“เคยคิดกันไหม?..ถ้าคุณรู้ตัวแน่ๆ ว่ากำลังจะจากโลกนี้ในอีกไม่ช้า คุณจะไปไหน? และทำอะไร?”
ออกตัวไว้ก่อนเลย ตอนผมเห็นตัวอย่างหนังเรื่องนี้ ไม่มีความคิดแม้แต่จะไปดูด้วยซ้ำ เพราะโดยส่วนตัวแม้ผมจะชอบดูหนังมาก แต่มีกฎข้อหนึ่งไว้ตั้งแต่สมัยยังเป็นวัยรุ่นแล้วว่า “จะไม่ดูหนังรักเด็ดขาด”เพราะชีวิตไม่เคยมีโมเมนต์แบบนั้น ดูไปก็ไม่อิน ( แถมคงรำคาญพวกพาแฟนไปดูด้วย..ฮา! ) ซึ่งตัวอย่างหนังก็ชวนให้คิดจริงๆ เออ! ชายคนหนึ่งที่รู้ตัวว่ากำลังจะตาย ขอทำสิ่งสุดท้ายคือการไปบอกลาแฟนเก่า มันต้องเป็นหนังรักแน่ๆ แถมยังมีท่อนฮุกของเพลงในตัวอย่างที่ร้องโดยแสตมป์-อภิวัชร์ “Nobody knows มันจะเป็นเช่นไร ถ้าเธออยู่ใกล้ๆ มีคืนวัน มีเวลา เดินร่วมทางกันนานกว่านั้น” ฟังแล้วมันต้องเป็นหนังรักชัวร์เลย
กระทั่งอะไรก็แล้วแต่ จู่ๆ ผมมีโอกาสได้ฟังเพลง “Nobody Knows” เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ ที่เป็นการทำงานร่วมกันของศิลปินเพลงชาวไทยอย่างแสตมป์ กับ Christopher Chu ศิลปินเพลงชาวอเมริกัน ฟังแล้วไปดูเนื้อร้องที่มีชาวเน็ตแปลเป็นภาษาไทยลงในยูทูบ ผมกลับรู้สึกเปลี่ยนใจ และวันต่อมาหลังจากเสร็จภารกิจในช่วงเช้าแล้ว ผมก็ขี่มอเตอร์ไซค์แวะโรงหนังซื้อตั๋วเข้าไปชมโดยไม่ลังเล
( หมายเหตุ : เพลง Nobody Knows ในเวอร์ชั่นภาษาไทย จะชื่อเพลง “ถ้าเธอ” เป็นการทำงานร่วมกันของแสตมป์-อภิวัชร์ กับ วี-วิโอเลต ศิลปินนักร้องสาวที่ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย )
One for the Road เล่าเรื่องของ “บอส” ( ต่อ-ธนภพ ) บาร์เทนเดอร์หนุ่มฝีมือดีที่เปิดบาร์เหล้าอยู่ในเมืองนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา จู่ๆ ก็ได้รับโทรศัพท์จาก “อู๊ด” ( ไอซ์ซึ-ณัฐรัตน์ ) เพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันนานมาก อู๊ดขอร้องให้บอสกลับมาเมืองไทย เพราะตัวเองป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายและจะอยู่ได้อีกไม่นาน จึงอยากให้บอสมาช่วยขับรถพาไปบอกลาบรรดาแฟนเก่า ซึ่งบอสก็ยอมตกลง เขาปิดร้านและเดินทางกลับมากรุงเทพฯ เพื่อทำตามคำขอครั้งสุดท้ายของเพื่อนรัก
และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของ “การเดินทาง” ที่เป็นการ “ทบทวนชีวิตที่ผ่านมา” ในตอนแรกนั้นคือชีวิตของอู๊ด ว่าด้วยการพานพบหญิงสาวแต่ละคน และเหตุการณ์ที่ทำให้พวกเขาต้องเลิกรากัน แต่หลังจากบอสพาเพื่อนคนนี้ตระเวนทำภารกิจบอกลาแฟนเก่าไปเรื่อยๆ ที่สุดแล้วมันก็คือการทำให้บอสได้ทบทวนชีวิตที่ผ่านมาของตัวเอง พาย้อนไปยังอดีตที่ทำให้เขาเติบโตขึ้นมาเป็นคนแบบที่ตัวละครอื่นๆ ( และผู้ชม ) ได้เห็นเช่นกัน
