ไม่มีคนไทยเลยเหรอ? เศรษฐีต่างชาติร้องรัฐบาลทั่วโลก เก็บภาษีฉันเถอะ เผื่อโลกจะน่าอยู่ขึ้น
https://brandinside.asia/102-patriotic-millionaires-call-to-pay-fair-tax/
เหล่ามหาเศรษฐีต่างชาติจำนวน 102 คนเรียกร้องรัฐบาลให้เรียกเก็บภาษีตัวเองเดี๋ยวนี้! (tax us now) เพราะอยากจะช่วยให้โลกน่าอยู่ขึ้นบ้าง ชื่อเรียกของเหล่าเศรษฐีคือ “Patriotic Millionaires” หรือเศรษฐีรักชาติ ทำไมจู่ๆ เหล่าเศรษฐีก็เกิดจะรักชาติ รักโลกขึ้นมา เกิดอะไรขึ้น??
อยู่ๆ เหล่าบรรดาเศรษฐีรักชาติก็รวมตัวกันและเรียกร้องให้รัฐบาลทั่วโลกเรียกเก็บภาษีพวกเขา เพื่อจะเข้ามาร่วมแก้ปัญหาทั้งการจัดการโรคระบาดและปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนกับคนรวยที่นับวันปัญหาจะยิ่งรุนแรงขึ้น หนึ่งในบรรดาเศรษฐีมีทายาทดิสนีย์อยู่ด้วย Abigail Disney ระบุว่า ระบบภาษีในปัจจุบันมันเอื้อโอกาสให้เหล่าคนรวย ควรจะมีการแก้ระบบเรียกเก็บภาษีใหม่ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้คนที่ทำงานอย่างหนัก รวมทั้งฟื้นคืนความเชื่อมั่นต่อการเมืองด้วย
คำแถลงของเหล่าเศรษฐีระบุว่า เหล่าบรรดาเศรษฐีต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาด้วย ระบบภาษีในปัจจุบันไม่เป็นธรรม ในขณะที่โลกได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโรคระบาดในช่วงสองปีที่ผ่านมา แต่คนรวยกลับรวยขึ้น แถลงดังกล่าวระบุว่า ทุกประเทศในโลกควรเรียกเก็บภาษีคนรวยให้จ่ายอย่างเป็นธรรมมากขึ้น ควรจะมีการเก็บภาษีความมั่งคั่งนี้ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำอย่างสุดขั้วและเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น ในระยะยาวก็ควรเพิ่มบริการสาธารณะให้มากขึ้นด้วย เช่น ด้านสาธารณสุข เป็นต้น
พวกคนรวยทั้งหลายเหล่านี้ระบุว่า ควรจะมีการเรียกเก็บภาษีมากขึ้น เพื่อทำให้คน 2.3 พันล้านคนที่กำลังทุกข์ยากอยู่นี้พ้นจากความยากจนเสียที เพื่อผลิตวัคซีนให้มากเพียงพอต่อคนทั้งโลกและเพื่อส่งต่อสาธารณสุขที่ดีไปทั่วโลก โดยมองว่า คนรวยที่มีสินทรัพย์ในครอบครองมากกว่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐควรจะจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นจาก 2% เป็น3% ส่วนคนที่รวยมากกว่า 50 ล้านเหรียญสหรัฐควรจ่ายภาษี 5% มีการประเมินว่า หากเรียกเก็บภาษีกับคนที่ร่ำรวยที่สุดในอังกฤษจำนวน 119,000 คน จะได้เงินราว 4.37 หมื่นล้านปอนด์
เหล่าคนรวยรักชาติมองว่า การเรียกเก็บภาษีให้เป็นธรรมมากขึ้นนี้ จะช่วยให้มีการจ่ายเงินเพื่อระบบดูแลสุขภาพมากขึ้น ทำให้ไม่ต้องเรียกเก็บค่าประกันในหมู่คนทำงานเพิ่ม นอกจากนี้ เม็ดเงินดังกล่าวยังครอบคลุมเงินเดือนสำหรับการเพิ่มพยาบาลได้อีกราว 50,000 คน ช่วยนำภาษีเหล่านี้มาจ่ายค่าใช้จ่าย Universal Credit เพิ่มขึ้นได้ (
Universal Credit คือการจ่ายเงินเพื่อค่าครองชีพในปัจจุบัน ที่ต้องจ่ายทุกเดือนหรือจ่ายเดือนละสองครั้งสำหรับในสก็อตแลนด์ เป็นเงินที่มอบให้กับคนที่รายได้น้อยหรือคนที่ว่างงานหรือคนที่ไม่สามารถทำงานได้) และเงินดังกล่าวยังช่วยจัดหาบ้านให้ผู้คนได้ราว 35,000 หลัง เป็นต้น
