการฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้ รวมถึงภาวการณ์เพิ่มขึ้นของ NPL ของสถาบันการเงิน อาจจะส่งผลให้สถาบันการเงินระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อใหม่ ต้นทุนค่าก่อสร้างแพงขึ้น ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยโครงการใหม่อาจจะมีการปรับราคาขึ้น และภาวะเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวดีจากกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างประเทศ
นาย
วิชัย กล่าวว่า จากประเมินสถานการณ์แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยผ่าน 8 ตัวแปรหลัก ซึ่งประกอบด้วย อัตราการขยายตัวของ GDP อัตราเฉลี่ยของดอกเบี้ย MRR ผลกระทบเชิญนโยบายและสถานการณ์ที่สำคัญ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป อัตราดูดซับบ้านจัดสรร อัตราดูดซับอาคารชุด -กรุงเทพฯและปริมณฑล และอัตราดูดซับบ้านจัดสรร อัตราดูดซับอาคารชุดในส่วนของภูมิภาค ตามลำดับ
คาดคาดการณ์ว่าในปี 2565 อุปทานจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะมีหน่วยการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินประมาณ 85,538 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.0 จากปี 2564 หรือเพิ่มขึ้นอยู่ในช่วงร้อยละ 15.2 ถึง 40.8 ในด้านที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนคาดว่าจะมีที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนประมาณ 105,307 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.3 จากปี 2564 หรือเพิ่มขึ้นอยู่ในช่วงร้อยละ 21.8 ถึง 48.8
ด้านอุปสงค์คาดว่าจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยคาดว่าจะมีหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ประมาณ 332,192 จะเพิ่มขึ้นจากปี 2564 ร้อยละ 25.1 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ 10.5 ถึง 35.5 การโอนกรรมสิทธิ์แนวราบจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.6 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ 12.2 ถึง 37.1ขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.1 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ 7.2 ถึง 32.4
ส่วนของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คาดว่าปี 2565 จะมีมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ประมาณ 909,864 ล้านบาท จะเพิ่มขึ้นจากปี 2564 ร้อยละ 13.3 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ 0.9 ถึง 23.9 การโอนกรรมสิทธิ์แนวราบจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.2 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ -0.9 ถึง 21.2 ขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.2 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ 4.6 ถึง 29.9
“จากการประเมินสถานการณ์คาดว่าในปี 2565 จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่มากกว่าปี 2564 และจะยังคงมีการเปิดโครงการแนวราบในสัดส่วนที่มากกว่าคอนโด เพราะตอบโจทย์ความต้องการผู้ซื้อมากกว่า ขณะที่คอนโดค่อยๆ ฟื้นตัว เนื่องจากสต็อกลดลง และราคาที่ดินที่แพงขึ้นทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องคอนโดเพื่อรองรับกำลังซื้อ ลูกค้าคนไทยในกลุ่มเจนวาย, เจนซี ที่ประกอบอาชีพอิสระมากขึ้น ”
