ตอนนี้ผมมีเพจแล้วนะครับ ไปติดตามกันได้ครับ
https://www.facebook.com/Mr.CoffeeKDramaReview
รีวิวซีรีส์
เรื่องที่ 112 All of Us Are Dead 12 EP EP ละประมาณ 60 นาที / Netflix
"ทำไมเกาหลีชอบทำเรื่องซอมบี้" ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่แน่นอนว่า ความสำเร็จของ Train to Busan นั้น ย่อมทำให้เรื่องราวของซอมบี้ มีคนรอดูอยู่อย่างแน่นอน อีกทั้งเมื่อ Netflix ตัดสินใจทำ Kingdom ก็กลายเป็นซีรีส์ซอมบี้ที่ได้รับความนิยมถล่มทลายอีกเช่นกัน
การพูดถึงซอมบี้ ส่วนตัวขอแยกยุคของซอมบี้ออกมาเป็น 2 แบบนะครับ คือก่อนหนัง 28 Days Later กับหลังหนังเรื่องนี้ เพราะหลังจากเรื่องนี้ ซอมบี้ในเรื่องอื่นๆก็เปลี่ยนไปเป็นซอมบี้วิ่งเร็วเท่าคนปกติทันที แน่นอนว่าใน Train to Busan ซอมบี้ก็วิ่งเร็วแล้ว ดังนั้นหนังซอมบี้ในยุคปัจจุบัน ความมันส์จึงแตกต่างจากยุคก่อนอย่างชัดเจน
All of Us Are Dead เป็นซีรีส์ซอมบี้ที่มีต้นกำเนิดจากโรงเรียนมัธยม เรื่องราวจึงเป็นเรื่องราวของกลุ่มเพื่อนในห้องเรียนเป็นหลัก รวมทั้ง Love Line ระหว่างเพื่อนผ่านการหนีตาย เล่าไว้เท่านี้ละกันครับ
ขอชมก่อนแล้วกัน เรื่องนี้สิ่งที่ยอดเยี่ยมสุดๆ ในระดับที่ไม่เคยเห็นในซอมบี้เรื่องไหนเลยก็คือ Production ครับ ไม่ว่าจะฉาก การกำกับภาพ การแต่งหน้า effect รวมถึง "จ้างร้อยเล่นล้าน" คำนิยามสำหรับนักแสดงสมทบในเรื่องนี้ ผมบอกเลยว่าการแสดงของนักแสดงสมทบทุกคน สุดยอด!!!!
งานภาพ ดูฉากโรงอาหารฉากเดียวก็คุ้มแล้วครับ การกำกับคิวนักแสดงทำได้ยังไงให้ทุกคนรู้คิวและแสดงได้สุดๆ ขนาดนั้น การถ่ายทำที่มี Long Take อยู่หลายฉาก กำกับคิวยังไง เดินกล้องยังไง ให้มันออกมาได้สมจริงๆมากๆขนาดนี้ อย่าลืมนะครับว่านักแสดงสมทบทุกคนต้องจำคิวตัวเอง แถมยังต้องแสดงท่าทางเป็นซอมบี้ไม่ให้หลุด และเคลื่อที่ไปพร้อมแสดงไป มันคือสุดยอดความอลหม่านที่สมจริงมากจริงๆ
งาน Production เป็นองค์ประกอบหลักที่ทำให้การดูซีรีส์เรื่องนี้เพลินและสนุกได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเรื่องนี้ก็มีจุดด้อยที่ชัดเจนอยู่เหมือนกัน หนักหนาสาหัสมากๆ ด้วย นั่นคือบท
บทสำหรับเรื่องซอมบี้นั้น ปกติจะเล่นประเด็นคนที่เรารักกลายเป็นซอมบี้เป็นหัวใจหลัก รวมถึงการแสดงให้เห็นด้านมืดของคนเราเมื่อยามเห็นแก่ตัว ซึ่งเรื่องนี้ก็นำไปใช้ค่อนข้างเยอะ แต่ว่าการนำไปใช้ เหมือนยังไม่เฉียบคมพอ
ในหลายๆฉาก เราจะสงสัยกับการกระทำ การตัดสินใจของตัวละครในเรื่องนี้ลำดับของความสำคัญและจำเป็นก่อนหลัง มันผิดไปหมด เอาเป็นว่าลองดูกันล่ะกันครับ ผมดูแล้วมีคำถามว่าทำไม ยังไง คิดอะไรกัน แทบจะตลอดทั้งเรื่อง
