ตลาดยิ่งเจริญของราคายังคงที่ร้านค้าบ่นน้ำมันแพง
https://www.innnews.co.th/news/economy/news_290181/
ตลาดยิ่งเจริญสินค้าคงที่เทียบวานนี้ ร้านค้าบ่นน้ำมันแพง ของราคาไม่ลดฉุดยอดขาย
จากการได้ลงพื้นที่สำรวจราคาสินค้าพืชผักที่ตลาดยิ่งเจริญ ย่านสะพานใหม่ พบว่า เนื้อหมูราคา 170-210 บาท ตามชนิดของเนื้อ เช่นหมูเนื้อแดง กิโลกรัมละ 170 บาท สะโพกกิโลกรัมละ 170 บาท สันใน-สันนอกกิโลกรัมละ190บาท สามชั้นกิโลกรัมละ 210 บาท หมูบดกิโลกรัมละ 170 บาท ซี่โครงหมูกิโลกรัมละ 170-200 บาท
ไก่สดกิโลกรัมละ 60-90 บาท เช่น ไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน กิโลกรัมละ 60 บาท น่องไก่ กิโลกรัมละ 70 บาท น่องไก่ติดสะโพก กิโลกรัมละ70บาท เนื้ออกติดหนัง กิโลกรัมละ 75 บาท เนื้อไก่ล้วน กิโลกรัมละ 80 บาท เนื้อสันในไก่ กิโลกรัมละ 85 บาท ปีกเต็ม กิโลกรัมละ 90 บาท ด้านไข่ไก่แผงละบาท 105-115 ตามขนาดของไข่ไก่
ด้านผักสด ราคาคงที่ โดย ผักกาดขาวกิโลกรัมละ 25 บาท โหระพา กิโลกรัมละ 50บาท ผักชี กิโลกรัมละ 80-90 บาท ผักขึ้นฉ่าย กิโลกรัมละ 40 บาท ผักชีฝรั่ง กิโลกรัมละ 50 บาท ผักกาดหอม กิโลกรัมละ 60 บาท คะน้า กิโลกรัมละ 30 บาท ต้นหอม กิโลกรัมละ 50 บาทผักกาดหอมกิโลกรัมละ 60 บาท ส่วนราคาน้ำพืชปาล์ม อยู่ที่ 65 บาทต่อขวด น้ำมันพืชปาล์มแบบถุง 1 ลิตร 80-90 บาท
ทั้งนี้ จากการสอบถามร้านค้า บอกกับสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า ราคาสินค้าในตลาดคงที่จากเมื่อวานที่ผ่านมาราคายังไม่ปรับขึ้น แม้ปรับขึ้นก็เป็นการปรับขึ้นตามกลไกการตลาดตามปริมาณสินค้าที่เข้าสู่ตลาดกลางในแต่ละวัน ซึ่งราคาสินค้าแต่ละวันจะไม่เท่ากันแต่ทางร้านทุกร้านยังขายในราคาที่กำหนดไว้ โดยมองว่าสาเหตุของราคาสินค้ายังอยู่ในราคาสูงเกิดจากราคาน้ำมันที่แพงเป็นต้นทุนของผู้ผลิตและการขนส่ง ต้องแบกรับภาระ ราคาสินค้าจึงยังแพงอยู่ ทำให้ยอดขายลดลงเพราะประชาชนไม่มีกำลังซื้อ
อย่างไรก็ตามอยากให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาราคาสินค้าและราคาของน้ำมัน เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนรวมถึงผู้ประกอบการผู้ผลิตที่ต้องแบกรับต้นทุน
ส.ผู้เลี้ยง วอนรัฐแก้ราคาข้าวโพดสูงกระทบต้นทุนสวนทางนโยบายตรึงราคาไข่ไก่
https://www.infoquest.co.th/2022/173111
นาง