ทั้งนี้ ในปี 2565 ยังมีสิ่งที่ต้องระมัดระวัง หากมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิค 19 มากจนต้องมีการล็อกดาวน์จะส่งผลให้ตลาดอสังหาริทรัพย์ไม่กระเตื้องขึ้นเท่าที่ควร บ้านมือสองอาจจะเป็นสินค้าทดแทนบ้านใหม่ ดังนั้นผู้ประกอบการบ้านใหม่ต้องระวัง นอกจากนี้การขาดแคลนแรงงานอาจส่งผลให้การก่อสร้างล่าช้า และอาจทำให้แผนการส่งมอบล่าช้าไปด้วย ซึ่งอาจจะส่งผลต่อการระบายสต็อก ของผู้ประกอบ และถ้าหากมีการเกิด NPL ขึ้นมา สถาบันการเงินอาจจะมีนโยบายสินเชื่อที่เข้มงวดต่ออีกในปี 2565 จะส่งผลต่อกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยที่มีความไม่แข็งแรงในสถานะการเงิน คาดว่า จากปัจจัยลบที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ตลาดอสังหาฯจะฟื้นตัวในปี2567 จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะฟื้นตัวในปี2566
ปิดด่วน!แคมป์ก่อสร้างหลักสี่-ดอนเมือง พิษคลัสเตอร์คนงานระบาด
https://www.dailynews.co.th/news/779117/
ผอ.เขตหลักสี่ เผยแคมป์ซอยยายผล ผลบวกกว่า 300 คน สั่งห้ามเคลื่อนย้าย สกัดแพร่เชื้อเพิ่ม ขณะที่ผอ.เขตดอนเมือง พบเชื้อในห้องแถวที่พักคนงาน กำชับมาตรการ Bubble & Seal แคมป์คนงาน 11 แห่งในพื้นที่
นายสมบัติ กนกทิพย์วรรณ ผอ.เขตหลักสี่ เปิดเผยว่า ภายหลังสำนักงานเขต ได้รับรายงานจากสถานพยาบาลว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ในแคมป์ที่พักคนงาน ของบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ซอยวิภาวดีรังสิต 25 (ซอยยายผล) ผลบวกยืนยัน 96 ราย จากคนงานทั้งหมด 150 คน และพบผู้สัมผัสเสี่ยงสูงอีกเป็นจำนวนมาก จึงได้ปิดคำสั่งเจ้าพนักงานควบคุมโรค ห้ามมิให้ผู้ใดเข้า-ออก หรือ เคลื่อนย้ายแรงงานโดยเด็ดขาด เป็นเวลาอย่างน้อย 10 วัน
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 ก.พ.65 เขตหลักสี่ ร่วมกับ กองควบคุมโรค และศูนย์บริการสาธารณสุข 53 ทุ่งสองห้อง สำนักอนามัย กทม. ดำเนินการตรวจคัดกรองเชิงรุกคนงานกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูงด้วยชุดตรวจ ATK หากพบติดเชื้อจะส่งตรวจด้วยวิธี RT-PCR ตามลำดับ ผลปรากฏว่า พบคนงานติดเชื้อเพิ่มเติม 288 ราย จากคนงานทั้งหมด 845 ราย จึงมีคำสั่งให้ผู้ประกอบการ ดำเนินการดังนี้
1. คัดแยกและนำผู้ป่วยออกจากแคมป์คนงานเพื่อไปรักษาพยาบาล แยกกลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูง ออกจากแรงงานคนอื่นๆ
2. กำหนดให้พื้นที่บริเวณแคมป์ที่พักคนงานทั้งหมด เป็นสถานที่เอกเทศ ห้ามผู้ใดเข้า-ออก เป็นเวลาอย่างน้อย 10 วันนับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง และห้ามเคลื่อนย้ายคนงานออกจากแคมป์ที่พักไปยังสถานที่อื่น เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ
3. ทำความสะอาด ฆ่าเชื้อจุดสัมผัสร่วมและปรับปรุงสภาพแวดล้อมภายในตามมาตรการสาธารณสุข
อย่างไรก็ตาม จะมีการตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงสูงและคนงานที่ยังไม่ติดเชื้ออีกครั้งในระยะ 3 วัน
ด้านนาย
นันทพงศ์ แก้วศรี ผอ.เขตดอนเมือง กทม. กล่าวถึงการแพร่ระบาดโควิด 19 เป็นกลุ่มก้อน (คลัสเตอร์) ในแคมป์ก่อสร้างเขตดอนเมืองว่า สำนักงานเขตดอนเมือง ร่วมกับศูนย์บริการสาธารณสุข 60 และ สน.ดอนเมือง สอบสวนโรคในคลัสเตอร์แคมป์ที่พักคนงานก่อสร้างในพื้นที่ เบื้องต้นจากการตรวจสอบพบคนงานพักอาศัยอยู่ในอาคาร ลักษณะเป็นตึกแถว 3 ชั้น ทั้งหมด 12 อาคาร รวม 592 ห้อง แยกเป็นสัดส่วน และคนงานเดินทางไปปฏิบัติงานที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ แจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ จึงได้ให้ผู้ควบคุมแคมป์ก่อสร้างดำเนินการตามมาตรการ Bubble & Seal อย่างเข้มงวด
