
ข่าวดี ดอน แจ้งวุฒิสภา "มกุฎราชกุมารซาอุฯ" ตอบรับเยือนประเทศไทย

ข่าวดี ดอน แจ้งวุฒิสภา "มกุฎราชกุมารซาอุฯ" ตอบรับเยือนประเทศไทย -ด้านกระทรวงต่างประเทศของไทยเร่งหาทูตประจำประเทศซาอุดีอาระเบียคนแรกในรอบ 30 ปี
7 กุมภาพันธ์ 2565 นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกฯ และ รมว.การต่างประเทศ ตอบกระทู้ถามสดในที่ประชุมวุฒิสภาต่อกรณีการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศซาอุดีอาระเบีย หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เยือนราชอาณาจักรซาอุฯ เมื่อ 25 มกราคม 2565 ตามคำเชิญของ "เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร" รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหมแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ซึ่งตั้งถามโดย นายจเด็จ อินสว่าง ส.ว.
นายดอน กล่าวว่า การเข้าพบดังกล่าวไม่ใช่เรื่องกระทันหัน ข้อเท็จจริงมีหลายองค์ประกอบโดยเริ่มต้นจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จัดการประชุมภาคธุรกิจในกรอบความร่วมมือเอเชียครั้งแรก หรือ ACD Connect 2016 และใช้เวลาบริหารจัดการให้ทุกอย่างเกิดขึ้นจริง ถึง 6 ปี จนนำไปสู่การเยือนอย่างเป็นทางการในปี 2565
รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า การประชุมใน ACD นั้น สมประโยชน์ระดับหนึ่งกับซาอุฯ และรมว.การต่างประเทศซาอุฯ เดินทางมาเยือน และสร้างความสัมพันธ์ คำเชิญให้นายกฯ ไปซาอุฯ ไม่ได้เกิดในปี 2565 แต่เริ่มปี 2560 โดยได้รับเชิญด้วยวาจา แต่มีปัญหาภายในประเทศการพบปะจึงถูกเลื่อน
นายดอนกล่าวด้วยว่า สำคัญคือ ปี 2562 ในการประชุม จี20 ที่นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ผู้นำของ 2 ประเทศพบกันในการประชุมถือว่าได้ตัดสินใจทางการเมือง และได้ใช้เวลาในการฟื้นความสัมพันธ์ คำเชิญทางการเป็นหนังสือ มีมาในเดือนมีนาคม-เมษายน 2564 แต่มีปัญหาทำให้การเจรจาปรับเวลาจึงลงตัวที่ปี 2565
สำหรับการหารือที่ไปไม่ได้ต้อนรับปกติ เพราะไทยไม่มีความสัมพันธ์เป็นปกติ แต่ประเทศซาอุฯ ทำให้เป็นปกติ มีความสมบูรณ์ และชื่นใจ โดยการพบปะพูดคุย ไม่ใช่แค่เรื่องฟื้นความสำคัญ แต่พูดเรื่อย ๆ ที่ผู้นำทั้ง 2 คุยแบบเอ็นจอย ทุกเรื่อง และลงรายละเอียด
เมื่อหารือเสร็จ "มกุฎราชกุมาร" แลกหมายเลขโทรศัพท์กับนายกฯ เพื่อคุยกันต่อหลังจากออกห้องประชุม นั่งรับประทานอาหารร่วมกัน "มกุฎราชกุมาร"คุยสนุก นั่งหัวเราะ พูดคุยคลุมถึงสุขอนามัย การดูแลสุขภาพให้แข็งแรง กีฬา แอนนิเมชั่น เสมือนคุยกันแบบคนในครอบครัว
รมว.การต่างประเทศ ระบุว่า "มกุฎราชกุมาร" พูดในห้องหารือลำดับแรกว่าประชาชนสนใจไปมาหาสู่กัน ต้องหาทางทำให้เป็นจริง ซึ่งนายกฯ เตรียมดำเนินการ เช่น สายการบินจากซาอุฯ – ไทย นอกจากนั้น นายกฯ กำชับว่าขอให้ทำให้ทุกอย่างลุล่วง เพราะขณะนี้ได้เริ่มต้นแล้วในระดับผู้นำ
สิ่งสำคัญที่กระทรวงการต่างประเทศต้องทำให้แล้วเสร็จโดยเร็ว คือ การหาทูตประจำประเทศซาอุดีอาระเบียคนแรกในรอบ 30 ปี