นอกจากการแสดงและการเล่าเรื่องของ 2 หนุ่มตัวละครหลัก ที่นักแสดงทั้ง 2 ทำให้อินกับมิตรภาพของบอสและอู๊ดได้แล้ว ( ก็นะ..ถ้าไม่สนิทกันจริงๆ ใครจะเสียเวลาทำงาน-ทำเงิน แถมเสียแรงมาขับรถพาเดินทางไกลวนไปตั้งหลายจังหวัดทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ไมได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรด้วย ) สาวๆ ที่ปรากฏตัวในฐานะอดีตแฟนของอู๊ด เรื่องเล่าของทุกคนไม่มีใครจืดจางกว่าใคร แต่ล้วนน่าจดจำ ทั้งในช่วงขณะที่คบหากับอู๊ด และในเวลาปัจจุบันที่แต่ละคนไปมีชีวิตใหม่ของตัวเอง
ไม่เพียงแต่ตัวละครอดีตแฟนของอู๊ดเท่านั้น ยังมีตัวละครอื่นที่เกี่ยวข้องกับอู๊ดและบอส ที่มีเรื่องราวน่าจดจำ และทำให้ประเด็น “การทบทวนชีวิตที่ผ่านมา” ดูหนักแน่น เรื่องนี้หากเปลี่ยนจากอดีตแฟน ( ตามที่หนังเล่า ) เป็นบุคคลต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเราๆ ท่านๆ และจากกันเมื่อเวลาผ่านไป ผมเชื่อว่าหลายท่านน่าจะมีให้นึกถึงกันบ้าง ความทรงจำต่อกันทั้งดี-ร้าย สุข-ทุกข์ สนุก-เศร้า รัก-โกรธ และในจำนวนคนเหล่านี้ ก็คงมีบางคนที่เราอยากจะไปพบเพื่อขอบคุณ ขอโทษ ให้อภัย หรือแม้แต่ร่ำลา หากเรารู้ว่าเวลาในชีวิตเหลืออีกไม่นานแล้ว แบบเดียวกับที่อู๊ดทำ
อีกองค์ประกอบที่ผมชอบมากๆ คือการเดินทางไปในหลายพื้นที่ของประเทศไทยนี่แหละ แม้จะไม่กี่จังหวัด แต่ภาพที่ถ่ายออกมาผมว่ามันโปรโมทการท่องเที่ยวได้เลย เสียดายเราดันอยู่ในยุคที่โลกเผชิญสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ไม่เช่นนั้นหากหนังเรื่องนี้สามารถไปโด่งดังในต่างประเทศ อาจจะมีคนทำทัวร์ชวนแฟนหนังต่างชาติมาตามรอย One for the Road ก็ได้ เหมือนกับที่หนังต่างประเทศหลายเรื่องเคยดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกมาเที่ยวไทยมาแล้ว
ผมขอปิดท้ายบทความด้วยการพูดถึงเพลง Nobody Knows ( เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ ) ที่ท่อนเปิดร้องว่า “All the faces flashing by , Said hello, we've said goodbye” หมายถึงผู้คนที่ผ่านมาในชีวิต ได้ทักทาย ได้บอกลา กับท่อนฮุกที่ร้องว่า “Nobody knows where all the years go Our stories unfold What a time, what a time What a time to be alive” หมายถึงไม่มีใครรู้หรอกว่าเมื่อเวลาผ่านไป เรื่องราวเหล่านั้นมันกลับทำให้เห็นว่าช่วงเวลานั้นมีชีวิตชีวาเหลือเกิน ซึ่งมันยิ่งทำให้ผมคิดว่านี่ไม่ใช่หนังรัก แต่คือหนังชีวิตต่างหาก แถมเป็นชีวิตแบบธรรมดาสามัญมากๆ เรื่องการพานพบและลาจาก เป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอ ไม่ว่าจะเป็นเพศ ฐานะ อาชีพ หรือเป็นคนประเทศไหนก็ตาม
ดังนั้นต่อให้คุณไม่เคยมีแฟนเลยแม้แต่คนเดียว ( แบบผมนี่แหละ..ฮา! ) ผมเชื่อว่าถ้าไปดูแล้วลองคิดว่าคุณเป็นอู๊ดหรือบอส แล้วลองทบทวนชีวิตตัวเองและผู้คนที่ผ่านเข้ามา ก็น่าจะอินกับหนังเรื่องนี้ได้ครับ!!!