แต่ถึงแม้จะบทไม่เข้าท่าอย่างไร เมื่อถึงฉาก Action ทั้งหนีทั้งไล่ล่าซอมบี้ ก็ทำออกมาได้ดีมากๆ ดูแล้วได้ลุ้นสนุกอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่าสำหรับคอหนังซอมบี้ ย่อมไม่ยึดติดกับการพยายามสรรหาเหตุผลใดๆ ในหนังซอมบี้อยู่แล้ว อย่าง Train to Busan กับ Kingdom นั้นถือว่ายอดเยี่ยมและสมเหตุสมผล
ต่อมา การที่ซีรีส์มี 12 EP ย่อมทำให้เกิดคำถามว่าเรื่องราวที่ยาวขนาดนี้จะเป็นอย่างไร จะเล่าอะไร จะยืดอย่างไร ปัญหานี้เคยเกิดกับ Happiness ที่เกิดความวนเวียนไปมาอยู่ที่เดิม เรื่องนี้ก็เช่นกัน แต่เรื่องนี้มีประเด็นที่แตกออกมา ที่ทำให้เรื่องไปต่อได้ ในส่วนความจำเจซ้ำซาก เรื่องนี้เหมือนจะทำได้ดีกว่า Happiness อยู่บ้าง (ส่วนตัวถ้ามอง Happiness เป็นซีรีส์ซอมบี้คือค่อนข้างอืดเลย แต่ถ้ามองเป็นเรื่องของโรคระบาดก็ถือว่าพอได้)
ประเด็นที่แตกออกมานั้นทำให้เรื่องนี้สนุกและลุ้นได้เพิ่มขึ้น ถือว่าทีมงานเอาตัวรอดมาได้ดี ดังนั้นถ้าตัดความไม่สมเหตุสมผลสารพัดอย่างออกไป ก็ถือว่าดูได้สนุกอย่างที่ควรจะเป็นของซีรีส์ซอมบี้ครับ
ในด้านของนักแสดง นักแสดงหลักทั้งหมดแทบจะเป็นนักแสดงเด็กรุ่นใหม่ ที่อายุเกินมัธยมมานิดเดียว การแสดงในส่วนดราม่าก็ถือว่าพอได้ ที่เจ๋งคือพอนักแสดงหลักกลายเป็นซอมบี้ แสดงกันได้ดีมากจริงๆครับ บอกแล้วว่าซอมบี้ทุกตัวแสดงได้ดีสุดๆ แต่หากหวังการแสดงที่จัดจ้านจากนักแสดงรุ่นนี้ ก็คงจะเป็นการหวังที่มากเกินไปสักหน่อย
ถึงตรงนี้หลายคนคงเริ่มด่าผมว่าจะเอายังไง ตกลงเรื่องนี้ดีหรือไม่ดี บอกเลยว่าสำหรับคอซอมบี้ ที่ชอบความมันส์ เรื่องนี้ตอบสนองคุณได้เต็มๆครับ แต่หากคุณเป็นคอซอมบี้ ที่ชอบเหตุผล ตรรกะ เรื่องนี้จะทำให้คุณ ดูไปด่าไป อย่างแน่นอน คำว่า "อิหยังว่ะ" จะหลุดออกมาจากปากของคุณบ่อยๆ55
สำหรับผม เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับ Train to Busan กับ Kingdom แน่ๆ ส่วนหากเทียบกับ Hapiness มันคนละทาง Hapiness ดีในเรื่องประเด็นจิตใจมนุษย์ ส่วนเรื่องนี้เน้น Production กับความมันส์เป็นหลัก
แต่บอกเลยว่า All of Us Are Dead ดังแน่นอน เพราะ Squid Game ก็ดังในต่างประเทศ มันเสพง่ายครับ ดูแล้วสนุก ได้ลุ้นมันส์มากๆ เลือดสาด Production เทพ จะไปสนอะไรกับบทล่ะครับ555
ส่วนจะมีภาค 2 หรือไม่ ผมว่าดูแล้ว จะทำอีกกี่ภาคก็ไปได้ครับ อยู่ที่ว่าความนิยมจะเป็นอย่างไรมากกว่า ที่สำคัญหนังและซีรีส์ซอมบี้ มักจะไม่มีภาคเดียวครับ ไปลองย้อนดูได้เลย