จากลิสต์รายชื่อเหล่าเศรษฐีรักชาติดังกล่าว พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเศรษฐีในประเทศสหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, เยอรมนี, แคนาดา, เดนมาร์ก, ออสเตรีย, เนเธอร์แลนด์และนอร์เวย์ ไม่มีไทยหรือเศรษฐีในเอเชียไปร่วมแจมแคมเปญนี้เลย
สำหรับประเด็นคนรวยรักชาตินี้ ต้องบอกว่า เป็นเรื่องที่อยู่ในกระแส เป็นความสนใจและเป็นเทรนด์โลก ที่คนหันมาให้ความสนใจความเหลื่อมล้ำมากขึ้น แต่เรื่องที่คนรวยรักชาติต้องการให้มีการเรียกเก็บภาษีนี้ จะเป็นเพราะต้องการแสดงจุดยืนเพราะอยากแก้ไขปัญหาจริงๆ เพื่อให้รู้ว่าไม่ได้เพิกเฉยต่อปัญหาและพร้อมจะยินดีร่วมแก้ไขปัญหาด้วย หรือจะเป็นเพียงการเกาะกระแสนี้เท่านั้น หากประเมินตอนนี้อาจเร็วไป เพราะเอาเข้าจริงถ้าอ้างตามคำพูดที่ Joe Biden เคยกล่าวไว้ “
ไม่มีใครปลอดภัย จนกว่าทุกคนจะปลอดภัย” ก็อาจเป็นสิ่งที่ทำให้เข้าใจได้ไม่ยาก ตราบใดที่พลเมืองทั่วโลกยังประสบปัญหาอยู่ ย่อมส่งผลกระทบต่อผู้คนที่เหลือบ้างไม่มากก็น้อย
สิ่งที่รัฐบาลของประเทศต่างๆ ที่เหล่าเศรษฐีใช้ชีวิตอยู่ทำได้ คือการเรียกเก็บภาษีตามที่เหล่าเศรษฐีเรียกร้อง เพื่อเป็นตัวอย่างว่าลงมือทำจริง แม้จะมีเศรษฐีอีกมากไม่ได้เสนอตัวที่จะทำเช่นเดียวกัน ก็อาจจะสนใจและหันมาเรียกร้องแบบเดียวกันก็เป็นได้
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ช่วงโควิดถือเป็นทั้งวิกฤตสำหรับคนจนให้จนมากขึ้นและเป็นโอกาสให้คนรวยได้รวยมากขึ้นทั้งจากภาษีลาภลอยที่พวกเขาได้รับ ทั้งจากการดำเนินนโยบายเพื่อช่วยเหลือคนทั้งประเทศ คนที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดกลับเป็นคนรวย ประเทศไทยก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีความยากจนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซ้ำแล้วซ้ำเล่าและยังเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่มีอัตราความยากจนเพิ่มขึ้นหลายครั้งนับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา แต่เศรษฐีไทยก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในการเรียกร้องให้เก็บภาษีเพิ่มเติม
เรามาดูกันบ้างว่า 10 อันดับแรกที่เป็นเศรษฐีไทย มีใครบ้าง มีสินทรัพย์ในครอบครองเพียงใด จะมีโอกาสบ้างไหมที่เหล่าคนรวยเศรษฐีไทยจะให้เรียกเก็บภาษีตัวเองบ้างเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในประเทศบ้าง (ตัวเลขจาก Forbes 7 กรกฎาคม 2021)
1. ธนินท์ เจียรวนนท์ ครอบครองทรัพย์สินทรัพย์มูลค่า 3.02 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (9.95 แสนล้านบาท)
2. เจริญ อยู่วิทยา ครอบครองทรัพย์สินทรัพย์มูลค่า 2.45 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
3. เจริญ สิริวัฒนภักดี ครอบครองทรัพย์สินทรัพย์มูลค่า 1.27 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
4. ครอบครัวจิราธิวัฒน์ ครอบครองทรัพย์สินทรัพย์มูลค่า 1.16 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
5. สารัชถ์ รัตนาวะดี ครอบครองทรัพย์สินทรัพย์มูลค่า 8.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ
6. ครอบครัวโอสถานุเคราะห์ ครอบครองทรัพย์สินทรัพย์มูลค่า 3.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ
7. สมโภชน์ อาหุนัย ครอบครองทรัพย์สินทรัพย์มูลค่า 3.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ
8. ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ครอบครองทรัพย์สินทรัพย์มูลค่า 3.25 พันล้านเหรียญสหรัฐ
9. ประจักษ์ ตั้งคารวคุณ ครอบครองทรัพย์สินทรัพย์มูลค่า 3.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ
10. ชูชาติ เพ็ชรอำไพและดาวนภา เพชรอำไพ ครอบครองทรัพย์สินทรัพย์มูลค่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ค่าไฟอ่วม กกพ.จับตาราคาพลังงาน-ก๊าซธรรมชาติรอยต่อแหล่งเอราวัณแพง
https://www.prachachat.net/economy/news-859005
กกพ.จับตาสถานการณ์พลังงานขาขึ้น ความตึงเครียดรัสเซีย ยูเครน กดดันราคาน้ำมันดิบ ช่วงรอยต่อสัมปทานก๊าซอ่าวไทย คาดทำคนไทยอ่วมค่าไฟทั้งปี ชี้จำเป็นต้องทยอยปรับอัตราเอฟทีขึ้นแบบขั้นบันได เล็งตั้งกองทุนแก้ปัญหาระยะยาว ช่วยพยุง ด้าน ปลัด “กุลิศ” เตรียมแถลงชี้แจงสถานการณ์พลังงาน 7 ก.พ.นี้
วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2565 นาย
คมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กล่าวว่า ยอมรับว่าสถานการณ์พลังงานปีนี้ 2565 ต้นทุนพลังงานปรับขึ้นทุกชนิด ประกอบกับปัจจัยภายนอกความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างรัสเซียและยูเครนกดดันให้อุปทานน้ำมันและก๊าซธรรมชาติตึงตัวมากขึ้น
โดยเฉพาะสถานการณ์ราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG ) ขณะนี้มีการปรับราคาขึ้นไปสูงสุดในรอบหลายปี อีกทั้งเป็นผลมาจากไตรมาส 4 ของทุกปีจะเป็นช่วงที่มีความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติปริมาณสูงสุดเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับฤดูหนาว ซึ่งผู้ใช้ก๊าซก็จะทำการซื้อเก็บสต๊อก มีการปั่นราคา LNG ในตลาดโลก ส่งผลทำให้ราคา LNG สูงขึ้นไปเป็นประวัติการณ์ 3-4 เท่าจากราคาตามปกติ
นอกจากนี้ยังเป็นช่วงรอยต่อแหล่งก๊าซอ่าวไทยที่มีการเปลี่ยนสัมปทาน และภาวะเงินบาทอ่อนค่า ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงกับการนำเข้าสินค้า ทำให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตให้นำเข้า LNG (LNG shipper) ชะลอการนำเข้าก๊าซ LNG ในช่วงที่มีราคาสูงขึ้น แม้จะได้อนุญาต Shipper หลายราย ก็ยังไม่สามารถนำเข้ามาได้ทั้งหมด
ส่งผลให้มีการประเมินทิศทางราคาค่าไฟปีนี้ ซึ่งจำเป็นต้องปรับขึ้นซึ่งประเมินว่าค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) จะมีการปรับขึ้นเป็นแบบขั้นบันได ตามหลักการ ซึ่งจะเบื้องต้นคาดการณ์ไว้ว่าปีนี้ อัตราค่าเอฟทีจะปรับขึ้นที่ 16 สตางค์ต่องวดเอฟที ระยะ 3 งวดทั้งปี ที่เหลืออีก 2 งวด คือ งวดเดือน พ.ค.-ส.ค. และงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.ในปีนี้ ทั้งนี้ ยังต้องมีการหารือและผ่านการพิจารณาจากมติคณะกรรมการกิจการพลังงาน (กกพ.) ซึ่งมีนาคมจะมีการหารืองวดถัดไป
อย่างไรก็ดี ประเทศไทยไม่ได้มีโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงเพียงประเภทเดียว ยังมีเชื้อเพลิงประเภทอื่น ๆ อีกที่สามารถทดแทนได้ เพื่อนำมาเฉลี่ยให้สมดุลกัน มีทั้งอยู่ระหว่างแผนซื้อโรงไฟฟ้าเก่าที่มีอยู่แล้ว อาจจะขอซื้อเลยทันที อาทิ โรงไฟฟ้าชีวมวล (น้ำตาล) หรือใช้โรงไฟฟ้าพลังน้ำ นโยบายพลังงานทดแทนเพิ่มเข้ามา อีกส่วนหนึ่งคือการดึงเอาก๊าซฯ จากอ่าวไทยขึ้นมาใช้ประโยชน์ของผู้ได้รับสัมปทาน อีกทั้ง ราคาเชื้อเพลิงดังกล่าวก็จะอิงกับราคาน้ำมันด้วยเช่นกัน เมื่อน้ำมันมีราคาสูง ราคาก๊าซก็สูงขึ้นด้วย
