JJNY : ยอดขายร้านอาหารฟื้น80%แต่ต้นทุนสูงขึ้น│3ปัจจัยฉุดศก.ไทย│หมอธีระเผยโควิดอันตรายกว่าหวัดใหญ่│พท.จี้ทบทวนรีบปลดโควิด

ส.ภัตตาคารไทย ชี้ยอดขายร้านอาหารฟื้น 80% แต่ต้นทุนสูงขึ้น
https://www.matichon.co.th/economy/news_3181434
  
 
ส.ภัตตาคารไทย ชี้ยอดขายร้านอาหารฟื้น 80% แต่ต้นทุนสูงขึ้น
 
นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจร้านอาหาร ยอดขายตอนนี้ฟื้นกลับมาเกือบ 80% แล้ว หากเทียบกับช่วงก่อนเกิดการระบาดโควิด-19 ร้านอาหารส่วนใหญ่ขายของได้ดีมากขึ้น แต่จากปัญหาราคาสินค้าหลายรายการที่ปรับแพงขึ้น อาทิ น้ำมันปาล์ม จากเดิม 45-50 บาทต่อขวด ปัจจุบันเป็น 60-70 บาทต่อขวด ปรับขึ้นสูงมาก ทำให้ต้นทุนสูงมากกว่าเดิม ประมาณ 10% ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ
 
แม้จะสามารถขายของได้ดีมากขึ้น แต่หากประเมินรายได้ที่หักต้นทุนออกไปแล้ว พบว่ากำไรก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก ปัญหาต้นทุนของวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบกับร้านอาหารขนาดเล็กมากกว่า เพราะสายป่านสั้นกว่า ผลกระทบจึงชัดเจน และเห็นเร็วแบบทันทีทันใด รวมถึงธุรกิจร้านอาหารขนาดเล็ก จำพวกสตรีทฟู้ด จะมีการแข่งขันสูงมาก เพราะร้านอาหารมีจำนวนมากขึ้น และตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน ทำให้ไม่สามารถปรับขึ้นราคาได้เร็ว เหมือนต้นทุนที่ปรับขึ้นเร็ว ซึ่งคาดหวังว่ารัฐบาลจะสามารถแก้ไขปัญหาและลดผลกระทบต่อภาคธุรกิจได้แบบเร็วที่สุด
 
ปัญหาที่พบในตอนนี้คือ แรงงานที่หายไป ไม่สามารถรับลูกค้าได้เท่าเดิมได้ รวมถึงข้อจำกัดของมาตรการป้องกันโควิด อาทิ การจำกัดคนเข้าพื้นที่ เว้นระยะห่างมากขึ้น ไม่สามารถจัดงานอีเวนต์ใหญ่ๆ ได้เหมือนปกติ อาทิ งานแต่งงาน งานเฉลิมฉลองต่างๆ ซึ่งร้านอาหารส่วนใหญ่จะมีรายได้เข้ามาจากการขายอาหารในรูปแบบนี้มากเช่นกัน ทำให้แม้ยอดขายจะเพิ่มขึ้น แต่รายได้ไม่สามารถกลับมาแบบ 100% เหมือนเดิมได้แน่นอน ขณะนี้จึงเห็นเพียงแค่ภาพของธุรกิจที่ยังดำเนินไปได้ แต่จะสดใสเหมือนเดิมหรือไม่ ก็แล้วแต่ความสามารถในการบริหารจัดการของร้านอาหารแต่ละราย โดยภาพรวมส่วนใหญ่คงไม่สามารถดีเท่าเดิมได้” นางฐนิวรรณกล่าว
 
นางฐนิวรรณกล่าวว่า การปรับขึ้นของราคาน้ำมันขึ้นมีผลกับค่าขนส่งโดยตรง ยิ่งหากปรับขึ้นไปอีก 20% เหมือนที่ภาคเอกชนบอกไว้ กลุ่มธุรกิจจะแบกรับผลกระทบไม่ไหว เพราะการขึ้นค่าขนส่งจะทำให้ราคาสินค้าและบริการทุกอย่างปรับขึ้นตาม ร้านอาหารขนาดใหญ่ไม่ได้รับผลกระทบแบบทันที เพราะจะซื้อวัตถุดิบเตรียมไว้ล่วงหน้า หรือทำสัญญาระยะยาวไว้อยู่แล้ว ทำให้ควบคุมต้นทุนได้ แต่จะมีผลมากขึ้นในระยะยาว รวมถึงมีผลกับประชาชากลุ่มฐานราก หรือพนักงานต่างๆ โดยเฉพาะคนเดินดินกินข้าวแกงที่มีรายได้แบบวันต่อวัน นอกจากนี้ ธุรกิจร้านอาหารยังถูกกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเพราะการระบาดโควิด-19 อยู่แล้ว อาทิ การต้องเพิ่มเจลแอลกอฮอล์ บรรจุภัณฑ์ป้องกันภาชนะในร้านอาหาร การทำความสะอาดบ่อยครั้งขึ้น โดยเฉพาะการต้องตรวจเอทีเคให้กับพนักงาน
 