---------------------------------------
ปล.อันนี้บ่นเหตุผลส่วนตัวที่ผมอินนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เหตุที่ผมอินกับเพลง Nobody Knows ( เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ ) และหนัง One for the Road อาจเป็นเพราะเวลานี้ผมอายุใกล้เลข 4 แล้ว ( มีนาคม 2022 ผมก็ 37 แล้วครับ ) ซึ่งเหมือนมีคนเคยบอกว่าคนเราพออายุเลยเลข 3 ครึ่งไปแล้ว มันไม่ใช่เวลาสดใสแบบวัยรุ่นหนุ่ม-สาวอีก แต่เป็นชีวิตที่เหมือนพระอาทิตย์ตอนเที่ยงวัน ที่กำลังมุ่งหน้าไปสู่การลับฟ้าดับแสงในตอนเย็น ดังนั้นจึงมีเพียงอดีตให้นึกถึงเท่านั้น และหากทำได้ควรหาทางทำให้อดีตที่ว่าไม่ใช่เรื่องค้างคาใจอีกก่อนจะจากโลกนี้ไป ( ขอบ่นอะไรเรื่อยเปื่อยตามประสาคนเริ่มแก่นะครับ..ฮา! )
TonyMao_NK51 ( ใช้แทนอมยิ้มที่ถูกแบน )
One for the Road : ไม่ใช่หนังรัก..แต่ว่าด้วยการเดินทางครั้งสุดท้ายเพื่อทบทวนชีวิตที่ผ่านมา ( อ่านได้ไม่สปอย )
กระทั่งอะไรก็แล้วแต่ จู่ๆ ผมมีโอกาสได้ฟังเพลง “Nobody Knows” เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ ที่เป็นการทำงานร่วมกันของศิลปินเพลงชาวไทยอย่างแสตมป์ กับ Christopher Chu ศิลปินเพลงชาวอเมริกัน ฟังแล้วไปดูเนื้อร้องที่มีชาวเน็ตแปลเป็นภาษาไทยลงในยูทูบ ผมกลับรู้สึกเปลี่ยนใจ และวันต่อมาหลังจากเสร็จภารกิจในช่วงเช้าแล้ว ผมก็ขี่มอเตอร์ไซค์แวะโรงหนังซื้อตั๋วเข้าไปชมโดยไม่ลังเล
( หมายเหตุ : เพลง Nobody Knows ในเวอร์ชั่นภาษาไทย จะชื่อเพลง “ถ้าเธอ” เป็นการทำงานร่วมกันของแสตมป์-อภิวัชร์ กับ วี-วิโอเลต ศิลปินนักร้องสาวที่ร่วมแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วย )
One for the Road เล่าเรื่องของ “บอส” ( ต่อ-ธนภพ ) บาร์เทนเดอร์หนุ่มฝีมือดีที่เปิดบาร์เหล้าอยู่ในเมืองนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา จู่ๆ ก็ได้รับโทรศัพท์จาก “อู๊ด” ( ไอซ์ซึ-ณัฐรัตน์ ) เพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันนานมาก อู๊ดขอร้องให้บอสกลับมาเมืองไทย เพราะตัวเองป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายและจะอยู่ได้อีกไม่นาน จึงอยากให้บอสมาช่วยขับรถพาไปบอกลาบรรดาแฟนเก่า ซึ่งบอสก็ยอมตกลง เขาปิดร้านและเดินทางกลับมากรุงเทพฯ เพื่อทำตามคำขอครั้งสุดท้ายของเพื่อนรัก
และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของ “การเดินทาง” ที่เป็นการ “ทบทวนชีวิตที่ผ่านมา” ในตอนแรกนั้นคือชีวิตของอู๊ด ว่าด้วยการพานพบหญิงสาวแต่ละคน และเหตุการณ์ที่ทำให้พวกเขาต้องเลิกรากัน แต่หลังจากบอสพาเพื่อนคนนี้ตระเวนทำภารกิจบอกลาแฟนเก่าไปเรื่อยๆ ที่สุดแล้วมันก็คือการทำให้บอสได้ทบทวนชีวิตที่ผ่านมาของตัวเอง พาย้อนไปยังอดีตที่ทำให้เขาเติบโตขึ้นมาเป็นคนแบบที่ตัวละครอื่นๆ ( และผู้ชม ) ได้เห็นเช่นกัน