หลายปีที่ผ่านมาไทยกับ โอไอซี มีปฏิสัมพันธ์ระดับหนึ่ง คือ เชิญสมาชิกโอไอซี รับรู้เรื่องราวในประเทศไทยและได้รับการตอบรับอย่างดี ต่อการหาทางปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลประเทศไทย โดยปีนี้ เลขาธิการโอไอซี ตอบรับเยือนไทย รวมถึง"มกุฎราชกุมาร" จะมาเยือนประเทศไทยในปี 2565 เมื่อโรดแมปเรียบร้อย
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระบุด้วยว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กราบบังคมทูลเชิญ"เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร" รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีกลาโหม เสด็จฯ เยือนประเทศไทย ต่อจากนั้นกระทรวงการต่างประเทศของไทย มีหนังสือกราบบังคมทูลเชิญเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งพระองค์ทรงตอบรับคำเชิญ
https://www.komchadluek.net/news/504447

พาณิชย์" วิเคราะห์ไทย-ซาอุฯ ฟื้นสัมพันธ์ เพิ่มร่วมมือ 5 ด้าน-หนุนส่งออกโต

สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) วิเคราะห์การฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ซาอุดีอาระเบีย ช่วยเพิ่มความร่วมมือใน 5 ด้าน แรงงาน การลงทุน การท่องเที่ยว การค้า และอาหาร และช่วยเพิ่มมูลค่าการส่งออกกลับไปเหนือระดับ 1 แสนล้านบาทได้แน่ พร้อมชี้เป้ากลุ่มสินค้าที่มีโอกาส มีทั้งเกษตร และอุตสาหกรรม
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค.ได้ทำการศึกษาโอกาสการส่งออกสินค้าไปตลาดซาอุดีอาระเบีย หลังมีการฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ตามนโยบายที่ได้รับจากนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พบว่า....👇
ผลจากการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตในครั้งนี้ ในแง่เศรษฐกิจการค้า ทั้ง 2 ฝ่ายสามารถสร้างความร่วมมือได้ใน 5 ด้านหลัก ได้แก่ แรงงาน การลงทุน การท่องเที่ยว การค้า และอาหาร และมูลค่าการค้าระหว่างกันจะขยายตัวได้เพิ่มขึ้น โดยเชื่อว่าการส่งออกของไทยไปซาอุดีอาระเบียจะสามารถกลับไปเหนือระดับ 100,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่ไทยเคยมีมูลค่าการส่งออกไปซาอุฯ สูงสุดในปี 2557
ทั้งนี้ ในปี 2565 คาดว่ามูลค่าการค้ารวมระหว่าง 2 ประเทศจะอยู่ที่ประมาณ 280,336 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.3% โดยการส่งออกมีมูลค่า 54,678 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.2% การนำเข้ามีมูลค่า 225,658 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.3% และขาดดุลการค้า 170,980 ล้านบาท
สำหรับสินค้าส่งออกที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็งและแห้ง ส่วนสินค้านำเข้าที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ได้แก่ น้ำมันดิบ เคมีภัณฑ์ น้ำมันสำเร็จรูป สินแร่โลหะอื่นๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ แร่และผลิตภัณฑ์จากแร่ เครื่องใช้และเครื่องตกแต่งภายในบ้านเรือน และส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์