“สภาพัฒน์” ชี้ 3 ปัจจัยฉุดเศรษฐกิจไทย แนะเร่งปรับโครงสร้าง เพิ่มโอกาสเติบโต
https://www.bangkokbiznews.com/business/987702

“ดนุชา” แนะไทยเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ รับการเปลี่ยนแปลง ความเสี่ยง 3 ด้าน ทั้งหนี้สูง อัตราเงินเฟ้อสูง คนสูงอายุเพิ่มเร็ว ระบุ 10 ปีข้างหน้าต้องเน้นสร้างระบบเศรษฐกิจแบบหยืดยุ่น ล้มแล้วลุกได้เร็ว เพิ่มการลงทุนวิจัยและพัฒนา ควบคู่การเพิ่มความสามารถแรงงาน

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวในงานสัมมนา “Future of Growth Thailand Vision 2030” ในหัวข้อระบบเศรษฐกิจในทศวรรษใหม่ในงานวานนี้ (9 ก.พ.) ว่าโครงสร้างเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันถือว่ายังมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจที่ดี แต่กำลังเผชิญกับข้อจำกัดในการขยายตัวทางเศรษฐกิจในอนาคต
 
โดยนอกจากผลกระทบที่เกิดจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมาที่ทำให้เศรษฐกิจไทยมีความเปราะบางมากขึ้นจากหนี้ครัวเรือน หนี้สาธารณะที่สูงขึ้น รวมทั้งอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่เป็นข้อจำกัดในการฟื้นตัว และการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในระยะถัดไป
  
นอกจากนั้นเศรษฐกิจไทยยังมีปัญหาเชิงโครงสร้างที่สั่งสมจากการลงทุนที่ลดลงทั้งจากภาคเอกชน และภาครัฐ การขาดการลงทุนในส่วนของการวิจัย และการพัฒนานวัตกรรม (R&D) ทำให้ผลิตภาพแรงงานไม่เติบโตเท่าที่ควร รวมทั้งโครงสร้างประชากรที่จะเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ในปี 2578
 
ทั้งนี้โครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่เห็นได้ชัดว่าเป็นปัญหาคือการพึ่งพารายได้จากภาคส่วนใดของเศรษฐกิจมากเกินไปทำให้เมื่อเกิดวิกฤติเศรษฐกิจจากโควิด-19 แล้วเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า ต่างจากหลายประเทศที่เมื่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายแล้วเศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็ว แต่ประเทศไทยเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ช้า
 
เนื่องจากเราพึ่งพาภาคการท่องเที่ยวในสัดส่วนที่สูงคือ 18 – 19% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งเมื่อการท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นตัว นักท่องเที่ยวยังเข้ามาในประเทศไทยน้อยจากข้อจำกัดของโควิด -19 ทำให้เศรษฐกิจไทยจีดีพียังไม่ขยายตัวมากนัก
 
นอกจากนั้นในอนาคตยังมีความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีที่รวดเร็ว และการเปลี่ยนแปลงของภาคการเงินที่จะมีเรื่องคริปโตเคอร์เรนซี่เข้าเป็นทั้งปัจจัยหนุนและปัจจัยเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจมากขึ้นด้วย
 
นายดนุชากล่าวต่อว่าในการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในระยะ 10 ปีข้างหน้าต้องพัฒนาไปสู่การเป็นระบบเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่น (Resilience) เป็นรูปแบบเศรษฐกิจที่รองรับกับความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของดิจิทัลที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด รวมทั้งสามารถที่จะเผชิญกับวิกฤติที่เข้ามาในอนาคตได้
 
“ระบบเศรษฐกิจที่ยืดหยุ่น สามารถที่จะปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว และสามารถฟื้นตัวขึ้นจากวิกฤติได้รวดเร็ว ถึงแม้ว่าเราจะล้มลงบ้าง แต่เมื่อล้มลงแล้วสามารถลุกขึ้นได้เร็ว และเดินหน้าต่อไปได้เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากในอนาคต” นายดนุชา กล่าว
 
