สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 21
ลองทำบัญชีครัวเรือนดูนะคะ แต่ละเดือนคุณมีค่าใช้จ่ายเดือนละเท่าไหร่
ผลประโยชน์จาก passive income ควรได้จากเงินทุนควรได้อย่างน้อย เท่ากับค่าใช้จ่าย
จากบัญชีครัวเรือนที่ทำไว้ และอย่าลืมว่าแต่ละเดือน มักจะมีค่าใช้จ่ายพิเศษ ที่งอกขึ้นมา
โดยไม่คาดฝัน เช่น เจ็บป่วยไปพบหมอ คุณพ่อป่วย รถเสีย ปั๊มน้ำเสีย
ดิฉันเกษียณมา 16 ปีแล้ว บัญชีครัวเรือนทำอยู่ทุกวัน แต่ละเดือนค่าใช้จ่ายประจำ
จะอยู่ประมาณ เดือนละ 8,000 - 10,000 บาท เฉพาะค่าอาหาร น้ำ-ไฟ ไม่รวมค่าลูกจ้าง
อีก 2 คน ที่มาช่วยเป็นแม่บ้าน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่นค่ายา ค่าหมอที่ต้องไปพบตามนัด
มีโรคประจำตัวคือ โรคกระดูกเสื่อม โรคหัวใจ และเงินทำบุญในวาระต่างๆ นี่คือปัจจุบันนะคะ
แต่เมื่อ 2 ปีที่แล้วคุณสามีป่วย เข้าๆออกๆ รพ.และนอนป่วยติดเตียงอยู่ที่บ้าน ต้องมีผู้ช่วย
พยาบาล มาดูแลด้วย ค่าใช้จ่าย 2 ปีนั้น น่าจะหมดไปประมาณปีละ 1 ล้านบาท
ลูกสาวป่วยเป็นมะเร็งอยู่เกือบปี เข้าๆออกๆรพ.เหมือนคุณพ่อ ก็หมดไปเกือบ 2 ล้าน
ดิฉันไม่ได้ตั้งเป้าค่ะว่าจะเก็บเงินไว้เท่าไหร่ แต่เป็นคนไม่ฟุ่มเฟือย แทบจะไม่เคยไปเที่ยว
ตปท.เลย ลูกๆ ไม่เคยมีรถยนตร์ใช้ส่วนตัว ก็เก็บเงินไปเรื่อยๆ เงินเหลือก็นำไปลงทุนสะสม
เอาไว้ ปัจจุบันชีวิตค่อนข้างสบาย อยู่กับลูกชาย 2 คน ลูกไม่ได้ทำงานค่ะ มีหน้าที่ดูแล
พาแม่ไปพบหมอ ดิฉันโอนทรัพย์สินทั้งหมด เป็นชื่อลูกชายแล้ว เหลือบ/ชเบี้ยชราภาพ
เท่านั้น ที่ต้องอยู่ในชื่อเราคนเดียว วันนี้พร้อมแล้วที่จะ ขึ้นรถไฟตีตั๋ว One Way Ticket ค่ะ
เตรียมเสื้อผ้าชุดเดินทางไกลเอาไว้แล้วด้วย
ผลประโยชน์จาก passive income ควรได้จากเงินทุนควรได้อย่างน้อย เท่ากับค่าใช้จ่าย
จากบัญชีครัวเรือนที่ทำไว้ และอย่าลืมว่าแต่ละเดือน มักจะมีค่าใช้จ่ายพิเศษ ที่งอกขึ้นมา
โดยไม่คาดฝัน เช่น เจ็บป่วยไปพบหมอ คุณพ่อป่วย รถเสีย ปั๊มน้ำเสีย
ดิฉันเกษียณมา 16 ปีแล้ว บัญชีครัวเรือนทำอยู่ทุกวัน แต่ละเดือนค่าใช้จ่ายประจำ
จะอยู่ประมาณ เดือนละ 8,000 - 10,000 บาท เฉพาะค่าอาหาร น้ำ-ไฟ ไม่รวมค่าลูกจ้าง
อีก 2 คน ที่มาช่วยเป็นแม่บ้าน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่นค่ายา ค่าหมอที่ต้องไปพบตามนัด
มีโรคประจำตัวคือ โรคกระดูกเสื่อม โรคหัวใจ และเงินทำบุญในวาระต่างๆ นี่คือปัจจุบันนะคะ