พเยาว์ อริกุล นายกสมาคมการค้าผู้เลี้ยงไก่ไข่รายย่อยภาคกลาง เปิดเผยว่า ขณะนี้เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ กำลังเผชิญปัญหาราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และราคากากถั่วเหลืองมีราคาสูง กระทบต้นทุนการผลิตอย่างมาก ขณะที่ราคาขายไข่ไก่หน้าฟาร์มถูกตรึงอยู่ที่ฟองละ 2.90 บาท แต่ต้นทุนพุ่งไปที่ฟองละ 2.92 บาทแล้ว หากยังปล่อยราคาข้าวโพดสูงไปกว่านี้ เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่จะอยู่ไม่ได้
“
ไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐจัดการปัญหาราคาข้าวโพดไม่ได้ ทั้งๆ ที่ขณะนี้เป็นช่วงปลายฤดูกาลเก็บเกี่ยว ที่ข้าวโพดทั้งหมดขายออกจากไร่เกษตรกรไปอยู่ในสต็อกของพ่อค้าพืชไร่หมดแล้ว ซึ่งเท่ากับมีผลผลิตที่พร้อมจำหน่ายเต็มที่ แต่กลับพบว่ามีของออกมาในตลาดน้อยและดันให้ราคาสูงขึ้นมาก หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป คนเลี้ยงไก่ไข่ต้องขาดทุนมากขึ้น จากการถูกตรึงราคาไข่แต่ไม่มีใครช่วยตรึงราคาข้าวโพดซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญ” นางพเยาว์ กล่าว
ขณะนี้ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีราคาสูงถึง กก.ละ 10.90 บาท และมีแนวโน้มสูงขึ้นอีก คาดว่าราคาจะขึ้นไปแตะถึงกก.ละ 11.50 บาท ส่วนราคากากถั่วเหลืองจากเมล็ดถั่วเหลืองนำเข้า มีราคาเพิ่มขึ้นจาก กก.ละ 20.10 บาท เป็นกก.ละ 20.50 บาท เนื่องจากสภาวะอากาศที่แห้งแล้งของประเทศผู้ผลิตถั่วเหลือง ที่คาดว่าผลผลิตจะลดลงต่อเนื่อง ผนวกกับการขนส่งของสหรัฐฯ ที่มีความล่าช้าจากปัญหาอากาศหนาวเย็น ทำให้ราคามีแนวโน้มสูงขึ้นอีก
อย่างไรก็ดี ทั้งสองวัตถุดิบนี้เป็นส่วนผสมสำคัญของอาหารสัตว์ และเป็นสินค้าที่ได้รับการคุ้มครองภายใต้มาตรการรัฐ โดยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีการประกันรายได้เกษตรกรพืชไร่ ขณะที่กากถั่วเหลืองก็มีภาษีนำเข้า 2% ซึ่งเป็นการเพิ่มต้นทุนให้เกษตรกรคนเลี้ยงสัตว์
“
เกษตรกรคนเลี้ยงไก่ไข่ไม่มีรัฐมาช่วยปกป้อง พอรัฐขอให้ช่วยตรึงราคาขายไข่เราก็ตรึงให้ แต่โปรดช่วยตรึงราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เราด้วย ขอแค่ให้พออยู่ได้ ถ้ารัฐทำไม่ได้ก็ไม่ควรตรึงราคาขาย อย่าลืมว่า มันไม่มีคนทำมาหากินที่ไหนที่จะอยู่ได้ ถ้าถูกควบคุมราคาขายปลายทาง แต่ต้นทุนผลิตพุ่งไม่หยุดแบบนี้” นาง
พเยาว์ กล่าว
เอกชนร้องนำเข้าหมูสเปน แลกตลาดส่งออกไก่ไปอียู
https://www.bangkokbiznews.com/business/987715
“ปศุสัตว์”ส่งหนังสือ ถึงเฉลิมชัย หลังเอกชนขอนำเข้าหมูจากสเปน ชี้ลดลักลอบจากเพื่อนบ้านสุ่มเสี่ยงเกิดโรคระบาดซ้ำ ผวาไม่อนุมัติกระทบการส่งออกไก่ไปอียู
รายงานข่าวจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า น.สพ.
สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ ทำหนังสือลงวันที่ 3 ก.พ.2565 ถึง นาย
ทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเสนอ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามขั้นตอนราชการ เพื่อขอพิจารณาให้อนุญาตนำเข้าเนื้อหมูจากประเทศสเปน หลังเอกชนสนใจนำเข้าและหากไม่อนุมัติให้นำเข้าอาจมีการลักลอบนำสัตว์ข้ามแดนจากเพื่อนบ้านซึ่งอาจก่อส่งผลให้เกิดโรคระบาดได้
ทั้งนี้ ในหนังสือดังกล่าวยังระบุว่า หากไม่พิจารณานำเข้าเนื้อหมูจากสเปน อาจกระทบกับการที่ไทยส่งออกไก่ไปสหภาพยุโรป(อียู)ในปี 2565 ซึ่งคณะผู้ตรวจประเมินเพื่อรับรองการนำเข้าไก่ของอียูมีแผนจะเดินทางมาตรวจสอบเพื่อต่ออายุสถานะส่งออกไก่ของไทยช่วงมิ.ย. 2565
“การตรวจสอบตรวจรับรองเนื้อหมูและเครื่องในเพื่อการนำเข้าจาก อียู มีความเกี่ยวข้องกับการที่ไทยจะส่งออกไก่ไปอียูด้วยเช่นกัน เพราะประเทศสเปนได้ส่งคำขอ เปิดตลาดเนื้อหมู เครื่องในหมูเพื่อการบริโภคและผลิตภัณฑ์หมู เพื่อขอเปิดตลาดแบบเป็นระบบ เมื่อปี 2555แล้ว ”
สำหรับความคืบหน้าคำขอสเปน ได้ผ่านขั้นตอนการวิเคราะห์ประเมินความเสี่ยง ตามประกาศกรมปศุสัตว์ เรื่อง ขั้นตอนการนำเข้าสัตว์มีชีวิตและผลิตภัณฑ์สัตว์ จากต่างประเทศ ปี 2561 กรมปศุสัตว์ได้รับรองโรงงานผลิตเพื่อนำเข้าเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์ จำนวน 5 แห่ง เมื่อ 2 ก.ค.2564 และมีแผนเดินทางไปตรวจประเมินสถานที่ผลิต ที่ประเทศสเปนในวันที่ 7-18 ก.พ.2565
นาย
เฉลิมชัย กล่าวว่า ขณะนี้ยังยืนยันว่าไม่ให้มีการนำเข้าหมูจากต่างประเทศ เพราะแนวโน้มราคาหมูลดลงแล้ว และคาดว่าอีกไม่นานสถานการณ์น่าจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
ด้านนาย
ประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ” ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการนำเข้าเนื้อหมูจากต่างประเทศ แม้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคที่ในด้านราคาที่ปรับลดลง แต่ในอนาคตแล้วการนำเข้าจะส่ง
ผลกระทบกับผู้เลี้ยงหมูทั้งระบบซึ่งสถานการณ์การขาดแคลนเนื้อหมูของไทย คาดว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติภายใน 1 ปี
หากเทียบกับจีน ที่ศักยภาพด้านปศุสัตว์ ล้าหลังกว่าไทยมาก แต่สามารถปรับตัว และรับมือกับโรคเอเอสเอฟ ได้เร็วและผลิตเนื้อหมูจำหน่ายในราคาที่ลดลง เพียง 2 ปีเท่านั้น