ปัจจุบันส่วนของสัมปทานแหล่งก๊าซฯเอราวัณเดิมที่สามารถผลิตก๊าซฯ ได้เฉลี่ย 1,000 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ที่มีปริมาณลดลง โดยบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เป็นผู้รับสัมปทานรายใหม่จะต้องใช้เวลาในการเพิ่มกำลังผลิตจากสัญญา แต่ในช่วงรอยต่อของการเข้าไปบริหารกิจการเดือนเมษายน 2565 จะเหลืออยู่ที่ราว 420-425 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จากสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) กำหนดไว้ที่ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
โดยทางด้าน ปตท.สผ.มีการคาดการณ์ว่าจะใช้เวลา 2 ปี เพื่อทำให้แหล่งเอราวัณจะกลับมาผลิตก๊าซฯ ได้ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันตามสัญญา PSC ทำให้ต้องนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจีเพิ่มมากขึ้น และอาจกระทบกับต้นทุนการผลิตไฟฟ้า ที่เบื้องต้นที่คาดการณ์ว่าเมื่อราคาเชื้อเพลิงถูกลงก็จะต้องปรับค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) ตามไปด้วยดังกล่าวข้างต้น
อย่างไรก็ตาม อนาคตจะมีการตั้งกองทุนที่มีลักษณะเช่นเดียวกันบัญชี Take or Pay โดยมองในระยะยาวว่าราคาเชื้อเพลิงอาจจะผันผวน มีความไม่แน่นอน มาช่วยอุดหนุนและใช้ในระยะยาว เพื่อพยุงราคาให้ลดลงได้ในระดับหนึ่ง ช่วยค่าครองชีพประชาชน
“ปีนี้ค่าเชื้อเพลิงสูง ราคาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมากตามภาวะราคาน้ำมันดิบตลาดโลก อีกทั้งความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างรัสเซียและยูเครนกดดันให้อุปทานน้ำมันและก๊าซธรรมชาติตึงตัวมากขึ้น และเมื่อราคาน้ำมันขึ้นก็ไปลิ้งค์กับราคาแก๊สเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้เห็นราคา LNG spot เพิ่มขึ้น เป็นช่วงขาขึ้น บวกกับช่วงก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่ลดลงช่วงปลายสัมปทาน ก็มีผลต่อราคาค่าไฟ ที่จำเป็นต้องเพิ่มขึ้นแบบขั้นบันได
เบื้องต้นคาดการณ์ไว้ว่าปีนี้ อัตราค่าเอฟทีจะขึ้น 16 สตางค์ต่องวดเอฟที อาจจะหมายความว่าประชาชนอาจจะต้องรับภาระค่าไฟทั้งปี ซึ่งช่วงเดือน มี.ค. 2565 กกพ.จะออกประกาศงวดใหม่อีกครั้ง เราจะพยายามทำให้ค่าไฟมีเสถียรภาพมากที่สุด” นาย
คมกฤชกล่าว
อย่างไรก็ดี ในวันพรุ่งนี้ (7 กุมภาพันธ์) จะมีการแถลงข่าว ชี้แจงสถานการณ์พลังงานโดย นาย
กุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงานที่ศูนย์เอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ อาคารบี กระทรวงพลังงาน
JJNY : 4in1 เศรษฐีต่างชาติร้องเก็บภาษี│จับตาราคาพลังงาน-ก๊าซ│ทูตนอกแถวนิยาม“เป็นกลาง”│‘เลขาฯพท.’ ยันไร้ปัญหา‘ก้าวไกล’
https://brandinside.asia/102-patriotic-millionaires-call-to-pay-fair-tax/
เหล่ามหาเศรษฐีต่างชาติจำนวน 102 คนเรียกร้องรัฐบาลให้เรียกเก็บภาษีตัวเองเดี๋ยวนี้! (tax us now) เพราะอยากจะช่วยให้โลกน่าอยู่ขึ้นบ้าง ชื่อเรียกของเหล่าเศรษฐีคือ “Patriotic Millionaires” หรือเศรษฐีรักชาติ ทำไมจู่ๆ เหล่าเศรษฐีก็เกิดจะรักชาติ รักโลกขึ้นมา เกิดอะไรขึ้น??