นอกจากนี้ ยังออกคำสั่งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อให้ผู้ดูแลแคมป์ที่พักคนงานก่อสร้างปรับปรุงสถานที่ให้ถูกสุขลักษณะและห้ามผู้ใดเข้า-ออก 10 วัน เว้นที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ พร้อมให้นำผู้ป่วยเข้ารับการรักษาและให้ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงทั้งหมดแยกกักกันภายในแคมป์คนงาน รวมทั้งให้ควบคุมการเดินทางและเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามเขต โดยให้ผู้ดูแลแคมป์ที่พักคนงานก่อสร้างยื่นแจ้งการเดินทางและการเคลื่อนย้ายแรงงานก่อสร้าง กรณีให้คนงานก่อสร้างออกเดินทางไปทำงานนอกแคมป์
นอกจากนี้ ได้เพิ่มความเข้มข้นการตรวจแนะนำการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในสถานที่ก่อสร้างและแคมป์ก่อสร้างในพื้นที่เขตดอนเมือง จำนวน 11 แห่ง ให้เฝ้าระวังการแพร่ระบาดและเข้มงวดการจัดการสุขาภิบาลแคมป์ที่พักคนงาน กำชับเน้นย้ำคนงานให้ปฏิบัติตามมาตรการส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันความเสี่ยง โดยเฉพาะการงดเว้นรวมกลุ่มรับประทานอาหารร่วมกัน งดการใช้สิ่งของส่วนตัว เช่น แก้วน้ำ กระติกน้ำ จานชามร่วมกัน จัดระยะห่างในรถโดยสารรถรับส่งพนักงาน สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา เมื่ออยู่ในสถานที่ทำงานและระหว่างโดยสารในรถรับ-ส่งพนักงาน เป็นต้น
JJNY : 5in1 แม่พลทหารร้องคดีไม่คืบ│อสังหาฯหวั่นเงินเฟ้อ│ปิดด่วน!แคมป์หลักสี่│อิมเมจฉะแคมเปญมีลูก│ยูเครน-กบฏปะทะต่อเนื่อง
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_6896030
เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 18 ก.พ.65 ที่กองบัญชาการกองทัพบก นางเรณู หมดราคี อายุ 46 ปี แม่ของ พลทหาร ยุทธินันท์ บุญเนียม ที่เสียชีวิตในเรือนจำจังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นข่าวดังเมื่อปี 2560 เดินทางมาขอความเป็นธรรม ในคดีที่ลูกชายถูกทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิต แต่ไม่มีความคืบหน้า
นายเรณู มองว่า อาจต้องการประวิงเวลาในการขึ้นศาลทหารของจำเลย 11 คนที่มีส่วนร่วมในการกระทำผิด จนทำให้ลูกชายเสียชีวิต ขณะนี้เรื่องยังอยู่ในชั้นของศาลทหาร มณฑลทหารบกที่ 45 ซึ่งเวลาล่วงเลยมา 5 ปีแล้ว ยังไม่มีอะไรคืบหน้า ทั้งที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สรุปการชันสูตรพลิกศพ ระบุว่า ถูกทำร้ายจนเสียชีวิต โดยจำเลยเองก็ได้รับการสารภาพไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม วันนี้ยังไม่ได้มีการรับเรื่อง เนื่องจากทหารเวรแจ้งให้ตนกลับไปรวบรวมเอกสาร และเขียนยื่นคำร้องเป็นทางการมาอีกครั้ง
นางเรณู กล่าวทั้งน้ำตาว่า ต้องการขอความเป็นธรรมจาก พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้ลงมาดูเรื่องนี้ด้วย เพราะคดีไม่มีอะไรซับซ้อนเลย ทางจำเลยก็รับสารภาพแล้ว แต่ศาลนัดมาแล้วก็มาไม่ครบ ทำให้ต้องเลื่อนออกไป
“แถมรองผบ.เรือนจำ ในขณะนั้นบางคนยังได้ดิบได้ดี ไม่ถูกพักราชการเหมือนจำเลยคนอื่น จริงๆ แล้วลูกชายรักทหารบกมาก ให้ไปสมัครเหล่าทัพอื่นก็ไม่ไป จะมาสมัครทหารบกให้ได้ โดยไม่กี่เดือนก็จะปลดประจำการแล้ว แต่ต้องมาจบชีวิตก่อน ซึ่งทางผู้บังคับบัญชาช่วงนั้นก็บอกเรา จับผู้กระทำผิดได้แล้ว แต่คดีก็ยังไม่คืบ ซึ่งดิฉันก็จะเดินทางมายื่นหนังสืออีกครั้ง” นางเรณู กล่าว