นอกจากการแสดงและการเล่าเรื่องของ 2 หนุ่มตัวละครหลัก ที่นักแสดงทั้ง 2 ทำให้อินกับมิตรภาพของบอสและอู๊ดได้แล้ว ( ก็นะ..ถ้าไม่สนิทกันจริงๆ ใครจะเสียเวลาทำงาน-ทำเงิน แถมเสียแรงมาขับรถพาเดินทางไกลวนไปตั้งหลายจังหวัดทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ไมได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรด้วย ) สาวๆ ที่ปรากฏตัวในฐานะอดีตแฟนของอู๊ด เรื่องเล่าของทุกคนไม่มีใครจืดจางกว่าใคร แต่ล้วนน่าจดจำ ทั้งในช่วงขณะที่คบหากับอู๊ด และในเวลาปัจจุบันที่แต่ละคนไปมีชีวิตใหม่ของตัวเอง
ไม่เพียงแต่ตัวละครอดีตแฟนของอู๊ดเท่านั้น ยังมีตัวละครอื่นที่เกี่ยวข้องกับอู๊ดและบอส ที่มีเรื่องราวน่าจดจำ และทำให้ประเด็น “การทบทวนชีวิตที่ผ่านมา” ดูหนักแน่น เรื่องนี้หากเปลี่ยนจากอดีตแฟน ( ตามที่หนังเล่า ) เป็นบุคคลต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเราๆ ท่านๆ และจากกันเมื่อเวลาผ่านไป ผมเชื่อว่าหลายท่านน่าจะมีให้นึกถึงกันบ้าง ความทรงจำต่อกันทั้งดี-ร้าย สุข-ทุกข์ สนุก-เศร้า รัก-โกรธ และในจำนวนคนเหล่านี้ ก็คงมีบางคนที่เราอยากจะไปพบเพื่อขอบคุณ ขอโทษ ให้อภัย หรือแม้แต่ร่ำลา หากเรารู้ว่าเวลาในชีวิตเหลืออีกไม่นานแล้ว แบบเดียวกับที่อู๊ดทำ
อีกองค์ประกอบที่ผมชอบมากๆ คือการเดินทางไปในหลายพื้นที่ของประเทศไทยนี่แหละ แม้จะไม่กี่จังหวัด แต่ภาพที่ถ่ายออกมาผมว่ามันโปรโมทการท่องเที่ยวได้เลย เสียดายเราดันอยู่ในยุคที่โลกเผชิญสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ไม่เช่นนั้นหากหนังเรื่องนี้สามารถไปโด่งดังในต่างประเทศ อาจจะมีคนทำทัวร์ชวนแฟนหนังต่างชาติมาตามรอย One for the Road ก็ได้ เหมือนกับที่หนังต่างประเทศหลายเรื่องเคยดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกมาเที่ยวไทยมาแล้ว
ผมขอปิดท้ายบทความด้วยการพูดถึงเพลง Nobody Knows ( เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ ) ที่ท่อนเปิดร้องว่า “All the faces flashing by , Said hello, we've said goodbye” หมายถึงผู้คนที่ผ่านมาในชีวิต ได้ทักทาย ได้บอกลา กับท่อนฮุกที่ร้องว่า “Nobody knows where all the years go Our stories unfold What a time, what a time What a time to be alive” หมายถึงไม่มีใครรู้หรอกว่าเมื่อเวลาผ่านไป เรื่องราวเหล่านั้นมันกลับทำให้เห็นว่าช่วงเวลานั้นมีชีวิตชีวาเหลือเกิน ซึ่งมันยิ่งทำให้ผมคิดว่านี่ไม่ใช่หนังรัก แต่คือหนังชีวิตต่างหาก แถมเป็นชีวิตแบบธรรมดาสามัญมากๆ เรื่องการพานพบและลาจาก เป็นเรื่องธรรมดาที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอ ไม่ว่าจะเป็นเพศ ฐานะ อาชีพ หรือเป็นคนประเทศไหนก็ตาม
ดังนั้นต่อให้คุณไม่เคยมีแฟนเลยแม้แต่คนเดียว ( แบบผมนี่แหละ..ฮา! ) ผมเชื่อว่าถ้าไปดูแล้วลองคิดว่าคุณเป็นอู๊ดหรือบอส แล้วลองทบทวนชีวิตตัวเองและผู้คนที่ผ่านเข้ามา ก็น่าจะอินกับหนังเรื่องนี้ได้ครับ!!!
---------------------------------------
ปล.อันนี้บ่นเหตุผลส่วนตัวที่ผมอินนะครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
TonyMao_NK51 ( ใช้แทนอมยิ้มที่ถูกแบน )