อยู่ๆ เหล่าบรรดาเศรษฐีรักชาติก็รวมตัวกันและเรียกร้องให้รัฐบาลทั่วโลกเรียกเก็บภาษีพวกเขา เพื่อจะเข้ามาร่วมแก้ปัญหาทั้งการจัดการโรคระบาดและปัญหาความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนกับคนรวยที่นับวันปัญหาจะยิ่งรุนแรงขึ้น หนึ่งในบรรดาเศรษฐีมีทายาทดิสนีย์อยู่ด้วย Abigail Disney ระบุว่า ระบบภาษีในปัจจุบันมันเอื้อโอกาสให้เหล่าคนรวย ควรจะมีการแก้ระบบเรียกเก็บภาษีใหม่ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้คนที่ทำงานอย่างหนัก รวมทั้งฟื้นคืนความเชื่อมั่นต่อการเมืองด้วย
คำแถลงของเหล่าเศรษฐีระบุว่า เหล่าบรรดาเศรษฐีต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาด้วย ระบบภาษีในปัจจุบันไม่เป็นธรรม ในขณะที่โลกได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโรคระบาดในช่วงสองปีที่ผ่านมา แต่คนรวยกลับรวยขึ้น แถลงดังกล่าวระบุว่า ทุกประเทศในโลกควรเรียกเก็บภาษีคนรวยให้จ่ายอย่างเป็นธรรมมากขึ้น ควรจะมีการเก็บภาษีความมั่งคั่งนี้ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำอย่างสุดขั้วและเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืนมากขึ้น ในระยะยาวก็ควรเพิ่มบริการสาธารณะให้มากขึ้นด้วย เช่น ด้านสาธารณสุข เป็นต้น
พวกคนรวยทั้งหลายเหล่านี้ระบุว่า ควรจะมีการเรียกเก็บภาษีมากขึ้น เพื่อทำให้คน 2.3 พันล้านคนที่กำลังทุกข์ยากอยู่นี้พ้นจากความยากจนเสียที เพื่อผลิตวัคซีนให้มากเพียงพอต่อคนทั้งโลกและเพื่อส่งต่อสาธารณสุขที่ดีไปทั่วโลก โดยมองว่า คนรวยที่มีสินทรัพย์ในครอบครองมากกว่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐควรจะจ่ายภาษีเพิ่มขึ้นจาก 2% เป็น3% ส่วนคนที่รวยมากกว่า 50 ล้านเหรียญสหรัฐควรจ่ายภาษี 5% มีการประเมินว่า หากเรียกเก็บภาษีกับคนที่ร่ำรวยที่สุดในอังกฤษจำนวน 119,000 คน จะได้เงินราว 4.37 หมื่นล้านปอนด์
เหล่าคนรวยรักชาติมองว่า การเรียกเก็บภาษีให้เป็นธรรมมากขึ้นนี้ จะช่วยให้มีการจ่ายเงินเพื่อระบบดูแลสุขภาพมากขึ้น ทำให้ไม่ต้องเรียกเก็บค่าประกันในหมู่คนทำงานเพิ่ม นอกจากนี้ เม็ดเงินดังกล่าวยังครอบคลุมเงินเดือนสำหรับการเพิ่มพยาบาลได้อีกราว 50,000 คน ช่วยนำภาษีเหล่านี้มาจ่ายค่าใช้จ่าย Universal Credit เพิ่มขึ้นได้ (Universal Credit คือการจ่ายเงินเพื่อค่าครองชีพในปัจจุบัน ที่ต้องจ่ายทุกเดือนหรือจ่ายเดือนละสองครั้งสำหรับในสก็อตแลนด์ เป็นเงินที่มอบให้กับคนที่รายได้น้อยหรือคนที่ว่างงานหรือคนที่ไม่สามารถทำงานได้) และเงินดังกล่าวยังช่วยจัดหาบ้านให้ผู้คนได้ราว 35,000 หลัง เป็นต้น
จากลิสต์รายชื่อเหล่าเศรษฐีรักชาติดังกล่าว พบว่า ส่วนใหญ่เป็นเศรษฐีในประเทศสหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, เยอรมนี, แคนาดา, เดนมาร์ก, ออสเตรีย, เนเธอร์แลนด์และนอร์เวย์ ไม่มีไทยหรือเศรษฐีในเอเชียไปร่วมแจมแคมเปญนี้เลย