ในระยะ 10 ปีข้างหน้าแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจไทยทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ต้องร่วมมือกันทำงาน และให้ความสำคัญกับการลงทุนในเรื่อง R&D เพื่อสร้างนวัตกรรม และเทคโนโลยีใหม่ๆ การพัฒนาทุนมนุษย์ โดยเพิ่มความสามารถและทักษะในการทำงาน และเพิ่มผลิตภาพการผลิตมากขึ้นเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจของประเทศ
 
โดยแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศได้มีการรวบรวมไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 ที่อยู่ระหว่างการจัดทำร่างฯและจะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ และนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป และจะประกาศใช้ในปีงบประมาณ 2566 ต่อไป



หมอธีระเผยโควิดอันตรายกว่าไข้หวัดใหญ่ "อัตราเสียชีวิตสูงกว่า"
https://www.tnnthailand.com/news/covid19/104771/

หมอธีระเผยโควิดอันตรายกว่าไข้หวัดใหญ่ อัตราเสียชีวิตสูงกว่าและเสี่ยงเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดในอนาคต

วันนี้ (13ก.พ.65) รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Thira Woratanarat ระบุข้อความว่า
 
หนึ่ง "โรค COVID-19 มีอัตราป่วยตายสูงกว่าไข้หวัดใหญ่" แม้ Omicron จะรุนแรงน้อยลงกว่าเดิม แต่อัตราป่วยตายของโควิด-19 ยังสูงกว่าไข้หวัดใหญ่ราว 1.6 เท่า หากดูจากข้อมูลในสหราชอาณาจักร
 
ในขณะที่จำนวนการตายจากโควิด-19 ทั่วโลกนั้นก็สูงมากในแต่ละวัน หากเปรียบเทียบจำนวนการตายจากโควิด-19 กับจำนวนการตายจากไข้หวัดใหญ่ในบางประเทศที่มีการติดเชื้อจำนวนมา เช่น สหรัฐอเมริกา จะพบว่าสูงกว่าถึง 100 เท่าเลยทีเดียว
ดังนั้นปัจจุบัน หากดูตามข้อมูลวิชาการจึงฟันธงว่า COVID-19 ไม่ใช่หวัดธรรมดา และไม่ใช่ไข้หวัดใหญ่
 
สอง "การติดเชื้อโรคโควิด-19 ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในอนาคต"
 
การศึกษาในสหรัฐอเมริกาในกลุ่มประชากรขนาดใหญ่ ชี้ให้เห็นว่าหลังจากติดเชื้อโรคโควิด-19 และรักษาหายแล้ว คนที่ติดเชื้อนั้นก็ยังเสี่ยงต่อการเป็นปัญหาเรื่องโรคหัวใจและหลอดเลือด ราว 20 ชนิด ในช่วง 12 เดือนถัดมา อาทิ หัวใจขาดเลือด หัวใจล้มเหลว กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ภาวะหัวใจหยุดเต้น โรคหลอดเลือดสมอง ลิ่มเลือดอุดตันในปอดและหลอดเลือดต่างๆ เป็นต้น
 
ทั้งนี้พบว่า คนที่เคยติดเชื้อจะมีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาโรคหลอดเลือดสมองสูงกว่าคนไม่ติดเชื้อ 52% และมีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาหัวใจล้มเหลวมากกว่าคนไม่ติดเชื้อ 72%
 
โดยเฉลี่ยแล้ว ในกลุ่มคนที่เคยติดเชื้อ 1,000 คน จะมี 45 คนที่มีปัญหาหัวใจและหลอดเลือดข้างต้นอย่างใดอย่างหนึ่งในช่วงเวลา 12 เดือนหลังการติดเชื้อ ข้อมูลวิชาการข้างต้นชี้ให้เห็นว่า ประวัติการติดเชื้อโรคโควิด-19 มาก่อนนั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นปัจจัยเสี่ยงหลักต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดในอนาคต
และถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของภาวะ Long COVID ที่จะเป็นผลกระทบระยะยาวต่อตัวคนที่ติดเชื้อ ครอบครัว และสังคม
การป้องกันตัวอย่างเคร่งครัดจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
 
ไม่ติดเชื้อย่อมดีที่สุด
  
พรุ่งนี้วันวาเลนไทน์หรือวันแห่งความรัก ขอให้ระมัดระวังเรื่องการติดเชื้อแพร่เชื้อโควิด-19 หากออกไปฉลอง ไปกินดื่ม และอื่นๆ
Happy Sunday Morning ครับ
 
https://www.facebook.com/thiraw/posts/10223884214205736

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่