“ตอนนี้ผู้เลี้ยงทุกราย รับรู้ถึงความรุนแรงของเอเอฟเอส แล้ว และอยู่ระหว่างปรับตัวเพื่อเลี้ยงรอบใหม่ ซึ่งผมคิดว่าจะทำได้เร็ว และรับมือกับการระบาดของโรคได้ ดีกว่าที่คาดไว้ ซึ่งโรคนี้สำคัญที่พาหะนำโรค ทั้งคน สัตว์ และพาหนะ หากสามารถจัดการได้ ความเสี่ยงก็จะลดลง “
ในส่วนของซีพีเอฟ นั้น ได้ปรับรูปแบบการให้อาหารสัตว์ทุกฟาร์ม โดยสร้างไซโลอาหารสัตว์นอกฟาร์ม ลำเลี้ยงด้วยสายพาน แทนการลำเลียงด้วยยานพาหนะและคน การลงทุนดังกล่าวทำให้ต้นทุนการผลิตหมูของซีพีเอฟ เพิ่มขึ้น 10 % ในขณะที่ผลประกอบการของบริษัทในไตรมาสที่3 ของปีที่ผ่านมาขาดทุน 5,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากธุรกิจหมูทั้งหมด ดดยอัตราการบริโภคหมูของไทย หายไป 20 %
“ไม่เพียงแต่ผู้ประกอบการรายย่อย เท่านั้นที่บาดเจ็บจากเอเอสเอฟ ซีพีเอฟก็ต้องดิ้นรนเพื่อให้หมูอยู่รอด ซึ่งในขณะนี้ยืนยันว่า ในฟาร์มของบริษัทยังไม่พบการปนเปื้อน ส่วนหนึ่งเพราะเตรียมรับมือได้ดี และมีประสบการณ์จากการระบาดในรัสเซีย จีน เวียดนาม มาก่อน ซึ่งโรคนี้แท้จริงแล้วเกิดขึ้นในแถบอียูมาก่อน “
JJNY : ตลาดยิ่งเจริญร้านค้าบ่นน้ำมันแพง│วอนรัฐแก้ราคาข้าวโพดสูง│เอกชนร้องนำเข้าหมูสเปน│ผวา! เศรษฐกิจเจ๊งยับสงกรานต์กร่อย
https://www.innnews.co.th/news/economy/news_290181/
ตลาดยิ่งเจริญสินค้าคงที่เทียบวานนี้ ร้านค้าบ่นน้ำมันแพง ของราคาไม่ลดฉุดยอดขาย
จากการได้ลงพื้นที่สำรวจราคาสินค้าพืชผักที่ตลาดยิ่งเจริญ ย่านสะพานใหม่ พบว่า เนื้อหมูราคา 170-210 บาท ตามชนิดของเนื้อ เช่นหมูเนื้อแดง กิโลกรัมละ 170 บาท สะโพกกิโลกรัมละ 170 บาท สันใน-สันนอกกิโลกรัมละ190บาท สามชั้นกิโลกรัมละ 210 บาท หมูบดกิโลกรัมละ 170 บาท ซี่โครงหมูกิโลกรัมละ 170-200 บาท
ไก่สดกิโลกรัมละ 60-90 บาท เช่น ไก่สดทั้งตัวรวมเครื่องใน กิโลกรัมละ 60 บาท น่องไก่ กิโลกรัมละ 70 บาท น่องไก่ติดสะโพก กิโลกรัมละ70บาท เนื้ออกติดหนัง กิโลกรัมละ 75 บาท เนื้อไก่ล้วน กิโลกรัมละ 80 บาท เนื้อสันในไก่ กิโลกรัมละ 85 บาท ปีกเต็ม กิโลกรัมละ 90 บาท ด้านไข่ไก่แผงละบาท 105-115 ตามขนาดของไข่ไก่
ด้านผักสด ราคาคงที่ โดย ผักกาดขาวกิโลกรัมละ 25 บาท โหระพา กิโลกรัมละ 50บาท ผักชี กิโลกรัมละ 80-90 บาท ผักขึ้นฉ่าย กิโลกรัมละ 40 บาท ผักชีฝรั่ง กิโลกรัมละ 50 บาท ผักกาดหอม กิโลกรัมละ 60 บาท คะน้า กิโลกรัมละ 30 บาท ต้นหอม กิโลกรัมละ 50 บาทผักกาดหอมกิโลกรัมละ 60 บาท ส่วนราคาน้ำพืชปาล์ม อยู่ที่ 65 บาทต่อขวด น้ำมันพืชปาล์มแบบถุง 1 ลิตร 80-90 บาท