สำหรับประเด็นคนรวยรักชาตินี้ ต้องบอกว่า เป็นเรื่องที่อยู่ในกระแส เป็นความสนใจและเป็นเทรนด์โลก ที่คนหันมาให้ความสนใจความเหลื่อมล้ำมากขึ้น แต่เรื่องที่คนรวยรักชาติต้องการให้มีการเรียกเก็บภาษีนี้ จะเป็นเพราะต้องการแสดงจุดยืนเพราะอยากแก้ไขปัญหาจริงๆ เพื่อให้รู้ว่าไม่ได้เพิกเฉยต่อปัญหาและพร้อมจะยินดีร่วมแก้ไขปัญหาด้วย หรือจะเป็นเพียงการเกาะกระแสนี้เท่านั้น หากประเมินตอนนี้อาจเร็วไป เพราะเอาเข้าจริงถ้าอ้างตามคำพูดที่ Joe Biden เคยกล่าวไว้ “ไม่มีใครปลอดภัย จนกว่าทุกคนจะปลอดภัย” ก็อาจเป็นสิ่งที่ทำให้เข้าใจได้ไม่ยาก ตราบใดที่พลเมืองทั่วโลกยังประสบปัญหาอยู่ ย่อมส่งผลกระทบต่อผู้คนที่เหลือบ้างไม่มากก็น้อย
สิ่งที่รัฐบาลของประเทศต่างๆ ที่เหล่าเศรษฐีใช้ชีวิตอยู่ทำได้ คือการเรียกเก็บภาษีตามที่เหล่าเศรษฐีเรียกร้อง เพื่อเป็นตัวอย่างว่าลงมือทำจริง แม้จะมีเศรษฐีอีกมากไม่ได้เสนอตัวที่จะทำเช่นเดียวกัน ก็อาจจะสนใจและหันมาเรียกร้องแบบเดียวกันก็เป็นได้
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ช่วงโควิดถือเป็นทั้งวิกฤตสำหรับคนจนให้จนมากขึ้นและเป็นโอกาสให้คนรวยได้รวยมากขึ้นทั้งจากภาษีลาภลอยที่พวกเขาได้รับ ทั้งจากการดำเนินนโยบายเพื่อช่วยเหลือคนทั้งประเทศ คนที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดกลับเป็นคนรวย ประเทศไทยก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีความยากจนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซ้ำแล้วซ้ำเล่าและยังเป็นประเทศเดียวในอาเซียนที่มีอัตราความยากจนเพิ่มขึ้นหลายครั้งนับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา แต่เศรษฐีไทยก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในการเรียกร้องให้เก็บภาษีเพิ่มเติม
เรามาดูกันบ้างว่า 10 อันดับแรกที่เป็นเศรษฐีไทย มีใครบ้าง มีสินทรัพย์ในครอบครองเพียงใด จะมีโอกาสบ้างไหมที่เหล่าคนรวยเศรษฐีไทยจะให้เรียกเก็บภาษีตัวเองบ้างเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในประเทศบ้าง (ตัวเลขจาก Forbes 7 กรกฎาคม 2021)
1. ธนินท์ เจียรวนนท์ ครอบครองทรัพย์สินทรัพย์มูลค่า 3.02 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (9.95 แสนล้านบาท)
2. เจริญ อยู่วิทยา ครอบครองทรัพย์สินทรัพย์มูลค่า 2.45 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
3. เจริญ สิริวัฒนภักดี ครอบครองทรัพย์สินทรัพย์มูลค่า 1.27 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
4. ครอบครัวจิราธิวัฒน์ ครอบครองทรัพย์สินทรัพย์มูลค่า 1.16 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
5. สารัชถ์ รัตนาวะดี ครอบครองทรัพย์สินทรัพย์มูลค่า 8.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ
6. ครอบครัวโอสถานุเคราะห์ ครอบครองทรัพย์สินทรัพย์มูลค่า 3.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ
7. สมโภชน์ อาหุนัย ครอบครองทรัพย์สินทรัพย์มูลค่า 3.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ
8. ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ครอบครองทรัพย์สินทรัพย์มูลค่า 3.25 พันล้านเหรียญสหรัฐ
9. ประจักษ์ ตั้งคารวคุณ ครอบครองทรัพย์สินทรัพย์มูลค่า 3.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ
10. ชูชาติ เพ็ชรอำไพและดาวนภา เพชรอำไพ ครอบครองทรัพย์สินทรัพย์มูลค่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ค่าไฟอ่วม กกพ.จับตาราคาพลังงาน-ก๊าซธรรมชาติรอยต่อแหล่งเอราวัณแพง
https://www.prachachat.net/economy/news-859005
กกพ.จับตาสถานการณ์พลังงานขาขึ้น ความตึงเครียดรัสเซีย ยูเครน กดดันราคาน้ำมันดิบ ช่วงรอยต่อสัมปทานก๊าซอ่าวไทย คาดทำคนไทยอ่วมค่าไฟทั้งปี ชี้จำเป็นต้องทยอยปรับอัตราเอฟทีขึ้นแบบขั้นบันได เล็งตั้งกองทุนแก้ปัญหาระยะยาว ช่วยพยุง ด้าน ปลัด “กุลิศ” เตรียมแถลงชี้แจงสถานการณ์พลังงาน 7 ก.พ.นี้
วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2565 นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) กล่าวว่า ยอมรับว่าสถานการณ์พลังงานปีนี้ 2565 ต้นทุนพลังงานปรับขึ้นทุกชนิด ประกอบกับปัจจัยภายนอกความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างรัสเซียและยูเครนกดดันให้อุปทานน้ำมันและก๊าซธรรมชาติตึงตัวมากขึ้น
โดยเฉพาะสถานการณ์ราคาก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG ) ขณะนี้มีการปรับราคาขึ้นไปสูงสุดในรอบหลายปี อีกทั้งเป็นผลมาจากไตรมาส 4 ของทุกปีจะเป็นช่วงที่มีความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติปริมาณสูงสุดเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับฤดูหนาว ซึ่งผู้ใช้ก๊าซก็จะทำการซื้อเก็บสต๊อก มีการปั่นราคา LNG ในตลาดโลก ส่งผลทำให้ราคา LNG สูงขึ้นไปเป็นประวัติการณ์ 3-4 เท่าจากราคาตามปกติ
นอกจากนี้ยังเป็นช่วงรอยต่อแหล่งก๊าซอ่าวไทยที่มีการเปลี่ยนสัมปทาน และภาวะเงินบาทอ่อนค่า ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงกับการนำเข้าสินค้า ทำให้ผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตให้นำเข้า LNG (LNG shipper) ชะลอการนำเข้าก๊าซ LNG ในช่วงที่มีราคาสูงขึ้น แม้จะได้อนุญาต Shipper หลายราย ก็ยังไม่สามารถนำเข้ามาได้ทั้งหมด
ส่งผลให้มีการประเมินทิศทางราคาค่าไฟปีนี้ ซึ่งจำเป็นต้องปรับขึ้นซึ่งประเมินว่าค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) จะมีการปรับขึ้นเป็นแบบขั้นบันได ตามหลักการ ซึ่งจะเบื้องต้นคาดการณ์ไว้ว่าปีนี้ อัตราค่าเอฟทีจะปรับขึ้นที่ 16 สตางค์ต่องวดเอฟที ระยะ 3 งวดทั้งปี ที่เหลืออีก 2 งวด คือ งวดเดือน พ.ค.-ส.ค. และงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.ในปีนี้ ทั้งนี้ ยังต้องมีการหารือและผ่านการพิจารณาจากมติคณะกรรมการกิจการพลังงาน (กกพ.) ซึ่งมีนาคมจะมีการหารืองวดถัดไป