[CR] [Mr. Coffee รีวิว] All of Us Are Dead เมื่อ Production ขึ้นเทพ ปะทะกับ บทขั้นมึน ผลก็คือมันส์แต่มั่ว
https://www.facebook.com/Mr.CoffeeKDramaReview
รีวิวซีรีส์
เรื่องที่ 112 All of Us Are Dead 12 EP EP ละประมาณ 60 นาที / Netflix
"ทำไมเกาหลีชอบทำเรื่องซอมบี้" ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่แน่นอนว่า ความสำเร็จของ Train to Busan นั้น ย่อมทำให้เรื่องราวของซอมบี้ มีคนรอดูอยู่อย่างแน่นอน อีกทั้งเมื่อ Netflix ตัดสินใจทำ Kingdom ก็กลายเป็นซีรีส์ซอมบี้ที่ได้รับความนิยมถล่มทลายอีกเช่นกัน
การพูดถึงซอมบี้ ส่วนตัวขอแยกยุคของซอมบี้ออกมาเป็น 2 แบบนะครับ คือก่อนหนัง 28 Days Later กับหลังหนังเรื่องนี้ เพราะหลังจากเรื่องนี้ ซอมบี้ในเรื่องอื่นๆก็เปลี่ยนไปเป็นซอมบี้วิ่งเร็วเท่าคนปกติทันที แน่นอนว่าใน Train to Busan ซอมบี้ก็วิ่งเร็วแล้ว ดังนั้นหนังซอมบี้ในยุคปัจจุบัน ความมันส์จึงแตกต่างจากยุคก่อนอย่างชัดเจน
All of Us Are Dead เป็นซีรีส์ซอมบี้ที่มีต้นกำเนิดจากโรงเรียนมัธยม เรื่องราวจึงเป็นเรื่องราวของกลุ่มเพื่อนในห้องเรียนเป็นหลัก รวมทั้ง Love Line ระหว่างเพื่อนผ่านการหนีตาย เล่าไว้เท่านี้ละกันครับ
ขอชมก่อนแล้วกัน เรื่องนี้สิ่งที่ยอดเยี่ยมสุดๆ ในระดับที่ไม่เคยเห็นในซอมบี้เรื่องไหนเลยก็คือ Production ครับ ไม่ว่าจะฉาก การกำกับภาพ การแต่งหน้า effect รวมถึง "จ้างร้อยเล่นล้าน" คำนิยามสำหรับนักแสดงสมทบในเรื่องนี้ ผมบอกเลยว่าการแสดงของนักแสดงสมทบทุกคน สุดยอด!!!!
งานภาพ ดูฉากโรงอาหารฉากเดียวก็คุ้มแล้วครับ การกำกับคิวนักแสดงทำได้ยังไงให้ทุกคนรู้คิวและแสดงได้สุดๆ ขนาดนั้น การถ่ายทำที่มี Long Take อยู่หลายฉาก กำกับคิวยังไง เดินกล้องยังไง ให้มันออกมาได้สมจริงๆมากๆขนาดนี้ อย่าลืมนะครับว่านักแสดงสมทบทุกคนต้องจำคิวตัวเอง แถมยังต้องแสดงท่าทางเป็นซอมบี้ไม่ให้หลุด และเคลื่อที่ไปพร้อมแสดงไป มันคือสุดยอดความอลหม่านที่สมจริงมากจริงๆ
งาน Production เป็นองค์ประกอบหลักที่ทำให้การดูซีรีส์เรื่องนี้เพลินและสนุกได้อย่างต่อเนื่อง เพราะเรื่องนี้ก็มีจุดด้อยที่ชัดเจนอยู่เหมือนกัน หนักหนาสาหัสมากๆ ด้วย นั่นคือบท
บทสำหรับเรื่องซอมบี้นั้น ปกติจะเล่นประเด็นคนที่เรารักกลายเป็นซอมบี้เป็นหัวใจหลัก รวมถึงการแสดงให้เห็นด้านมืดของคนเราเมื่อยามเห็นแก่ตัว ซึ่งเรื่องนี้ก็นำไปใช้ค่อนข้างเยอะ แต่ว่าการนำไปใช้ เหมือนยังไม่เฉียบคมพอ
ในหลายๆฉาก เราจะสงสัยกับการกระทำ การตัดสินใจของตัวละครในเรื่องนี้ลำดับของความสำคัญและจำเป็นก่อนหลัง มันผิดไปหมด เอาเป็นว่าลองดูกันล่ะกันครับ ผมดูแล้วมีคำถามว่าทำไม ยังไง คิดอะไรกัน แทบจะตลอดทั้งเรื่อง