แต่เมื่อ 2 ปีที่แล้วคุณสามีป่วย เข้าๆออกๆ รพ.และนอนป่วยติดเตียงอยู่ที่บ้าน ต้องมีผู้ช่วย
พยาบาล มาดูแลด้วย ค่าใช้จ่าย 2 ปีนั้น น่าจะหมดไปประมาณปีละ 1 ล้านบาท
ลูกสาวป่วยเป็นมะเร็งอยู่เกือบปี เข้าๆออกๆรพ.เหมือนคุณพ่อ ก็หมดไปเกือบ 2 ล้าน
ดิฉันไม่ได้ตั้งเป้าค่ะว่าจะเก็บเงินไว้เท่าไหร่ แต่เป็นคนไม่ฟุ่มเฟือย แทบจะไม่เคยไปเที่ยว
ตปท.เลย ลูกๆ ไม่เคยมีรถยนตร์ใช้ส่วนตัว ก็เก็บเงินไปเรื่อยๆ เงินเหลือก็นำไปลงทุนสะสม
เอาไว้ ปัจจุบันชีวิตค่อนข้างสบาย อยู่กับลูกชาย 2 คน ลูกไม่ได้ทำงานค่ะ มีหน้าที่ดูแล
พาแม่ไปพบหมอ ดิฉันโอนทรัพย์สินทั้งหมด เป็นชื่อลูกชายแล้ว เหลือบ/ชเบี้ยชราภาพ
เท่านั้น ที่ต้องอยู่ในชื่อเราคนเดียว วันนี้พร้อมแล้วที่จะ ขึ้นรถไฟตีตั๋ว One Way Ticket ค่ะ
เตรียมเสื้อผ้าชุดเดินทางไกลเอาไว้แล้วด้วย


ความคิดเห็นที่ 19
เอาตัวอย่างที่เป็นของจริง คือตัวผมเอง ที่เกษียณแล้ว.
ก่อนเกษียณ 5-6 ปีตั้งเป้าที่ 2 ล้านบาท (เกษียณ 60 ปี) แต่ก่อนหน้านั้นไม่ได้ตั้งเป้าเลยผ่อนทรัพย์สินเป็นหลัก เพื่อได้ค่าเช่าคล้าย passive income
ระหว่างทางแม่ติดเตียง จ่ายไปสำหรับแม่ 1.ล้าน กว่าบาท จึงเหลือเงินที่จะพึงจะเก็บได้ไม่ถึง 1.ล้านบาท เมื่อประเมินแล้วมีเงินหลังเกษียณน้อยต้องเพิ่มรายได้คล้าย passive income ขึ้น ไปซื้อผ่อนคอนโดติดรถไฟฟาใกล้บ้าน ราคาไม่เกิน 1 ล้าน (สมัยนั้น 5-6 ปีก่อน ยังหาได้อยู่) และต้องโปะให้จบพอดีเกษียณ
จึงเหลือเงินเก็บเล็กน้อย มีเศษเงินเหลืออยู่ จากที่ทดลองเล่นหุ้น ไม่เกิน 1 แสน มา 5-6 ปี และที่ซุกไว้ตรงนี้นิดตรงโน้นหน่อย บวกเงินค่าเช่าคอนโดรวมกันก็ 2 แสน เพราะเป็นมนุษย์เงินเดือนมีรายได้ที่ค่อนข้างแน่นอน จึงประเมินล่วงหน้าได้เป็นปี ถึง 5-6 ปี
เมื่อเกษียณโชคดีที่ขอเกษียณตามเดือนเกิดครบ 60 ปีพอดี ก่อนโควิดมา จึงได้มา 5 แสนกว่า ผมก็หาเหตุช่วยลดให้กับบริษัทแล้ว แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้อีกเลย แถมลดเวลางานเหลือ 4 วันต่ออาทิตย์ และอายุ 55 ปีไปแล้ว ปรับเป็นรับจ้างแบบบริการ ไม่มีเงินเกษียณเพราะบริษัทโดนกระทบอย่างมาก คนทำงานบนๆ ย่อมเห็นฐานะบริษัทอยู่ จึงต้องประกองกันไป บริษัทอยู่ได้เราก็อยู่ได้อายุก็มากแล้ว ดีกว่าทุกอย่างหยุดแล้วล้มไปทั้งกระดาน
ผมดาวรถให้ลูกที่เพิ่งจบ ป.ตรี รถราคา 3.7 แสน รถอายุ 3 ปี เพราะเคยเปรยๆ ให้เขาทราบตอนเรียนแล้วก็เงินสดหายไปแสนกว่า ส่วนภรรยาหายไป 1 แสน ที่เหลือช่วยกันผ่อนคนละครึ่ง จึงไม่กระทบกับผมและภรรยาเลยคือแค่ จิบๆ
