[BR] รถยนต์มือสองราคาไม่เกิน 300,000 บาท ที่น่าเป็นเจ้าของในปีนี้

กระทู้ผู้สนับสนุน
.
          เป็นประเด็นให้ถกเถียงกันบ่อยๆ ว่าระหว่างการซื้อรถยนต์มือสองกับซื้อรถยนต์ใหม่ แล้วจัดไฟแนนซ์เหมือนกัน อันไหนคุ้มกว่า หากตอบแบบกำปั้นทุบดิน โดยไม่คิดถึงปัจจัยแวดล้อม ก็ตอบได้ทันทีเลยว่ารถใหม่ครับ เพราะหลายที่เขามีโปรโมชั่น ดอกเบี้ย 0% ให้เห็นกันบ่อยๆ แต่!!! การซื้อรถใหม่ก็เท่ากับว่าคุณต้องพร้อมในการแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการผ่อนระยะยาวนานมากกว่า และค่าตัวของรถคันนั้นๆ ก็แพงกว่าอีกเท่าตัวหรือเกือบเท่าตัวนั่นเอง

          ฉะนั้นการซื้อรถยนต์มือสอง สภาพใหม่ชนิดที่เรียกว่านางฟ้า ดังเช่นบทความก่อนหน้านี้ที่เราเคยนำเสนอจึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด เมื่อปัจจัยหลายด้านและเงินสดเราไม่ได้พร้อมมากขนาดนั้น การเลือกธนาคารหรือบริษัทการเงินที่เราจะจัดไฟแนนซ์จึงเป็นสิ่งสำคัญอีกอย่างที่เราต้องศึกษาหาข้อมูลก่อนตัดสินใจ

          ในบทความนี้เราจะขอผ่านเรื่องสิ่งที่ควรรู้และวิธีดูรถมือสองสภาพใหม่ ไม่โดนย้อมแมว เพราะ Cars24 ของเราก็มีเรื่องเหล่านี้นำเสนอกันไปพอสมควรแล้ว คราวนี้เลยขอวาร์ปไปแนะนำรถยนต์มือสอง สวย สภาพนางฟ้า ราคาไม่เกิน 300,000 บาท ที่น่าสนใจในช่วงนี้กันครับ

          ถ้าหากคุณต้องการซื้อรถมือสองด้วยเงินสด ต้องบอกเลยว่าคุณตัดสินใจได้ดีเยี่ยม เพราะนอกจากราคารถยนต์จะถูกกว่ารถใหม่เกือบเท่าตัวแล้ว ปีและรุ่นอาจจะไม่ห่างกันมาก รถใหม่บางรุ่นอาจเป็นแค่โฉมไมเนอร์เชนจ์หรือเพิ่มบางออฟชั่นมาเท่านั้นเอง

          เอ้า...เข้าเรื่อง มาๆ ล้อมวงกันเข้ามา เพราะเราจะแนะนำรถยนต์มือสอง 5 รุ่นนี้ ที่น่าสนใจสุดๆ เพราะราคาเบาๆ แต่มาพร้อมออฟชั่นมากมาย และต้องบอกเลยว่าทั้ง 5 รุ่นนี้ไม่ได้ตกรุ่นอะไรมาก อาจเป็นเพราะสถานการณ์โควิดด้วย ที่ทำให้รถใหม่ๆ ในช่วงนี้ ส่วนมากจะเป็นไมเนอร์เชนจ์หรือไม่ก็เพิ่มบางฟังชั่นใหม่ๆ เข้าไป ส่วนกระแสโลกจริงๆ แล้ววงการรถยนต์เขากำลังตื่นตัวเรื่องรถยนต์พลังงานไฟฟ้ากันมากกว่า รถใหม่ๆ ก็เลยกลายเป็นไฮบริด หรือรถไฟฟ้ากันเสียส่วนใหญ่นั่นเอง


5 รุ่น รถยนต์มือสองราคาไม่เกิน 300,000 บาท

Nissan Almera (2018)
          สุดยอดรถอีโค คาร์ที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามพร้อมรุ่นย่อยที่มีให้เลือกถึง 3 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ Nissan Almera รุ่น 1.2 E Sportech , Nissan Almera รุ่น 1.2 V Sportech และ Nissan Almera รุ่น 1.2VL Sportech พร้อมขุมพลังเครื่องยนต์ HR12DE แบบ 3 สูบแถวเรียง DOHC 12V CVTC ขนาด 1.2 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุดได้มากถึง 79 แรงม้า

          ให้การปกป้องผู้โดยสารในทุกเส้นทางผ่านระบบโครงสร้างเพื่อความปลอดภัย Zone Body Concept รวมถึงกล้องมองภาพขณะถอยหลังพร้อมเซ็นเซอร์กะระยะถอยหลัง 3 จุด เสริมด้วยฟังก์ชั่นอำนวยความสะดวกสุดครบครัน อาทิ จอภาพระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนผ่านแอพลิเคชั่น Apple Carplay รวมถึงระบบนำทาง Navigation System