อสังหาฯหวั่นเงินเฟ้อฉุดกำลังซื้อคาดฟื้นตัวปี67
https://www.bangkokbiznews.com/business/989091
ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ หวั่นปัจจัยลบปี65 ภาวะเงินเฟ้อฉุดกำลังซื้อ ต้นทุนวัสดุแรงงาน การฟื้นตัวเศรษฐกิจ ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร กระทบธุรกิจอสังหาฯ ล่าสุดปรับคาดการณ์ตลาดฟื้นตัวปี67 จากเดิมปี66
นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่าในปี 2565 ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงต้องเผชิญกับทั้งปัจจัยบวก และปัจจัยลบ โดยในส่วนของปัจจัยบวกประกอบด้วย การมีมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐ (ลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนองเหลือร้อยละ 0.01 รวมถึงการขยายไปสู่บ้านมือสองด้วย) มีการผ่อนคลายมาตรการผ่อนปรนมาตรการแอลทีวีของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) จะช่วยให้มีการซื้อบ้านสัญญาที่ 2 และ 3 เพื่ออยู่อาศัยและเพื่อการลงทุนมีเพิ่มมากขึ้น สภาพคล่องของธนาคารมีมากพอสำหรับสินเชื่อปล่อยใหม่ ผู้ประกอบการยังคงมีการทำโปรโมชั่นลดราคาขายและให้ของแถมต่างๆ
สำหรับปัจจัยลบ คือความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง ประกอบด้วย การพื้นตัวทางเศรษฐกิจ ภาวะ "เงินเฟ้อ" ที่มีผลต่อกำลังซื้อ อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มจะปรับขึ้น การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะสายพันธุ์ “โอมิครอน” ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่าจะขยายความรุนแรงขึ้นหรือไม่ ภาวะหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับที่สูงถึง 90% ของจีดีพี สภาวะการจ้างงานและการมีรายได้ของประชาชนที่อาจจะมีการฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้ รวมถึงภาวการณ์เพิ่มขึ้นของ NPL ของสถาบันการเงิน อาจจะส่งผลให้สถาบันการเงินระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อใหม่ ต้นทุนค่าก่อสร้างแพงขึ้น ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยโครงการใหม่อาจจะมีการปรับราคาขึ้น และภาวะเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัวดีจากกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างประเทศ
นายวิชัย กล่าวว่า จากประเมินสถานการณ์แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยผ่าน 8 ตัวแปรหลัก ซึ่งประกอบด้วย อัตราการขยายตัวของ GDP อัตราเฉลี่ยของดอกเบี้ย MRR ผลกระทบเชิญนโยบายและสถานการณ์ที่สำคัญ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป อัตราดูดซับบ้านจัดสรร อัตราดูดซับอาคารชุด -กรุงเทพฯและปริมณฑล และอัตราดูดซับบ้านจัดสรร อัตราดูดซับอาคารชุดในส่วนของภูมิภาค ตามลำดับ
คาดคาดการณ์ว่าในปี 2565 อุปทานจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะมีหน่วยการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินประมาณ 85,538 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.0 จากปี 2564 หรือเพิ่มขึ้นอยู่ในช่วงร้อยละ 15.2 ถึง 40.8 ในด้านที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนคาดว่าจะมีที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนประมาณ 105,307 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.3 จากปี 2564 หรือเพิ่มขึ้นอยู่ในช่วงร้อยละ 21.8 ถึง 48.8
