เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้น ที่แต่งรับเดือนแห่งความรักค่ะ
ขอให้เพื่อนๆทุกท่านมีความสุขกับเทศกาลแห่งความรักนะคะ
ครั้งแรกที่ผมเห็นโซอี้นั้น เธอไม่ได้เป็นเพียงหญิงสาวทั่วๆไป เช่นที่ผมได้พบเจอมาตลอดชีวิตยี่สิบปีของผม
นั่นไม่ได้เป็นเพราะว่าเธอมีดวงตาสีดำเข้มคู่โตที่เปล่งประกาย หรือเรือนผมสีดำขลับเป็นลอนพลิ้วไหวในทุกครั้งที่เธอขยับตัวเดินผ่าน จนกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นดอกไม้ฤดูร้อนนั่นฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณหรอก แต่มันเป็นเพราะว่าน้ำหนักตัวของเธอเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตื่นตะลึงต่างหาก
โซอี้ไม่เคยเป็นผู้หญิงที่ผอมบางมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เธอเป็นคนอวบตั้งแต่ตอนที่ผมเห็นเธอครั้งแรกเมื่อตอนหกขวบ และเธอก็อวบมากขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งเธอเข้าสู่วัยสาว
ผมขอสารภาพว่าตอนนั้นผมคิดว่าโซอี้น่าจะเริ่มลดน้ำหนัก
ในขณะที่หญิงสาวคนอื่นๆเริ่มงดอาหาร และเลี่ยงของหวาน เรียวขาเพรียวงามภายใต้กระโปรงสั้นหรือกางเกงยีนส์ กับหน้าท้องที่แบนราบภายใต้เสื้อรัดรูป เริ่มเปิดเผยต่อสายตาบุรุษเพศเช่นผม แต่โซอี้กลับทำในสิ่งตรงกันข้ามกับพวกเพื่อนสาวทั้งหลาย
โซอี้ไม่ได้ค้นพบว่าวัยสาวสะพรั่งของเธอนั้น เป็นวัยที่ต้องเริ่มดูแลรูปร่าง เพื่อความงามในสายตาของตนเองและคนอื่นๆ แต่เธอกลับค้นพบว่านี่คือวัยเริ่มบุกเบิกตะลุยลิ้มลองรสชาติอาหารต่างๆที่เธอไม่เคยประสบพบพานมาก่อนเมื่อในวัยเด็ก
นั่นคืออาหารรสเผ็ด
และมันทำให้เธอเจริญอาหารอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยเฉพาะตอนที่เธอเริ่มมีรายได้เล็กๆน้อยๆจากงานพิเศษสุดสัปดาห์
ทำไมผมถึงรู้งั้นหรือ
นั่นเพราะว่าเธอสวมกางเกงยีนส์ไม่ได้อีกต่อไป -- อันที่จริงเธอสวมกางเกงอะไรไม่ได้เลย นอกจากกางเกงเอวยางยืด
และใช่ นั่นรวมไปถึงเสื้อทุกตัวที่เธอต้องเปลี่ยนใหม่หมดทั้งตู้ และบรรดาเสื้อใหม่ทุกตัวที่ว่าก็มีขนาดใหญ่มากกว่าเดิม
ผมหมายถึงใหญ่มากกว่าแบบ
สุดๆเลยล่ะ --
แต่โซอี้ยังไม่หยุดเจริญอาหาร
แม้ว่าเธอจะเหลือเสื้อเพียงตัวสุดท้ายที่ยังพูดได้เต็มปากว่า “ใส่สบาย” เธอก็ยังมีความสุขกับอาหารต่อไป
ออกจะมากเกินไปด้วยซ้ำ --
ใบหน้าของเธอเริ่มอิ่มเอิบมากขึ้น จนคางเริ่มมีสองชั้น --
ตอนนั้นเองที่ผมเงยหน้าขึ้น มองโซอี้ที่กำลังนั่งอยู่ตรงข้ามผมอย่างเงียบๆ -- ความคิดหนึ่งพลันปรากฏขึ้นมาในหัวว่า “เราควรจะเลิกกัน”
แม้ผมจะไม่ได้พูดมันออกมา หากแต่โซอี้ก็มีท่าทีราวกับจะรับรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่
เธอเพิ่งรู้ตัว ว่าถูกผมมองด้วยสายตาแบบไหน --
โซอี้มองผมนิ่ง ริมฝีปากอิ่มคล้ายจะเผยอเล็กน้อย -- นิ่งตะลึงงันไปชั่วขณะ ราวกับไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะถูกผมมองด้วยสายตาแบบนั้น
เธอรู้ -- เธอสัมผัสได้ -- เธอรู้ว่าผมมองเธอเปลี่ยนไป
ผมเอื้อมมือไปจับมือเธอ ที่กำลังถือชานมแก้วนั้น หากแต่เธอขยับหนี
โซอี้ไม่ได้ต้องการคำปลอบโยน --
อันที่จริงโซอี้ไม่ต้องการแม้แต่คำอธิบายใดๆ --
เธอทำเพียงลุกขึ้น วางชานมแก้วนั้นลงบนม้านั่ง แล้วพึมพัมว่า “ฉันสั่งหวานน้อยยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ -- ร้านนี้ทำมาให้ฉันหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์”
แล้วโซอี้ก็ลุกขึ้น เดินลงไปจากเนินเขาอันเงียบสงัดแห่งนี้ ไม่สนใจแม้แต่จะเหลียวมองกลับมาทางผม ที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนม้านั่งตัวนั้นแม้สักนิด