ทั้งนี้ จากการสอบถามร้านค้า บอกกับสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า ราคาสินค้าในตลาดคงที่จากเมื่อวานที่ผ่านมาราคายังไม่ปรับขึ้น แม้ปรับขึ้นก็เป็นการปรับขึ้นตามกลไกการตลาดตามปริมาณสินค้าที่เข้าสู่ตลาดกลางในแต่ละวัน ซึ่งราคาสินค้าแต่ละวันจะไม่เท่ากันแต่ทางร้านทุกร้านยังขายในราคาที่กำหนดไว้ โดยมองว่าสาเหตุของราคาสินค้ายังอยู่ในราคาสูงเกิดจากราคาน้ำมันที่แพงเป็นต้นทุนของผู้ผลิตและการขนส่ง ต้องแบกรับภาระ ราคาสินค้าจึงยังแพงอยู่ ทำให้ยอดขายลดลงเพราะประชาชนไม่มีกำลังซื้อ
อย่างไรก็ตามอยากให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาราคาสินค้าและราคาของน้ำมัน เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนรวมถึงผู้ประกอบการผู้ผลิตที่ต้องแบกรับต้นทุน
ส.ผู้เลี้ยง วอนรัฐแก้ราคาข้าวโพดสูงกระทบต้นทุนสวนทางนโยบายตรึงราคาไข่ไก่
https://www.infoquest.co.th/2022/173111
นางพเยาว์ อริกุล นายกสมาคมการค้าผู้เลี้ยงไก่ไข่รายย่อยภาคกลาง เปิดเผยว่า ขณะนี้เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่ กำลังเผชิญปัญหาราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และราคากากถั่วเหลืองมีราคาสูง กระทบต้นทุนการผลิตอย่างมาก ขณะที่ราคาขายไข่ไก่หน้าฟาร์มถูกตรึงอยู่ที่ฟองละ 2.90 บาท แต่ต้นทุนพุ่งไปที่ฟองละ 2.92 บาทแล้ว หากยังปล่อยราคาข้าวโพดสูงไปกว่านี้ เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่ไข่จะอยู่ไม่ได้
“ไม่เข้าใจว่าทำไมรัฐจัดการปัญหาราคาข้าวโพดไม่ได้ ทั้งๆ ที่ขณะนี้เป็นช่วงปลายฤดูกาลเก็บเกี่ยว ที่ข้าวโพดทั้งหมดขายออกจากไร่เกษตรกรไปอยู่ในสต็อกของพ่อค้าพืชไร่หมดแล้ว ซึ่งเท่ากับมีผลผลิตที่พร้อมจำหน่ายเต็มที่ แต่กลับพบว่ามีของออกมาในตลาดน้อยและดันให้ราคาสูงขึ้นมาก หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป คนเลี้ยงไก่ไข่ต้องขาดทุนมากขึ้น จากการถูกตรึงราคาไข่แต่ไม่มีใครช่วยตรึงราคาข้าวโพดซึ่งเป็นต้นทุนสำคัญ” นางพเยาว์ กล่าว
ขณะนี้ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีราคาสูงถึง กก.ละ 10.90 บาท และมีแนวโน้มสูงขึ้นอีก คาดว่าราคาจะขึ้นไปแตะถึงกก.ละ 11.50 บาท ส่วนราคากากถั่วเหลืองจากเมล็ดถั่วเหลืองนำเข้า มีราคาเพิ่มขึ้นจาก กก.ละ 20.10 บาท เป็นกก.ละ 20.50 บาท เนื่องจากสภาวะอากาศที่แห้งแล้งของประเทศผู้ผลิตถั่วเหลือง ที่คาดว่าผลผลิตจะลดลงต่อเนื่อง ผนวกกับการขนส่งของสหรัฐฯ ที่มีความล่าช้าจากปัญหาอากาศหนาวเย็น ทำให้ราคามีแนวโน้มสูงขึ้นอีก