          การตกแต่งภายนอกให้ความรู้สึกสปอร์ต ล้ำสมัยในสไตล์รถอีโค คาร์ 4 ประตูให้ความคล่องตัวอย่างดีเยี่ยม ผสานกับการติดตั้งกระจังหน้าแบบโครเมี่ยมรมดำ ไฟหน้าแบบฮาโลเจนตกแต่งภายในด้วยสีโครเมี่ยมรมดำพร้อมติดตั้งไฟเลี้ยวด้านข้าง เสริมด้วยการติดตั้งกันชนหน้าแบบสปอร์ต รวมถึงช่องระบายอากาศขนาดใหญ่เหนือกันชนหน้า

          ติดตั้งไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ในเวลากลางวัน (Daytime Running Lights) ที่ปัดน้ำฝนด้านหน้าแบบหน่วงเวลา และ มือจับประตูด้านนอกแบบโครเมี่ยม เพิ่มความสปอร์ตโฉบเฉี่ยวด้วยกระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถสามารถปรับและพับได้ด้วยไฟฟ้า สร้างความโดดเด่นมากยิ่งขึ้นด้วยสเกิร์ตด้านข้าง และ ด้านหลังดีไซน์พิเศษให้ความโฉบเฉี่ยวได้อย่างลงตัว

          ล้ออัลลอยรมดำดีไซน์พิเศษขนาด 15 นิ้ว 185/65 R15 สำหรับมิติตัวรถ Nissan Almera Sportech มีความกว้าง 1,500 มิลลิเมตร ความสูง 2,600 มิลลิเมตร ความยาว 1,695 มิลลิเมตร น้ำหนักรถโดยรวม 1,046 กิโลกรัม โดยมีความจุห้องสัมภาระด้านท้ายอยู่ที่ 490 ลิตร

          พวงมาลัยหุ้มหนังปรับระดับสูง-ต่ำได้พร้อมตกแต่งด้วยแถบสีเงิน เสริมด้วยหัวเกียร์แบบยูรีเทน เพิ่มความสะดวกด้วยกระจกไฟฟ้ารอบคันพร้อมระบบป้องกันการหนีบด้านคนขับ และ ระบบเซ็นทรัลล็อค อีกทั้งยังได้รับการติดตั้งระบบกุญแจอัจฉริยะ Intelligent Key พร้อมระบบ Immobilizer , Panic Alarm รวมไปถึงปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์อัตโนมัติ Push Start

          มาตรวัดอัจฉริยะแบบสี MID และ นาฬิกาดิจิตอลบนหน้าปัด พร้อมเสียงสัญญาณเตือนลืมปิดไฟหน้า และ ระบบเตือนลืมกุญแจ เสริมด้วยที่บังแดดด้านหน้ารถพร้อมกระจกแต่งหน้าและที่เสียบการ์ดด้านคนขับ อีกทั้งยังได้รับการติดตั้งไฟห้องโดยสาร และ ไฟอ่านแผนที่ด้านท้าย รวมไปถึงระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติพร้อมตกแต่งวัสดุสีดำเปียโนแบล็ค

          เต็มอิ่มความบันเทิงผ่านระบบอินโฟเทนเมนท์บนจอภาพระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ให้เสียงกระหึ่มผ่านลำโพงกว่า 4 ตำแหน่ง พร้อมช่องเชื่อมต่อ USB และ AUX เชื่อมต่อข้อมูลไร้สายผ่านสัญญาณบลูทูธ อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนรองรับ Apple Carplay พร้อมระบบควบคุมเครื่องเสียงที่พวงมาลัย รวมถึงระบบนำทาง Navigation System ผ่านแอพลิเคชั่นสมาร์ทโฟน

          ขุมพลังเครื่องยนต์ HR12DE แบบ 3 สูบแถวเรียง DOHC 12V CVTC ขนาด 1.2 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 79 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 106 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที มีคุณสมบัติช่วยลดแรงเสียดทานน้ำหนักเบา อัตราเร่งดีให้แรงบิดสูงในรอบเครื่องยนต์ต่ำอีกทั้งยังประหยัดน้ำมัน โดยมีความจุถังเชื้อเพลิง 41 ลิตร ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์แปรผันอัจฉริยะ Xtronic CVT เครื่องยนต์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมลดปริมาณการปล่อยไอเสีย (CO2) ไม่เกิน 120 กรัม/กิโลเมตร เทียบเท่าระดับมาตรฐาน Euro4 ส่วนระบบเกียร์แปรผันอัจฉริยะ Xtronic CVT พร้อมระบบเกียร์ Sub-Planetary ช่วยให้ผู้ขับขี่ขับเคลื่อนรถได้อย่างนุ่มนวลโดยไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนเกียร์ เพิ่มอัตราการทดเกียร์ที่กว้างกว่าจึงให้แรงบิดสูงในช่วงต้นตอบสนองไวให้อัตราเร่งดีอีกทั้งยังมีความแม่นยำสูงอีกด้วย