ราวกับรับรู้อยู่แล้ว ว่าเหตุผลในการขอเลิกในใจครั้งนี้ของผมคืออะไร
นั่นคือครั้งสุดท้ายที่ผมเจอเธอ เมื่อหลายเดือนก่อน
FRIED EGG SONG : เพลงไข่ดาวที่รัก (1)
นั่นไม่ได้เป็นเพราะว่าเธอมีดวงตาสีดำเข้มคู่โตที่เปล่งประกาย หรือเรือนผมสีดำขลับเป็นลอนพลิ้วไหวในทุกครั้งที่เธอขยับตัวเดินผ่าน จนกลิ่นหอมคล้ายกลิ่นดอกไม้ฤดูร้อนนั่นฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณหรอก แต่มันเป็นเพราะว่าน้ำหนักตัวของเธอเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตื่นตะลึงต่างหาก
โซอี้ไม่เคยเป็นผู้หญิงที่ผอมบางมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เธอเป็นคนอวบตั้งแต่ตอนที่ผมเห็นเธอครั้งแรกเมื่อตอนหกขวบ และเธอก็อวบมากขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งเธอเข้าสู่วัยสาว
ผมขอสารภาพว่าตอนนั้นผมคิดว่าโซอี้น่าจะเริ่มลดน้ำหนัก
ในขณะที่หญิงสาวคนอื่นๆเริ่มงดอาหาร และเลี่ยงของหวาน เรียวขาเพรียวงามภายใต้กระโปรงสั้นหรือกางเกงยีนส์ กับหน้าท้องที่แบนราบภายใต้เสื้อรัดรูป เริ่มเปิดเผยต่อสายตาบุรุษเพศเช่นผม แต่โซอี้กลับทำในสิ่งตรงกันข้ามกับพวกเพื่อนสาวทั้งหลาย
โซอี้ไม่ได้ค้นพบว่าวัยสาวสะพรั่งของเธอนั้น เป็นวัยที่ต้องเริ่มดูแลรูปร่าง เพื่อความงามในสายตาของตนเองและคนอื่นๆ แต่เธอกลับค้นพบว่านี่คือวัยเริ่มบุกเบิกตะลุยลิ้มลองรสชาติอาหารต่างๆที่เธอไม่เคยประสบพบพานมาก่อนเมื่อในวัยเด็ก
นั่นคืออาหารรสเผ็ด
และมันทำให้เธอเจริญอาหารอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยเฉพาะตอนที่เธอเริ่มมีรายได้เล็กๆน้อยๆจากงานพิเศษสุดสัปดาห์
ทำไมผมถึงรู้งั้นหรือ
นั่นเพราะว่าเธอสวมกางเกงยีนส์ไม่ได้อีกต่อไป -- อันที่จริงเธอสวมกางเกงอะไรไม่ได้เลย นอกจากกางเกงเอวยางยืด
และใช่ นั่นรวมไปถึงเสื้อทุกตัวที่เธอต้องเปลี่ยนใหม่หมดทั้งตู้ และบรรดาเสื้อใหม่ทุกตัวที่ว่าก็มีขนาดใหญ่มากกว่าเดิม
ผมหมายถึงใหญ่มากกว่าแบบสุดๆเลยล่ะ --
แต่โซอี้ยังไม่หยุดเจริญอาหาร
แม้ว่าเธอจะเหลือเสื้อเพียงตัวสุดท้ายที่ยังพูดได้เต็มปากว่า “ใส่สบาย” เธอก็ยังมีความสุขกับอาหารต่อไป
ออกจะมากเกินไปด้วยซ้ำ --
ใบหน้าของเธอเริ่มอิ่มเอิบมากขึ้น จนคางเริ่มมีสองชั้น --
ตอนนั้นเองที่ผมเงยหน้าขึ้น มองโซอี้ที่กำลังนั่งอยู่ตรงข้ามผมอย่างเงียบๆ -- ความคิดหนึ่งพลันปรากฏขึ้นมาในหัวว่า “เราควรจะเลิกกัน”
แม้ผมจะไม่ได้พูดมันออกมา หากแต่โซอี้ก็มีท่าทีราวกับจะรับรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่
เธอเพิ่งรู้ตัว ว่าถูกผมมองด้วยสายตาแบบไหน --
โซอี้มองผมนิ่ง ริมฝีปากอิ่มคล้ายจะเผยอเล็กน้อย -- นิ่งตะลึงงันไปชั่วขณะ ราวกับไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะถูกผมมองด้วยสายตาแบบนั้น
เธอรู้ -- เธอสัมผัสได้ -- เธอรู้ว่าผมมองเธอเปลี่ยนไป
ผมเอื้อมมือไปจับมือเธอ ที่กำลังถือชานมแก้วนั้น หากแต่เธอขยับหนี
โซอี้ไม่ได้ต้องการคำปลอบโยน --
อันที่จริงโซอี้ไม่ต้องการแม้แต่คำอธิบายใดๆ --
เธอทำเพียงลุกขึ้น วางชานมแก้วนั้นลงบนม้านั่ง แล้วพึมพัมว่า “ฉันสั่งหวานน้อยยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ -- ร้านนี้ทำมาให้ฉันหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์”
แล้วโซอี้ก็ลุกขึ้น เดินลงไปจากเนินเขาอันเงียบสงัดแห่งนี้ ไม่สนใจแม้แต่จะเหลียวมองกลับมาทางผม ที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนม้านั่งตัวนั้นแม้สักนิด
ราวกับรับรู้อยู่แล้ว ว่าเหตุผลในการขอเลิกในใจครั้งนี้ของผมคืออะไร
นั่นคือครั้งสุดท้ายที่ผมเจอเธอ เมื่อหลายเดือนก่อน