ด้านอุปสงค์คาดว่าจะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยคาดว่าจะมีหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ประมาณ 332,192 จะเพิ่มขึ้นจากปี 2564 ร้อยละ 25.1 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ 10.5 ถึง 35.5 การโอนกรรมสิทธิ์แนวราบจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.6 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ 12.2 ถึง 37.1ขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.1 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ 7.2 ถึง 32.4
ส่วนของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คาดว่าปี 2565 จะมีมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ประมาณ 909,864 ล้านบาท จะเพิ่มขึ้นจากปี 2564 ร้อยละ 13.3 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ 0.9 ถึง 23.9 การโอนกรรมสิทธิ์แนวราบจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.2 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ -0.9 ถึง 21.2 ขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.2 หรืออยู่ในช่วงร้อยละ 4.6 ถึง 29.9
“จากการประเมินสถานการณ์คาดว่าในปี 2565 จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่มากกว่าปี 2564 และจะยังคงมีการเปิดโครงการแนวราบในสัดส่วนที่มากกว่าคอนโด เพราะตอบโจทย์ความต้องการผู้ซื้อมากกว่า ขณะที่คอนโดค่อยๆ ฟื้นตัว เนื่องจากสต็อกลดลง และราคาที่ดินที่แพงขึ้นทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องคอนโดเพื่อรองรับกำลังซื้อ ลูกค้าคนไทยในกลุ่มเจนวาย, เจนซี ที่ประกอบอาชีพอิสระมากขึ้น ”
ทั้งนี้ ในปี 2565 ยังมีสิ่งที่ต้องระมัดระวัง หากมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิค 19 มากจนต้องมีการล็อกดาวน์จะส่งผลให้ตลาดอสังหาริทรัพย์ไม่กระเตื้องขึ้นเท่าที่ควร บ้านมือสองอาจจะเป็นสินค้าทดแทนบ้านใหม่ ดังนั้นผู้ประกอบการบ้านใหม่ต้องระวัง นอกจากนี้การขาดแคลนแรงงานอาจส่งผลให้การก่อสร้างล่าช้า และอาจทำให้แผนการส่งมอบล่าช้าไปด้วย ซึ่งอาจจะส่งผลต่อการระบายสต็อก ของผู้ประกอบ และถ้าหากมีการเกิด NPL ขึ้นมา สถาบันการเงินอาจจะมีนโยบายสินเชื่อที่เข้มงวดต่ออีกในปี 2565 จะส่งผลต่อกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยที่มีความไม่แข็งแรงในสถานะการเงิน คาดว่า จากปัจจัยลบที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ตลาดอสังหาฯจะฟื้นตัวในปี2567 จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะฟื้นตัวในปี2566
ปิดด่วน!แคมป์ก่อสร้างหลักสี่-ดอนเมือง พิษคลัสเตอร์คนงานระบาด
https://www.dailynews.co.th/news/779117/
ผอ.เขตหลักสี่ เผยแคมป์ซอยยายผล ผลบวกกว่า 300 คน สั่งห้ามเคลื่อนย้าย สกัดแพร่เชื้อเพิ่ม ขณะที่ผอ.เขตดอนเมือง พบเชื้อในห้องแถวที่พักคนงาน กำชับมาตรการ Bubble & Seal แคมป์คนงาน 11 แห่งในพื้นที่
นายสมบัติ กนกทิพย์วรรณ ผอ.เขตหลักสี่ เปิดเผยว่า ภายหลังสำนักงานเขต ได้รับรายงานจากสถานพยาบาลว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ในแคมป์ที่พักคนงาน ของบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ซอยวิภาวดีรังสิต 25 (ซอยยายผล) ผลบวกยืนยัน 96 ราย จากคนงานทั้งหมด 150 คน และพบผู้สัมผัสเสี่ยงสูงอีกเป็นจำนวนมาก จึงได้ปิดคำสั่งเจ้าพนักงานควบคุมโรค ห้ามมิให้ผู้ใดเข้า-ออก หรือ เคลื่อนย้ายแรงงานโดยเด็ดขาด เป็นเวลาอย่างน้อย 10 วัน