          ติดตั้งระบบ Idling Stop ที่ถือเป็นเทคโนโลยีช่วยในการประหยัดน้ำมันและลดการปล่อยไอเสีย โดยระบบจะทำการตัดการทำงานของเครื่องยนต์โดยอัตโนมัติเมื่อรถอยู่ในสภาพจอดสนิท ทั้งนี้คอมเพรสเซอร์แอร์จะหยุดการทำงานลงแต่ระบบไฟฟ้าส่วนอื่นของรถยังคงทำงานอยู่ตามปกติและจะสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่เมื่อต้องการขับเคลื่อนต่อไป หรือ เมื่อรถจอดนิ่งสนิทเกินระยะเวลา 3 นาที

          ทางด้านระบบความปลอดภัย ปกป้องอย่างเต็มที่ด้วยถุงลมนิรภัยแบบ SRS คู่หน้า พร้อมด้วยเข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบ ELR 3 จุด และ เข็มขัดนิรภัยที่นั่งด้านหลังแบบ ELR 3 จุด 2 ตำแหน่ง และ 2 จุด 1 ตำแหน่ง พร้อมระบบเบรคป้องกันล้อล็อคแบบ ABS ที่ทำงานผสานกับระบบกระจายแรงเบรคแบบ EBD รวมไปถึงระบบเสริมแรงเบรคแบบ BA และ ไฟเบรคดวงที่ 3 แบบ LED ดิสก์เบรกด้านหน้าแบบมีครีบระบายความร้อน และ ในด้านหลังติดตั้งดรัมเบรก เสริมด้วยระบบพวงมาลัยแร็ค แอนด์ พิเนียน พร้อมระบบพาวเวอร์ควบคุมด้วยไฟฟ้า EPS


Suzuki Ciaz (2018)
          ยกระดับของความเป็นอีโคคาร์กับดีไซน์ภายนอกสุดพิเศษ มอบอารมณ์ความหรูหราพรีเมี่ยมได้เหนือกว่า ไฟหน้าเป็นแบบโปรเจคเตอร์พร้อมไฟเลี้ยวภายในโคมสวยไม่แพ้รถที่คลาสราคาสูงกว่า การใช้วัสดุที่เป็นโครเมี่ยมเพื่อตกแต่งในหลายจุด ทั้งส่วนของกระจังหน้า, คิ้วขอบประตู มือเปิดประตูและคิ้วฝากระโปรงหลัง  เส้นสายด้านข้างถูกขีดไว้อย่างลงตัวเพื่อเพิ่มมิติให้กับตัวรถ ไฟท้ายดูเข้ากันดีกับคิ้วฝาท้ายและสปอยเลอร์หลังที่จะมีมาให้ในรุ่น RS เช่นเดียวกับสเกิร์ตรอบคันและล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว ที่เพิ่มความโฉบเฉี่ยวได้ไม่น้อยให้กับ Suzuki Ciaz  

          จุดเด่นในส่วนของภายในของ Suzuki Ciaz 2018 ระบบ Keyless และ Push start, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ และช่องแอร์ด้านหลัง, พร้อมระบบกรองอากาศ, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนัง, เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังแท้และหนังสังเคราะห์, เครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว เครื่องเล่นวิทยุ CD MP3 รองรับ Bluetooth, SD Card, รองรับการเชื่อมต่อ Suzuki Smart Connect, Apple CarPlay และ Mirror Link, ลำโพง 6 จุด, ระบบนำทาง

          ขนาดเครื่องยนต์มากกว่ารุ่นอื่นเล็กน้อยกับเครื่องยนต์เบนซินรหัส K12B ขนาด 1.25L แบบ 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมการทำงานของระบบวาล์วแปรผันทั้งไอดีและไอเสีย VVT ให้กำลังสูงสุดอยู่ที่ 91 แรงม้าและแรงบิดอยู่ที่ 118 Nm  ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT และในรุ่นเกียร์ธรรมดาจะเป็นเกียร์ธรรมดา 5 Speed ระบบเบรกด้านหน้าเป็นดิสก์เบรกพร้อมช่องระบายความร้อน ส่วนด้านหลังเป็นแบบดรัมเบรก