อย่างไรก็ดี ทั้งสองวัตถุดิบนี้เป็นส่วนผสมสำคัญของอาหารสัตว์ และเป็นสินค้าที่ได้รับการคุ้มครองภายใต้มาตรการรัฐ โดยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีการประกันรายได้เกษตรกรพืชไร่ ขณะที่กากถั่วเหลืองก็มีภาษีนำเข้า 2% ซึ่งเป็นการเพิ่มต้นทุนให้เกษตรกรคนเลี้ยงสัตว์
“เกษตรกรคนเลี้ยงไก่ไข่ไม่มีรัฐมาช่วยปกป้อง พอรัฐขอให้ช่วยตรึงราคาขายไข่เราก็ตรึงให้ แต่โปรดช่วยตรึงราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ให้เราด้วย ขอแค่ให้พออยู่ได้ ถ้ารัฐทำไม่ได้ก็ไม่ควรตรึงราคาขาย อย่าลืมว่า มันไม่มีคนทำมาหากินที่ไหนที่จะอยู่ได้ ถ้าถูกควบคุมราคาขายปลายทาง แต่ต้นทุนผลิตพุ่งไม่หยุดแบบนี้” นางพเยาว์ กล่าว
เอกชนร้องนำเข้าหมูสเปน แลกตลาดส่งออกไก่ไปอียู
https://www.bangkokbiznews.com/business/987715
“ปศุสัตว์”ส่งหนังสือ ถึงเฉลิมชัย หลังเอกชนขอนำเข้าหมูจากสเปน ชี้ลดลักลอบจากเพื่อนบ้านสุ่มเสี่ยงเกิดโรคระบาดซ้ำ ผวาไม่อนุมัติกระทบการส่งออกไก่ไปอียู
รายงานข่าวจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า น.สพ.สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ ทำหนังสือลงวันที่ 3 ก.พ.2565 ถึง นายทองเปลว กองจันทร์ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเสนอ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ตามขั้นตอนราชการ เพื่อขอพิจารณาให้อนุญาตนำเข้าเนื้อหมูจากประเทศสเปน หลังเอกชนสนใจนำเข้าและหากไม่อนุมัติให้นำเข้าอาจมีการลักลอบนำสัตว์ข้ามแดนจากเพื่อนบ้านซึ่งอาจก่อส่งผลให้เกิดโรคระบาดได้
ทั้งนี้ ในหนังสือดังกล่าวยังระบุว่า หากไม่พิจารณานำเข้าเนื้อหมูจากสเปน อาจกระทบกับการที่ไทยส่งออกไก่ไปสหภาพยุโรป(อียู)ในปี 2565 ซึ่งคณะผู้ตรวจประเมินเพื่อรับรองการนำเข้าไก่ของอียูมีแผนจะเดินทางมาตรวจสอบเพื่อต่ออายุสถานะส่งออกไก่ของไทยช่วงมิ.ย. 2565
“การตรวจสอบตรวจรับรองเนื้อหมูและเครื่องในเพื่อการนำเข้าจาก อียู มีความเกี่ยวข้องกับการที่ไทยจะส่งออกไก่ไปอียูด้วยเช่นกัน เพราะประเทศสเปนได้ส่งคำขอ เปิดตลาดเนื้อหมู เครื่องในหมูเพื่อการบริโภคและผลิตภัณฑ์หมู เพื่อขอเปิดตลาดแบบเป็นระบบ เมื่อปี 2555แล้ว ”