นายรณรงค์กล่าวว่า สนค.ยังได้ประเมินสินค้าส่งออกศักยภาพที่มีโอกาสและคุ้มค่าต่อการผลักดันไปยังตลาดซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นสินค้าที่ไทยมีศักยภาพในตลาดซาอุดีอาระเบียอยู่เดิม รวมถึงสินค้าที่ซาอุดีอาระเบียมีแนวโน้มนำเข้าจากตลาดโลกเพิ่มขึ้นตลอด 3-5 ปีที่ผ่านมา โดยกลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร เช่น ข้าว ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง เช่น มะพร้าว เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เนื้อปลาสด แช่เย็น แช่แข็ง ปลาปรุงแต่ง เช่น ปลาทูน่าปรุงแต่ง กาแฟ ขนมจากน้ำตาล (แบบไม่มีโกโก้ผสม) อาหารปรุงแต่งจากธัญพืช เป็นต้น
ส่วนสินค้าอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ยางรถยนต์สำหรับรถยนต์นั่ง รถบัสและรถบรรทุก ตู้เย็น ตู้แช่แข็ง และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เครื่องระบายอากาศหรือเครื่องหมุนเวียนอากาศที่มีพัดลมประกอบร่วมอยู่ด้วย เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับตัดต่อหรือป้องกันวงจรไฟฟ้า เครื่องประดับเพชรพลอย อุปกรณ์ติดตั้งของหลอดหรือท่อ เช่น ข้อต่อ ข้องอ ปลอกเลื่อน ทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า ไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ เอสเซนเชียลออยล์ เป็นต้น
ตลาดซาอุดีอาระเบียเป็นตลาดที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคตะวันออกกลาง รองจากตุรกี จากข้อมูลของธนาคารโลก (World Bank) ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของซาอุฯ อยู่ที่ประมาณ 700 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ มีรายได้ต่อหัวเฉลี่ย 46,700 เหรียญสหรัฐ คาดว่าในปี 2565 เศรษฐกิจของซาอุฯ จะขยายตัว 4.9% จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับน้ำมันจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจากการลงทุนที่ขยายตัว และยังมองว่าเศรษฐกิจของซาอุฯ ในปี 2566 จะยังคงขยายตัวที่ 2.3%
https://mgronline.com/business/detail/9650000012531

ผลงานชิ้นโบแดงยอดเยี่ยมที่สุดในรอบ32ปีของรัฐบาลไทยค่ะ

💛มาลาริน/ข่าวดีค่ะ รมว.ตปท.แจ้งวุฒิสภา "มกุฎราชกุมารซาอุฯ" ตอบรับเยือนไทย..วิเคราะห์ไทย-ซาอุฯ ฟื้นสัมพันธ์ หนุนส่งออกโต
ข่าวดี ดอน แจ้งวุฒิสภา "มกุฎราชกุมารซาอุฯ" ตอบรับเยือนประเทศไทย -ด้านกระทรวงต่างประเทศของไทยเร่งหาทูตประจำประเทศซาอุดีอาระเบียคนแรกในรอบ 30 ปี
7 กุมภาพันธ์ 2565 นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกฯ และ รมว.การต่างประเทศ ตอบกระทู้ถามสดในที่ประชุมวุฒิสภาต่อกรณีการฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศซาอุดีอาระเบีย หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เยือนราชอาณาจักรซาอุฯ เมื่อ 25 มกราคม 2565 ตามคำเชิญของ "เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร" รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหมแห่งราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ซึ่งตั้งถามโดย นายจเด็จ อินสว่าง ส.ว.