จึงเหลือเงินหลังเกษียณส่วนตัว 5-6 แสนบาท(ภรรยาคนละก้อนกัน) แล้วผมไม่แตะเงินตรงนี้เลยหลังผมเกษียณมาแล้วจะ 3 ปี เพราะมีรายได้จากค่าเช่า+บำนาณประกันสังคม+ทำงานแบบคนแก่จาก 3 ต่ออาทิตย์จนเหลือ 1 วันต่ออาทิตย์ เพราะยกให้ลูกที่พึ่งจบแล้วเจอวิกฤตโควิด ให้มีรายได้มีงานทำต่อ + ดอกเบี้ยแม้จะเล็กน้อยต่อเดือน + เงินปันผลหุ้น + เงินคนแก่ 600 บาท
มีค่าใช้จ่าย ค่ากินรวมกับลูกคนเล็ก + ค่าผ่อนรถเขาครึ่งหนี่ง + จ่ายค่าส่วนต่างรักษาพยาบาลจากสิทธิภรรยาข้าราชการบำนาณ 2 ปีกว่า 2 แสนบาทนิดๆ เฉพาะผ่าตัดตาสองข้างก็จ่ายส่วนต่างไปแล้ว 7-8 หมื่น + ค่าซื้อของใช้ต่างๆ เข้าบ้าน และค่าซ่อมบ้าน และต่อเติมเอง ฯลฯ ก็หลายแสนบาทใน 3 ปี
แต่ผมกลับมีเงินสดส่วนตัวเพิ่มเป็น 1 ล้านกว่าบาทไปแล้ว ณ. ปัจจุบัน ก็จากเงินได้คล้าย passive income + การทำงานแบบคนแก่ + ดอกเบี้ยเงินฝากแม้จะเล็กน้อย + ปันผลหุ้น + เงินคนแก่ 600 บาท(เงินคนแก่ 600 บาทผมก็ยังรับต่อไป เพราะอายุยิ่งมาก รายได้จากทำงานแบบคนแก่ก็จะถอยลง ๆ จนไม่มี ก็จะมีเงินตรงนี้พอบรรเทาลงได้บ้างเมื่อเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นทุกปี)
ดังนั้นเงินสดเก็บหลังเกษียณ มีมากก็ดีมีน้อยก็ดี ไม่ได้มีปัญหาสำหรับคนแก่ที่มีเงินได้คล้าย passive income อยู่กินได้แบบตามอุปนิสัยส่วนตัวแล้ว และยังมีการทำงานแบบคนแก่ + ความสามารถในการลงทุนเล็กๆ น้อยๆ ที่ยังได้ผลตอบแทนมาเสริมเพิ่มจากรายได้ที่พอจ่ายกินได้ตามอุปนิสัย ก็จะเป็นคนแก่ที่สบายๆ ไม่ต้องทุกข์กับชีวิต แต่สังขารนั้นเป็นทุกข์อยู่แล้วตามธรรมดาของโลก.
ก่อนเกษียณ 5-6 ปีตั้งเป้าที่ 2 ล้านบาท (เกษียณ 60 ปี) แต่ก่อนหน้านั้นไม่ได้ตั้งเป้าเลยผ่อนทรัพย์สินเป็นหลัก เพื่อได้ค่าเช่าคล้าย passive income
ระหว่างทางแม่ติดเตียง จ่ายไปสำหรับแม่ 1.ล้าน กว่าบาท จึงเหลือเงินที่จะพึงจะเก็บได้ไม่ถึง 1.ล้านบาท เมื่อประเมินแล้วมีเงินหลังเกษียณน้อยต้องเพิ่มรายได้คล้าย passive income ขึ้น ไปซื้อผ่อนคอนโดติดรถไฟฟาใกล้บ้าน ราคาไม่เกิน 1 ล้าน (สมัยนั้น 5-6 ปีก่อน ยังหาได้อยู่) และต้องโปะให้จบพอดีเกษียณ
จึงเหลือเงินเก็บเล็กน้อย มีเศษเงินเหลืออยู่ จากที่ทดลองเล่นหุ้น ไม่เกิน 1 แสน มา 5-6 ปี และที่ซุกไว้ตรงนี้นิดตรงโน้นหน่อย บวกเงินค่าเช่าคอนโดรวมกันก็ 2 แสน เพราะเป็นมนุษย์เงินเดือนมีรายได้ที่ค่อนข้างแน่นอน จึงประเมินล่วงหน้าได้เป็นปี ถึง 5-6 ปี