          ระบบความปลอดภัยเริ่มแรกที่ความมั่นใจด้วยโครงสร้างนิรภัยเหล็กกล้า TECH คานเหล็กกันกระแทกด้านข้างก็มีมาให้ด้วย ถุงลมนิรภัยมีมาให้ที่คู่หน้า พร้อมด้วยระบบช่วยในการขับขี่ต่าง ๆ มากมายทั้ง ABS, EBD มีมาให้ครบตามมาตรฐานที่รถอีโคคาร์เนื้อดีสักคันควรมี


Mitsubishi Attrage (2018)
          อีโคคาร์ ที่ตั้งใจผลิตออกมาเพื่อมอบความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งานที่ต้องความคล่องตัว เพราะเป็นรถยนต์ที่มีความเล็กกะทัดรัดเพื่อตอบโจทย์และเหมาะกับการขับขี่ในเมือง และสามารถตอบสนองในการใช้งานสำหรับครอบครัวได้เช่นกัน

          ไฟหน้ามัลติรีเฟลกเตอร์ แบบฮาโลเจน, ชุดไฟตกแต่งแบบ LED บริเวณกันชนหน้า, กระจังหน้าตกแต่ง แบบโคเมี่ยมรมดำ (เฉพาะรุ่น GLS-LTD), ไฟท้ายและกันชนหลังดีไซน์ใหม่ ใส่ความเป็นสปอร์ตเข้าไปอีกนิดด้วยล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว สีเงินรมดำ (เฉพาะรุ่น GLS-LTD)

          ภายในห้องโดยสารลงตัวหรูหราทุกมุมมองไม่แพ้ภายนอกเช่นกัน ด้วยดีไซน์แบบ Piano Black ดูกว้างขวางกว่าที่คิด ไม่ได้รู้สึกอึดอัดและคับแคบจนเกินไป สามารถพาครอบครัวไปเที่ยวได้อย่างสบาย เบาะทำมาจากเบาะหนังและวัสดุสังเคราะห์สีดำและยังตกแต่งด้วยด้ายสีแดง (เฉพาะรุ่น GLS-LTD), พนักพิงศีรษะหลังมีทั้งหมด 3 ตำแหน่ง และยังสามารถปรับระดับสูงต่ำได้,  หัวเกียร์หุ้มหนัง (เฉพาะรุ่น GLS-LTD), พวงมาลัยหุ้มหนังและตกแต่งวัสดุแบบเปียโนแบล็ค (เฉพาะรุ่น GLS-LTD, GLS), ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ  (เฉพาะรุ่น GLS-LTD, GLS), มาตรวัดการขับขี่แบบ Semi-High Contrast  ส่วนพื้นที่เก็บสัมภาระหลังรถสามารถเก็บสัมภาระได้มากถึง 450 ลิตร

          ระบบความบันเทิงมากมายไม่ว่าจะเป็น เครื่องเล่น DVD / MP3 ระบบเครื่องเสียง 2 DIN ที่มาพร้อมกับหน้าจอระบบสัมผัสกว้างถึง 6.5 นิ้ว และระบบรองรับการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟน พร้อมรองรับ Apple CarPlay* (เฉพาะรุ่น GLS-LTD) ที่สามารถรับสายโทรเข้า-โทรออก และรับ-ส่งข้อความ พร้อมฟังเพลงได้อย่างง่ายดาย เพราะนำสวิตซ์ควบคุมเครื่องเสียงมาไว้ที่พวงมาลัย และยังสามารถควบคุมการสั่งงานด้วยเสียงและปุ่มรับสาย-วางสายโทรศัพท์ที่พวงมาลัย

          เครื่องยนต์เบนซิน DOHC MIVEC 1.2 ลิตร 78 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 100 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที และยังมาพร้อมกับ CAMSHAFT WITH ROLLER ที่เป็นตัวช่วยในการลดการเสียดทานของเครื่องยนต์ และยังมีระบบวาล์วแปรผันด้านไอดี MIVEC ที่เข้ามาช่วยให้เครื่องยนต์มีแรงบิดดีขึ้นมากในรอบต่ำ แถมประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากถึง 23.3 กิโลเมตร/ลิตร

          ระบบความปลอดภัยมากมาย  ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (ที่ความเร็วต่ำ) ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะเมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว เฉพาะด้านหน้า กล้องมองภาพหลัง ขณะถอยจอด ถุงลมนิรภัยคู่หน้า เข็มขัดนิรภัยด้านคนขับแบบดึงกลับ และผ่อนแรงอัตโนมัติแบบ 2 ทิศทาง ระบบเบรกแบบป้องกันล้อล็อก จะทำงานทันทีที่เหยียบเบรกกะทันหัน และอื่นๆ อีกเพียบ
ชื่อสินค้า:   Cars 24
คะแนน:     

BR - Business Review : กระทู้นี้เป็นกระทู้รีวิวจากผู้สนับสนุน

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่