อย่างไรก็ดี ประเทศไทยไม่ได้มีโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงเพียงประเภทเดียว ยังมีเชื้อเพลิงประเภทอื่น ๆ อีกที่สามารถทดแทนได้ เพื่อนำมาเฉลี่ยให้สมดุลกัน มีทั้งอยู่ระหว่างแผนซื้อโรงไฟฟ้าเก่าที่มีอยู่แล้ว อาจจะขอซื้อเลยทันที อาทิ โรงไฟฟ้าชีวมวล (น้ำตาล) หรือใช้โรงไฟฟ้าพลังน้ำ นโยบายพลังงานทดแทนเพิ่มเข้ามา อีกส่วนหนึ่งคือการดึงเอาก๊าซฯ จากอ่าวไทยขึ้นมาใช้ประโยชน์ของผู้ได้รับสัมปทาน อีกทั้ง ราคาเชื้อเพลิงดังกล่าวก็จะอิงกับราคาน้ำมันด้วยเช่นกัน เมื่อน้ำมันมีราคาสูง ราคาก๊าซก็สูงขึ้นด้วย
ปัจจุบันส่วนของสัมปทานแหล่งก๊าซฯเอราวัณเดิมที่สามารถผลิตก๊าซฯ ได้เฉลี่ย 1,000 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ที่มีปริมาณลดลง โดยบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ ปตท.สผ. เป็นผู้รับสัมปทานรายใหม่จะต้องใช้เวลาในการเพิ่มกำลังผลิตจากสัญญา แต่ในช่วงรอยต่อของการเข้าไปบริหารกิจการเดือนเมษายน 2565 จะเหลืออยู่ที่ราว 420-425 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน จากสัญญาแบ่งปันผลผลิต (PSC) กำหนดไว้ที่ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน
โดยทางด้าน ปตท.สผ.มีการคาดการณ์ว่าจะใช้เวลา 2 ปี เพื่อทำให้แหล่งเอราวัณจะกลับมาผลิตก๊าซฯ ได้ 800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันตามสัญญา PSC ทำให้ต้องนำเข้าก๊าซแอลเอ็นจีเพิ่มมากขึ้น และอาจกระทบกับต้นทุนการผลิตไฟฟ้า ที่เบื้องต้นที่คาดการณ์ว่าเมื่อราคาเชื้อเพลิงถูกลงก็จะต้องปรับค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) ตามไปด้วยดังกล่าวข้างต้น
อย่างไรก็ตาม อนาคตจะมีการตั้งกองทุนที่มีลักษณะเช่นเดียวกันบัญชี Take or Pay โดยมองในระยะยาวว่าราคาเชื้อเพลิงอาจจะผันผวน มีความไม่แน่นอน มาช่วยอุดหนุนและใช้ในระยะยาว เพื่อพยุงราคาให้ลดลงได้ในระดับหนึ่ง ช่วยค่าครองชีพประชาชน
“ปีนี้ค่าเชื้อเพลิงสูง ราคาก๊าซธรรมชาติ ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตไฟฟ้าปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมากตามภาวะราคาน้ำมันดิบตลาดโลก อีกทั้งความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างรัสเซียและยูเครนกดดันให้อุปทานน้ำมันและก๊าซธรรมชาติตึงตัวมากขึ้น และเมื่อราคาน้ำมันขึ้นก็ไปลิ้งค์กับราคาแก๊สเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้เห็นราคา LNG spot เพิ่มขึ้น เป็นช่วงขาขึ้น บวกกับช่วงก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยที่ลดลงช่วงปลายสัมปทาน ก็มีผลต่อราคาค่าไฟ ที่จำเป็นต้องเพิ่มขึ้นแบบขั้นบันได
เบื้องต้นคาดการณ์ไว้ว่าปีนี้ อัตราค่าเอฟทีจะขึ้น 16 สตางค์ต่องวดเอฟที อาจจะหมายความว่าประชาชนอาจจะต้องรับภาระค่าไฟทั้งปี ซึ่งช่วงเดือน มี.ค. 2565 กกพ.จะออกประกาศงวดใหม่อีกครั้ง เราจะพยายามทำให้ค่าไฟมีเสถียรภาพมากที่สุด” นายคมกฤชกล่าว
อย่างไรก็ดี ในวันพรุ่งนี้ (7 กุมภาพันธ์) จะมีการแถลงข่าว ชี้แจงสถานการณ์พลังงานโดย นายกุลิศ สมบัติศิริ ปลัดกระทรวงพลังงานที่ศูนย์เอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ อาคารบี กระทรวงพลังงาน