นายดอน กล่าวว่า การเข้าพบดังกล่าวไม่ใช่เรื่องกระทันหัน ข้อเท็จจริงมีหลายองค์ประกอบโดยเริ่มต้นจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม จัดการประชุมภาคธุรกิจในกรอบความร่วมมือเอเชียครั้งแรก หรือ ACD Connect 2016 และใช้เวลาบริหารจัดการให้ทุกอย่างเกิดขึ้นจริง ถึง 6 ปี จนนำไปสู่การเยือนอย่างเป็นทางการในปี 2565
รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า การประชุมใน ACD นั้น สมประโยชน์ระดับหนึ่งกับซาอุฯ และรมว.การต่างประเทศซาอุฯ เดินทางมาเยือน และสร้างความสัมพันธ์ คำเชิญให้นายกฯ ไปซาอุฯ ไม่ได้เกิดในปี 2565 แต่เริ่มปี 2560 โดยได้รับเชิญด้วยวาจา แต่มีปัญหาภายในประเทศการพบปะจึงถูกเลื่อน
นายดอนกล่าวด้วยว่า สำคัญคือ ปี 2562 ในการประชุม จี20 ที่นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น ผู้นำของ 2 ประเทศพบกันในการประชุมถือว่าได้ตัดสินใจทางการเมือง และได้ใช้เวลาในการฟื้นความสัมพันธ์ คำเชิญทางการเป็นหนังสือ มีมาในเดือนมีนาคม-เมษายน 2564 แต่มีปัญหาทำให้การเจรจาปรับเวลาจึงลงตัวที่ปี 2565
สำหรับการหารือที่ไปไม่ได้ต้อนรับปกติ เพราะไทยไม่มีความสัมพันธ์เป็นปกติ แต่ประเทศซาอุฯ ทำให้เป็นปกติ มีความสมบูรณ์ และชื่นใจ โดยการพบปะพูดคุย ไม่ใช่แค่เรื่องฟื้นความสำคัญ แต่พูดเรื่อย ๆ ที่ผู้นำทั้ง 2 คุยแบบเอ็นจอย ทุกเรื่อง และลงรายละเอียด
เมื่อหารือเสร็จ "มกุฎราชกุมาร" แลกหมายเลขโทรศัพท์กับนายกฯ เพื่อคุยกันต่อหลังจากออกห้องประชุม นั่งรับประทานอาหารร่วมกัน "มกุฎราชกุมาร"คุยสนุก นั่งหัวเราะ พูดคุยคลุมถึงสุขอนามัย การดูแลสุขภาพให้แข็งแรง กีฬา แอนนิเมชั่น เสมือนคุยกันแบบคนในครอบครัว
รมว.การต่างประเทศ ระบุว่า "มกุฎราชกุมาร" พูดในห้องหารือลำดับแรกว่าประชาชนสนใจไปมาหาสู่กัน ต้องหาทางทำให้เป็นจริง ซึ่งนายกฯ เตรียมดำเนินการ เช่น สายการบินจากซาอุฯ – ไทย นอกจากนั้น นายกฯ กำชับว่าขอให้ทำให้ทุกอย่างลุล่วง เพราะขณะนี้ได้เริ่มต้นแล้วในระดับผู้นำ
สิ่งสำคัญที่กระทรวงการต่างประเทศต้องทำให้แล้วเสร็จโดยเร็ว คือ การหาทูตประจำประเทศซาอุดีอาระเบียคนแรกในรอบ 30 ปี
หลายปีที่ผ่านมาไทยกับ โอไอซี มีปฏิสัมพันธ์ระดับหนึ่ง คือ เชิญสมาชิกโอไอซี รับรู้เรื่องราวในประเทศไทยและได้รับการตอบรับอย่างดี ต่อการหาทางปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลประเทศไทย โดยปีนี้ เลขาธิการโอไอซี ตอบรับเยือนไทย รวมถึง"มกุฎราชกุมาร" จะมาเยือนประเทศไทยในปี 2565 เมื่อโรดแมปเรียบร้อย
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ระบุด้วยว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กราบบังคมทูลเชิญ"เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร" รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีกลาโหม เสด็จฯ เยือนประเทศไทย ต่อจากนั้นกระทรวงการต่างประเทศของไทย มีหนังสือกราบบังคมทูลเชิญเป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งพระองค์ทรงตอบรับคำเชิญ
https://www.komchadluek.net/news/504447
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) วิเคราะห์การฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ซาอุดีอาระเบีย ช่วยเพิ่มความร่วมมือใน 5 ด้าน แรงงาน การลงทุน การท่องเที่ยว การค้า และอาหาร และช่วยเพิ่มมูลค่าการส่งออกกลับไปเหนือระดับ 1 แสนล้านบาทได้แน่ พร้อมชี้เป้ากลุ่มสินค้าที่มีโอกาส มีทั้งเกษตร และอุตสาหกรรม
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค.ได้ทำการศึกษาโอกาสการส่งออกสินค้าไปตลาดซาอุดีอาระเบีย หลังมีการฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ตามนโยบายที่ได้รับจากนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พบว่า....👇
ผลจากการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตในครั้งนี้ ในแง่เศรษฐกิจการค้า ทั้ง 2 ฝ่ายสามารถสร้างความร่วมมือได้ใน 5 ด้านหลัก ได้แก่ แรงงาน การลงทุน การท่องเที่ยว การค้า และอาหาร และมูลค่าการค้าระหว่างกันจะขยายตัวได้เพิ่มขึ้น โดยเชื่อว่าการส่งออกของไทยไปซาอุดีอาระเบียจะสามารถกลับไปเหนือระดับ 100,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่ไทยเคยมีมูลค่าการส่งออกไปซาอุฯ สูงสุดในปี 2557
ทั้งนี้ ในปี 2565 คาดว่ามูลค่าการค้ารวมระหว่าง 2 ประเทศจะอยู่ที่ประมาณ 280,336 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.3% โดยการส่งออกมีมูลค่า 54,678 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.2% การนำเข้ามีมูลค่า 225,658 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.3% และขาดดุลการค้า 170,980 ล้านบาท
สำหรับสินค้าส่งออกที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ผลิตภัณฑ์ยาง อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป และผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็งและแห้ง ส่วนสินค้านำเข้าที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ได้แก่ น้ำมันดิบ เคมีภัณฑ์ น้ำมันสำเร็จรูป สินแร่โลหะอื่นๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ แร่และผลิตภัณฑ์จากแร่ เครื่องใช้และเครื่องตกแต่งภายในบ้านเรือน และส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์
นายรณรงค์กล่าวว่า สนค.ยังได้ประเมินสินค้าส่งออกศักยภาพที่มีโอกาสและคุ้มค่าต่อการผลักดันไปยังตลาดซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นสินค้าที่ไทยมีศักยภาพในตลาดซาอุดีอาระเบียอยู่เดิม รวมถึงสินค้าที่ซาอุดีอาระเบียมีแนวโน้มนำเข้าจากตลาดโลกเพิ่มขึ้นตลอด 3-5 ปีที่ผ่านมา โดยกลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร เช่น ข้าว ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง เช่น มะพร้าว เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เนื้อปลาสด แช่เย็น แช่แข็ง ปลาปรุงแต่ง เช่น ปลาทูน่าปรุงแต่ง กาแฟ ขนมจากน้ำตาล (แบบไม่มีโกโก้ผสม) อาหารปรุงแต่งจากธัญพืช เป็นต้น
ส่วนสินค้าอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ยางรถยนต์สำหรับรถยนต์นั่ง รถบัสและรถบรรทุก ตู้เย็น ตู้แช่แข็ง และส่วนประกอบ เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน เครื่องระบายอากาศหรือเครื่องหมุนเวียนอากาศที่มีพัดลมประกอบร่วมอยู่ด้วย เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับตัดต่อหรือป้องกันวงจรไฟฟ้า เครื่องประดับเพชรพลอย อุปกรณ์ติดตั้งของหลอดหรือท่อ เช่น ข้อต่อ ข้องอ ปลอกเลื่อน ทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า ไม้และผลิตภัณฑ์จากไม้ เอสเซนเชียลออยล์ เป็นต้น
ตลาดซาอุดีอาระเบียเป็นตลาดที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ในภูมิภาคตะวันออกกลาง รองจากตุรกี จากข้อมูลของธนาคารโลก (World Bank) ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของซาอุฯ อยู่ที่ประมาณ 700 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ มีรายได้ต่อหัวเฉลี่ย 46,700 เหรียญสหรัฐ คาดว่าในปี 2565 เศรษฐกิจของซาอุฯ จะขยายตัว 4.9% จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น และกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับน้ำมันจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจากการลงทุนที่ขยายตัว และยังมองว่าเศรษฐกิจของซาอุฯ ในปี 2566 จะยังคงขยายตัวที่ 2.3%
https://mgronline.com/business/detail/9650000012531