แต่ถึงแม้จะบทไม่เข้าท่าอย่างไร เมื่อถึงฉาก Action ทั้งหนีทั้งไล่ล่าซอมบี้ ก็ทำออกมาได้ดีมากๆ ดูแล้วได้ลุ้นสนุกอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่าสำหรับคอหนังซอมบี้ ย่อมไม่ยึดติดกับการพยายามสรรหาเหตุผลใดๆ ในหนังซอมบี้อยู่แล้ว อย่าง Train to Busan กับ Kingdom นั้นถือว่ายอดเยี่ยมและสมเหตุสมผล
ต่อมา การที่ซีรีส์มี 12 EP ย่อมทำให้เกิดคำถามว่าเรื่องราวที่ยาวขนาดนี้จะเป็นอย่างไร จะเล่าอะไร จะยืดอย่างไร ปัญหานี้เคยเกิดกับ Happiness ที่เกิดความวนเวียนไปมาอยู่ที่เดิม เรื่องนี้ก็เช่นกัน แต่เรื่องนี้มีประเด็นที่แตกออกมา ที่ทำให้เรื่องไปต่อได้ ในส่วนความจำเจซ้ำซาก เรื่องนี้เหมือนจะทำได้ดีกว่า Happiness อยู่บ้าง (ส่วนตัวถ้ามอง Happiness เป็นซีรีส์ซอมบี้คือค่อนข้างอืดเลย แต่ถ้ามองเป็นเรื่องของโรคระบาดก็ถือว่าพอได้)
ประเด็นที่แตกออกมานั้นทำให้เรื่องนี้สนุกและลุ้นได้เพิ่มขึ้น ถือว่าทีมงานเอาตัวรอดมาได้ดี ดังนั้นถ้าตัดความไม่สมเหตุสมผลสารพัดอย่างออกไป ก็ถือว่าดูได้สนุกอย่างที่ควรจะเป็นของซีรีส์ซอมบี้ครับ
ในด้านของนักแสดง นักแสดงหลักทั้งหมดแทบจะเป็นนักแสดงเด็กรุ่นใหม่ ที่อายุเกินมัธยมมานิดเดียว การแสดงในส่วนดราม่าก็ถือว่าพอได้ ที่เจ๋งคือพอนักแสดงหลักกลายเป็นซอมบี้ แสดงกันได้ดีมากจริงๆครับ บอกแล้วว่าซอมบี้ทุกตัวแสดงได้ดีสุดๆ แต่หากหวังการแสดงที่จัดจ้านจากนักแสดงรุ่นนี้ ก็คงจะเป็นการหวังที่มากเกินไปสักหน่อย
ถึงตรงนี้หลายคนคงเริ่มด่าผมว่าจะเอายังไง ตกลงเรื่องนี้ดีหรือไม่ดี บอกเลยว่าสำหรับคอซอมบี้ ที่ชอบความมันส์ เรื่องนี้ตอบสนองคุณได้เต็มๆครับ แต่หากคุณเป็นคอซอมบี้ ที่ชอบเหตุผล ตรรกะ เรื่องนี้จะทำให้คุณ ดูไปด่าไป อย่างแน่นอน คำว่า "อิหยังว่ะ" จะหลุดออกมาจากปากของคุณบ่อยๆ55
สำหรับผม เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับ Train to Busan กับ Kingdom แน่ๆ ส่วนหากเทียบกับ Hapiness มันคนละทาง Hapiness ดีในเรื่องประเด็นจิตใจมนุษย์ ส่วนเรื่องนี้เน้น Production กับความมันส์เป็นหลัก
แต่บอกเลยว่า All of Us Are Dead ดังแน่นอน เพราะ Squid Game ก็ดังในต่างประเทศ มันเสพง่ายครับ ดูแล้วสนุก ได้ลุ้นมันส์มากๆ เลือดสาด Production เทพ จะไปสนอะไรกับบทล่ะครับ555
ส่วนจะมีภาค 2 หรือไม่ ผมว่าดูแล้ว จะทำอีกกี่ภาคก็ไปได้ครับ อยู่ที่ว่าความนิยมจะเป็นอย่างไรมากกว่า ที่สำคัญหนังและซีรีส์ซอมบี้ มักจะไม่มีภาคเดียวครับ ไปลองย้อนดูได้เลย
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้