เมื่อเกษียณโชคดีที่ขอเกษียณตามเดือนเกิดครบ 60 ปีพอดี ก่อนโควิดมา จึงได้มา 5 แสนกว่า ผมก็หาเหตุช่วยลดให้กับบริษัทแล้ว แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้อีกเลย แถมลดเวลางานเหลือ 4 วันต่ออาทิตย์ และอายุ 55 ปีไปแล้ว ปรับเป็นรับจ้างแบบบริการ ไม่มีเงินเกษียณเพราะบริษัทโดนกระทบอย่างมาก คนทำงานบนๆ ย่อมเห็นฐานะบริษัทอยู่ จึงต้องประกองกันไป บริษัทอยู่ได้เราก็อยู่ได้อายุก็มากแล้ว ดีกว่าทุกอย่างหยุดแล้วล้มไปทั้งกระดาน
ผมดาวรถให้ลูกที่เพิ่งจบ ป.ตรี รถราคา 3.7 แสน รถอายุ 3 ปี เพราะเคยเปรยๆ ให้เขาทราบตอนเรียนแล้วก็เงินสดหายไปแสนกว่า ส่วนภรรยาหายไป 1 แสน ที่เหลือช่วยกันผ่อนคนละครึ่ง จึงไม่กระทบกับผมและภรรยาเลยคือแค่ จิบๆ
จึงเหลือเงินหลังเกษียณส่วนตัว 5-6 แสนบาท(ภรรยาคนละก้อนกัน) แล้วผมไม่แตะเงินตรงนี้เลยหลังผมเกษียณมาแล้วจะ 3 ปี เพราะมีรายได้จากค่าเช่า+บำนาณประกันสังคม+ทำงานแบบคนแก่จาก 3 ต่ออาทิตย์จนเหลือ 1 วันต่ออาทิตย์ เพราะยกให้ลูกที่พึ่งจบแล้วเจอวิกฤตโควิด ให้มีรายได้มีงานทำต่อ + ดอกเบี้ยแม้จะเล็กน้อยต่อเดือน + เงินปันผลหุ้น + เงินคนแก่ 600 บาท
มีค่าใช้จ่าย ค่ากินรวมกับลูกคนเล็ก + ค่าผ่อนรถเขาครึ่งหนี่ง + จ่ายค่าส่วนต่างรักษาพยาบาลจากสิทธิภรรยาข้าราชการบำนาณ 2 ปีกว่า 2 แสนบาทนิดๆ เฉพาะผ่าตัดตาสองข้างก็จ่ายส่วนต่างไปแล้ว 7-8 หมื่น + ค่าซื้อของใช้ต่างๆ เข้าบ้าน และค่าซ่อมบ้าน และต่อเติมเอง ฯลฯ ก็หลายแสนบาทใน 3 ปี
แต่ผมกลับมีเงินสดส่วนตัวเพิ่มเป็น 1 ล้านกว่าบาทไปแล้ว ณ. ปัจจุบัน ก็จากเงินได้คล้าย passive income + การทำงานแบบคนแก่ + ดอกเบี้ยเงินฝากแม้จะเล็กน้อย + ปันผลหุ้น + เงินคนแก่ 600 บาท(เงินคนแก่ 600 บาทผมก็ยังรับต่อไป เพราะอายุยิ่งมาก รายได้จากทำงานแบบคนแก่ก็จะถอยลง ๆ จนไม่มี ก็จะมีเงินตรงนี้พอบรรเทาลงได้บ้างเมื่อเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นทุกปี)
ดังนั้นเงินสดเก็บหลังเกษียณ มีมากก็ดีมีน้อยก็ดี ไม่ได้มีปัญหาสำหรับคนแก่ที่มีเงินได้คล้าย passive income อยู่กินได้แบบตามอุปนิสัยส่วนตัวแล้ว และยังมีการทำงานแบบคนแก่ + ความสามารถในการลงทุนเล็กๆ น้อยๆ ที่ยังได้ผลตอบแทนมาเสริมเพิ่มจากรายได้ที่พอจ่ายกินได้ตามอุปนิสัย ก็จะเป็นคนแก่ที่สบายๆ ไม่ต้องทุกข์กับชีวิต แต่สังขารนั้นเป็นทุกข์อยู่แล้วตามธรรมดาของโลก.
แสดงความคิดเห็น
อายุ60ปี ตั้งเป้ามีเงินเก็บเท่าไรกันครับ กรณีไม่อยากทำงาน อยู่บ้านเฉยๆ