เจ้าสัวคีรี บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นเนล เอวิเอชั่น ร่อนหนังสือถึงบิ๊กตู่ ปมอีอีซีล่าช้า จ่อทำโครงการอู่ตะเภาและเมืองการบินมีความเสี่ยง หลังไฮสปีด3สนามบิน ติดหล่มเวนคืน ชี้เร่งสร้างความเชื่อมั่นเหตุต้องระดมทุนจากต่างประเทศ
ความล่าช้าในขั้นตอนดำเนินโครงการในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซีของรัฐบาล ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และเอกชนผู้รับสัมปทานโครงการขนาดใหญ่ในพื้นที่ นอกจากการส่งมอบพื้นที่โครงการรถไฟความเร็วสูง(ไฮสปีดเทรน)เชื่อมสามสนามบิน(ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา)แล้วยังมีโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบิน ที่ภาคเอกชนผู้รับสัมปทานไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้
ล่าสุด เมื่อวันที่11กุมภาพันธ์2565 เฟซบุ๊กเพจ สนามบินสุวรรณภูมิ Suvannaphumi Airport เผยแพร่ หนังสือที่มีการลงนามจาก นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นเนล เอวิเอชั่น จำกัด ส่งถึงนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2565 ระบุว่าโครงการสนามบินอู่ตะเภา
ที่มีการประมูลหาเอกชนมาดำเนินโครงการ ได้มีการระบุตัวเลขคาดการณ์ผู้โดยสาร และตัวเลข ที่ภาคเอกชนใช้ในการคำนวณความเป็นไปได้ของโครงการ แต่เมื่อมีผู้ชนะการประมูล นั่นคือ กลุ่มบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นเนล เอวิเอชั่น จำกัด และ ต้องมีการระดมทุนจากต่างประเทศเพื่อมาดำเนินการ ซึ่งต้องมีความเชื่อมั่นจากนักลงทุน
ทั้งนี้ในจดหมายฉบับดังกล่าว ระบุถึง การมีข่าวในสื่อที่กล่าวถึงโครงการของรัฐบาล เช่น การขยายส่วนต่อขยายของสนามบินสุวรรณภูมิ และ สนามบินดอนเมือง ที่นอกเหนือจากที่ระบบไว้ในสัญญาร่วมลงทุน จะส่งผลกระทบต่อการลงทุนของเอกชนในโครงการสนามบินอู่ตะเภา ทำให้เกิดความเสียหาย
โครงการสนามบินอู่ตะเภา เป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ดังนั้น นายกรัฐมนตรี ต้องเข้ามาแก้ปัญหา เพราะวาดภาพฝันก่อนเชิญชวนเอกชนมาร่วมลงทุน กับตัวเลขของจริง บวกกับสถานการณ์โควิด ทำให้ห่างไกลราวกันฟ้ากับดิน แต่รัฐจะปล่อยให้เอกชนถูกลอยแพเพียงลำพังได้หรือ อีอีซี คือ เครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนประเทศ ดังนั้น การเข้ามาแก้ปัญหาอย่างจริงจังคือบทบาทที่สำคัญของภาครัฐ
จากข่าวดังกล่าวทำให้น่าวิตกเป็นอย่างยิ่งว่า หากรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ได้ จะทำให้กระทบต่อความเชื่อมั่นโครงการอีอีซีทั้งระบบ เนื่องจากมีหลายโครงการ ทั้งในโครงการอู่ตะเภา โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) โครงการมาบตะพุด ในขณะที่ยังไม่เกิดแนวทางที่ชัดเจนจากภาครัฐ
จะทำให้เกิดความล่าช้า และ นำมาซึ่งความเสี่ยงต่อทุกโครงการในอีอีซีทั้งนี้ 4 โครงการหลักในอีอีซี ได้แก่ โครงรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) สนามบินอู่ตะเภา ท่าเรือมาบตาพุด ท่าเรือแหลมฉบัง ที่มีมูลค่าการลงทุน 654,921 ล้านบาท ซึ่งภาคเอกชนลงทุนลงทุนสูงถึง 416,080 ล้านบาท (64%) เพื่อให้ได้ข้อสรุป ภาครัฐต้องเข้ามาเร่งแก้ปัญหาให้กับสนามบินอู่ตะเภา
โดยต้องเอาจริงเอาจังกับโครงการอีอีซีให้มากขึ้น หากยึดแนวทางรัฐร่วมเอกชนแบบ PPP โดยร่วมกันแก้ปัญหา มองเป้าหมายของประเทศไทยเป็นที่ตั้ง เชื่อมั่นว่า จะหาทางออกได้อย่างแน่นอน
สำหรับโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกถือเป็นหนึ่งในโครงการโครงสร้างพื้นฐานหลักสําคัญของ EEC มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับสนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 เชื่อมสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิด้วยรถไฟความเร็วสูง ทําให้ทั้ง 3 สนามบินสามารถรองรับผู้โดยสารรวมกันได้มากถึง 200 ล้านคนต่อปี
นอกจากนี้โครงการฯ จะทําให้เกิดศูนย์กลางการพัฒนาธุรกิจเป้าหมาย โดยเฉพาะการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและ Logistics & Aviation รวมถึงการเป็นศูนย์กลางของมหานครการบินภาคตะวันออกที่ครอบคลุมการพัฒนาพื้นที่เมือง ประมาณ 30 กิโลเมตรโดยรอบสนามบิน (พัทยาถึงระยอง)
รายละเอียดข่าวเพิ่มเติม
https://www.thansettakij.com/economy/513675
https://mgronline.com/business/detail/9650000014364
เจ้าสัวคีรี จี้บิ๊กตู่ อีอีซีล่าช้า ทำโครงการอู่ตะเภา สุ่มเสี่ยง!!
