หรือว่าอรรกถาจารย์ท่านสับขาหลอกเพื่อทดสอบความนิ่มของปัญญาพุทธสาวกหรือไม่
เพราะดูเนื่อความมันขัดแย้งกันเองอย่างเห็นได้ชัด...
บทว่า สมฺมตฺตนิยามํ โอกฺกมติ ย่อมหยั่งลงสู่สัมมัตตนิยาม คือย่อมหยั่งลงในขณะแห่งมรรค ก็ชื่อว่าหยั่งลงในขณะแห่งผลด้วย ในปริยายแห่งการหยั่งลงในนิยามทั้งหมดก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า อาโรคยํ คือ ความไม่มีโรค.
บทว่า วิสลฺลํ คือ ปราศจากลูกศร.
ในบทเช่นนี้ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า อนาพาธํ คือ ปราศจากอาพาธ หรือเป็นปฏิปักษ์ต่ออาพาธ.
ในบทเช่นนี้ก็นัยนี้.
บทว่า อปรปจฺจยํ คือ ปราศจากปัจจัยอื่น. อาจารย์บางพวกกล่าวประกอบกันว่า อุปสฺสคฺคโตติ จ อนุปสฺสคฺคนฺติ จ เห็นขันธ์ ๕ โดยมีอุปสรรคและนิพพานไม่มีอุปสรรค.
**********บทว่า ปรมสุญฺญํ สูญอย่างยิ่ง ชื่อว่าสูญอย่างยิ่ง เพราะสูญจากสังขารทั้งหมด และเพราะสูญอย่างสูงสุด.
บทว่า ปรมตฺถํ มีประโยชน์อย่างสูงสุด เพราะเป็นของเลิศกว่าสังขตะและอสังขตะ เป็นนปุงสกลิงค์เพราะลิงควิปลาส.
ท่านไม่กล่าวปริยายโดยอนุโลมในสองบทนี้ เพราะนิพพานเป็นของสูญและเพราะเป็นอนัตตา. ******
บทว่า อนาสวํ คือ ปราศจากอาสวะ.
บทว่า นิรามิสํ คือ ปราศจากอามิส.
บทว่า อชาตํ คือ ไม่เกิดเพราะปราศจากความเกิด.
บทว่า อมตํ คือ ปราศจากความตายเพราะไม่ดับ.
จริงอยู่ แม้ความตายท่านก็กล่าวว่า มตํ เพราะเป็นนปุงสกลิงค์.
จากนิพพาน สูญอย่างยิ่ง จะกลายเป็นนิพพานสาปสูญ สูญสิ้นเลยหรือไม่?
เพราะดูเนื่อความมันขัดแย้งกันเองอย่างเห็นได้ชัด...
บทว่า สมฺมตฺตนิยามํ โอกฺกมติ ย่อมหยั่งลงสู่สัมมัตตนิยาม คือย่อมหยั่งลงในขณะแห่งมรรค ก็ชื่อว่าหยั่งลงในขณะแห่งผลด้วย ในปริยายแห่งการหยั่งลงในนิยามทั้งหมดก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า อาโรคยํ คือ ความไม่มีโรค.
บทว่า วิสลฺลํ คือ ปราศจากลูกศร.
ในบทเช่นนี้ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า อนาพาธํ คือ ปราศจากอาพาธ หรือเป็นปฏิปักษ์ต่ออาพาธ.
ในบทเช่นนี้ก็นัยนี้.
บทว่า อปรปจฺจยํ คือ ปราศจากปัจจัยอื่น. อาจารย์บางพวกกล่าวประกอบกันว่า อุปสฺสคฺคโตติ จ อนุปสฺสคฺคนฺติ จ เห็นขันธ์ ๕ โดยมีอุปสรรคและนิพพานไม่มีอุปสรรค.
**********บทว่า ปรมสุญฺญํ สูญอย่างยิ่ง ชื่อว่าสูญอย่างยิ่ง เพราะสูญจากสังขารทั้งหมด และเพราะสูญอย่างสูงสุด.
บทว่า ปรมตฺถํ มีประโยชน์อย่างสูงสุด เพราะเป็นของเลิศกว่าสังขตะและอสังขตะ เป็นนปุงสกลิงค์เพราะลิงควิปลาส.
ท่านไม่กล่าวปริยายโดยอนุโลมในสองบทนี้ เพราะนิพพานเป็นของสูญและเพราะเป็นอนัตตา. ******
บทว่า อนาสวํ คือ ปราศจากอาสวะ.
บทว่า นิรามิสํ คือ ปราศจากอามิส.
บทว่า อชาตํ คือ ไม่เกิดเพราะปราศจากความเกิด.
บทว่า อมตํ คือ ปราศจากความตายเพราะไม่ดับ.
จริงอยู่ แม้ความตายท่านก็กล่าวว่า มตํ เพราะเป็นนปุงสกลิงค์.