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 ก.พ.65 เขตหลักสี่ ร่วมกับ กองควบคุมโรค และศูนย์บริการสาธารณสุข 53 ทุ่งสองห้อง สำนักอนามัย กทม. ดำเนินการตรวจคัดกรองเชิงรุกคนงานกลุ่มผู้สัมผัสเสี่ยงสูงด้วยชุดตรวจ ATK หากพบติดเชื้อจะส่งตรวจด้วยวิธี RT-PCR ตามลำดับ ผลปรากฏว่า พบคนงานติดเชื้อเพิ่มเติม 288 ราย จากคนงานทั้งหมด 845 ราย จึงมีคำสั่งให้ผู้ประกอบการ ดำเนินการดังนี้
1. คัดแยกและนำผู้ป่วยออกจากแคมป์คนงานเพื่อไปรักษาพยาบาล แยกกลุ่มสัมผัสเสี่ยงสูง ออกจากแรงงานคนอื่นๆ
2. กำหนดให้พื้นที่บริเวณแคมป์ที่พักคนงานทั้งหมด เป็นสถานที่เอกเทศ ห้ามผู้ใดเข้า-ออก เป็นเวลาอย่างน้อย 10 วันนับแต่วันที่ได้รับคำสั่ง และห้ามเคลื่อนย้ายคนงานออกจากแคมป์ที่พักไปยังสถานที่อื่น เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ
3. ทำความสะอาด ฆ่าเชื้อจุดสัมผัสร่วมและปรับปรุงสภาพแวดล้อมภายในตามมาตรการสาธารณสุข
อย่างไรก็ตาม จะมีการตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยงสูงและคนงานที่ยังไม่ติดเชื้ออีกครั้งในระยะ 3 วัน
ด้านนายนันทพงศ์ แก้วศรี ผอ.เขตดอนเมือง กทม. กล่าวถึงการแพร่ระบาดโควิด 19 เป็นกลุ่มก้อน (คลัสเตอร์) ในแคมป์ก่อสร้างเขตดอนเมืองว่า สำนักงานเขตดอนเมือง ร่วมกับศูนย์บริการสาธารณสุข 60 และ สน.ดอนเมือง สอบสวนโรคในคลัสเตอร์แคมป์ที่พักคนงานก่อสร้างในพื้นที่ เบื้องต้นจากการตรวจสอบพบคนงานพักอาศัยอยู่ในอาคาร ลักษณะเป็นตึกแถว 3 ชั้น ทั้งหมด 12 อาคาร รวม 592 ห้อง แยกเป็นสัดส่วน และคนงานเดินทางไปปฏิบัติงานที่ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ แจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ จึงได้ให้ผู้ควบคุมแคมป์ก่อสร้างดำเนินการตามมาตรการ Bubble & Seal อย่างเข้มงวด
นอกจากนี้ ยังออกคำสั่งเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อให้ผู้ดูแลแคมป์ที่พักคนงานก่อสร้างปรับปรุงสถานที่ให้ถูกสุขลักษณะและห้ามผู้ใดเข้า-ออก 10 วัน เว้นที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ พร้อมให้นำผู้ป่วยเข้ารับการรักษาและให้ผู้สัมผัสเสี่ยงสูงทั้งหมดแยกกักกันภายในแคมป์คนงาน รวมทั้งให้ควบคุมการเดินทางและเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามเขต โดยให้ผู้ดูแลแคมป์ที่พักคนงานก่อสร้างยื่นแจ้งการเดินทางและการเคลื่อนย้ายแรงงานก่อสร้าง กรณีให้คนงานก่อสร้างออกเดินทางไปทำงานนอกแคมป์
นอกจากนี้ ได้เพิ่มความเข้มข้นการตรวจแนะนำการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในสถานที่ก่อสร้างและแคมป์ก่อสร้างในพื้นที่เขตดอนเมือง จำนวน 11 แห่ง ให้เฝ้าระวังการแพร่ระบาดและเข้มงวดการจัดการสุขาภิบาลแคมป์ที่พักคนงาน กำชับเน้นย้ำคนงานให้ปฏิบัติตามมาตรการส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันความเสี่ยง โดยเฉพาะการงดเว้นรวมกลุ่มรับประทานอาหารร่วมกัน งดการใช้สิ่งของส่วนตัว เช่น แก้วน้ำ กระติกน้ำ จานชามร่วมกัน จัดระยะห่างในรถโดยสารรถรับส่งพนักงาน สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา เมื่ออยู่ในสถานที่ทำงานและระหว่างโดยสารในรถรับ-ส่งพนักงาน เป็นต้น