ความล่าช้าในขั้นตอนดำเนินโครงการในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกหรืออีอีซีของรัฐบาล ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และเอกชนผู้รับสัมปทานโครงการขนาดใหญ่ในพื้นที่ นอกจากการส่งมอบพื้นที่โครงการรถไฟความเร็วสูง(ไฮสปีดเทรน)เชื่อมสามสนามบิน(ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา)แล้วยังมีโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบิน ที่ภาคเอกชนผู้รับสัมปทานไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้
ล่าสุด เมื่อวันที่11กุมภาพันธ์2565 เฟซบุ๊กเพจ สนามบินสุวรรณภูมิ Suvannaphumi Airport เผยแพร่ หนังสือที่มีการลงนามจาก นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นเนล เอวิเอชั่น จำกัด ส่งถึงนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2565 ระบุว่าโครงการสนามบินอู่ตะเภา
ที่มีการประมูลหาเอกชนมาดำเนินโครงการ ได้มีการระบุตัวเลขคาดการณ์ผู้โดยสาร และตัวเลข ที่ภาคเอกชนใช้ในการคำนวณความเป็นไปได้ของโครงการ แต่เมื่อมีผู้ชนะการประมูล นั่นคือ กลุ่มบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นเนล เอวิเอชั่น จำกัด และ ต้องมีการระดมทุนจากต่างประเทศเพื่อมาดำเนินการ ซึ่งต้องมีความเชื่อมั่นจากนักลงทุน
โครงการสนามบินอู่ตะเภา เป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ดังนั้น นายกรัฐมนตรี ต้องเข้ามาแก้ปัญหา เพราะวาดภาพฝันก่อนเชิญชวนเอกชนมาร่วมลงทุน กับตัวเลขของจริง บวกกับสถานการณ์โควิด ทำให้ห่างไกลราวกันฟ้ากับดิน แต่รัฐจะปล่อยให้เอกชนถูกลอยแพเพียงลำพังได้หรือ อีอีซี คือ เครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนประเทศ ดังนั้น การเข้ามาแก้ปัญหาอย่างจริงจังคือบทบาทที่สำคัญของภาครัฐ
จากข่าวดังกล่าวทำให้น่าวิตกเป็นอย่างยิ่งว่า หากรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ได้ จะทำให้กระทบต่อความเชื่อมั่นโครงการอีอีซีทั้งระบบ เนื่องจากมีหลายโครงการ ทั้งในโครงการอู่ตะเภา โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) โครงการมาบตะพุด ในขณะที่ยังไม่เกิดแนวทางที่ชัดเจนจากภาครัฐ
จะทำให้เกิดความล่าช้า และ นำมาซึ่งความเสี่ยงต่อทุกโครงการในอีอีซีทั้งนี้ 4 โครงการหลักในอีอีซี ได้แก่ โครงรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) สนามบินอู่ตะเภา ท่าเรือมาบตาพุด ท่าเรือแหลมฉบัง ที่มีมูลค่าการลงทุน 654,921 ล้านบาท ซึ่งภาคเอกชนลงทุนลงทุนสูงถึง 416,080 ล้านบาท (64%) เพื่อให้ได้ข้อสรุป ภาครัฐต้องเข้ามาเร่งแก้ปัญหาให้กับสนามบินอู่ตะเภา
โดยต้องเอาจริงเอาจังกับโครงการอีอีซีให้มากขึ้น หากยึดแนวทางรัฐร่วมเอกชนแบบ PPP โดยร่วมกันแก้ปัญหา มองเป้าหมายของประเทศไทยเป็นที่ตั้ง เชื่อมั่นว่า จะหาทางออกได้อย่างแน่นอน
สำหรับโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกถือเป็นหนึ่งในโครงการโครงสร้างพื้นฐานหลักสําคัญของ EEC มีวัตถุประสงค์เพื่อยกระดับสนามบินอู่ตะเภาเป็นสนามบินนานาชาติเชิงพาณิชย์หลักแห่งที่ 3 เชื่อมสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิด้วยรถไฟความเร็วสูง ทําให้ทั้ง 3 สนามบินสามารถรองรับผู้โดยสารรวมกันได้มากถึง 200 ล้านคนต่อปี
นอกจากนี้โครงการฯ จะทําให้เกิดศูนย์กลางการพัฒนาธุรกิจเป้าหมาย โดยเฉพาะการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและ Logistics & Aviation รวมถึงการเป็นศูนย์กลางของมหานครการบินภาคตะวันออกที่ครอบคลุมการพัฒนาพื้นที่เมือง ประมาณ 30 กิโลเมตรโดยรอบสนามบิน (พัทยาถึงระยอง)
รายละเอียดข่าวเพิ่มเติม
https://www.thansettakij.com/economy/513675
https://mgronline.com/business/detail/9650000014364