สำหรับความคืบหน้าคำขอสเปน ได้ผ่านขั้นตอนการวิเคราะห์ประเมินความเสี่ยง ตามประกาศกรมปศุสัตว์ เรื่อง ขั้นตอนการนำเข้าสัตว์มีชีวิตและผลิตภัณฑ์สัตว์ จากต่างประเทศ ปี 2561 กรมปศุสัตว์ได้รับรองโรงงานผลิตเพื่อนำเข้าเนื้อหมูและผลิตภัณฑ์ จำนวน 5 แห่ง เมื่อ 2 ก.ค.2564 และมีแผนเดินทางไปตรวจประเมินสถานที่ผลิต ที่ประเทศสเปนในวันที่ 7-18 ก.พ.2565
นายเฉลิมชัย กล่าวว่า ขณะนี้ยังยืนยันว่าไม่ให้มีการนำเข้าหมูจากต่างประเทศ เพราะแนวโน้มราคาหมูลดลงแล้ว และคาดว่าอีกไม่นานสถานการณ์น่าจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
ด้านนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ” ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับการนำเข้าเนื้อหมูจากต่างประเทศ แม้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคที่ในด้านราคาที่ปรับลดลง แต่ในอนาคตแล้วการนำเข้าจะส่ง
ผลกระทบกับผู้เลี้ยงหมูทั้งระบบซึ่งสถานการณ์การขาดแคลนเนื้อหมูของไทย คาดว่าจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติภายใน 1 ปี
หากเทียบกับจีน ที่ศักยภาพด้านปศุสัตว์ ล้าหลังกว่าไทยมาก แต่สามารถปรับตัว และรับมือกับโรคเอเอสเอฟ ได้เร็วและผลิตเนื้อหมูจำหน่ายในราคาที่ลดลง เพียง 2 ปีเท่านั้น
“ตอนนี้ผู้เลี้ยงทุกราย รับรู้ถึงความรุนแรงของเอเอฟเอส แล้ว และอยู่ระหว่างปรับตัวเพื่อเลี้ยงรอบใหม่ ซึ่งผมคิดว่าจะทำได้เร็ว และรับมือกับการระบาดของโรคได้ ดีกว่าที่คาดไว้ ซึ่งโรคนี้สำคัญที่พาหะนำโรค ทั้งคน สัตว์ และพาหนะ หากสามารถจัดการได้ ความเสี่ยงก็จะลดลง “
ในส่วนของซีพีเอฟ นั้น ได้ปรับรูปแบบการให้อาหารสัตว์ทุกฟาร์ม โดยสร้างไซโลอาหารสัตว์นอกฟาร์ม ลำเลี้ยงด้วยสายพาน แทนการลำเลียงด้วยยานพาหนะและคน การลงทุนดังกล่าวทำให้ต้นทุนการผลิตหมูของซีพีเอฟ เพิ่มขึ้น 10 % ในขณะที่ผลประกอบการของบริษัทในไตรมาสที่3 ของปีที่ผ่านมาขาดทุน 5,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากธุรกิจหมูทั้งหมด ดดยอัตราการบริโภคหมูของไทย หายไป 20 %
“ไม่เพียงแต่ผู้ประกอบการรายย่อย เท่านั้นที่บาดเจ็บจากเอเอสเอฟ ซีพีเอฟก็ต้องดิ้นรนเพื่อให้หมูอยู่รอด ซึ่งในขณะนี้ยืนยันว่า ในฟาร์มของบริษัทยังไม่พบการปนเปื้อน ส่วนหนึ่งเพราะเตรียมรับมือได้ดี และมีประสบการณ์จากการระบาดในรัสเซีย จีน เวียดนาม มาก่อน ซึ่งโรคนี้แท้จริงแล้วเกิดขึ้นในแถบอียูมาก่อน “