ฝากผลงานด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
เรื่องสั้น สุภาษิตและคำพังเพย เจ้ากบน้อย
นานมาแล้วมี กบในกะลาครอบ ตัวหนึ่ง โมโหโวยวายที่มีใครไม่รู้เปิดกะลาที่ครอบตนเองไว้ออก “ไหน...ใครบังอาจมาเปิดกะลาของฉันนะ กำลังหลับสบายอยู่เลย” กบเลือกนาย ตัวนี้ยังคงเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าจากการเลือกเจ้าแห่งฟาร์มที่แสนยาวนานเมื่อวานนี้ ผลโหวดคือ เจ้า ม้าดีดกะโหลก ได้เป็นอีกตามเคย
“ตื่นได้แล้ว ไปหาอะไรกินกันดีกว่า” คางคกขึ้นวอ ร้องชวน “วันนี้ที่บ้านของมานีจะมี ปิ้งปลาประชดแมว ด้วยนะ เราไปขอเจ้าเหมียวตอนที่มานี ฝากปลาไว้กับแมว กินกันดีกว่า ได้ยินมาว่าเป็น ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ด้วย ปลาตัวเบ้อเริ่มเทิ่มเลยหละ”
“ฉันเห็นมานีจับปลานี้ได้เมื่อเช้า พายเรือไปในลำคลองกับมานะ แต่มานะมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ นอนสบายอยู่ในเรือมีลูกไก่อยู่ในกำมือ ด้วย ปล่อยให้มานีหาปลาอยู่คนเดียวโดย เอากุ้งฝอยไปตกปลากะพง เอ๊ะ...นั่นเสียงอะไรนะเพราะดี”
มานีกำลัง สีซอให้ควายฟัง ในใจของมานีนึกถึงตอนที่ ขี่ช้างจับตั๋กแตน และให้ อ้อยเข้าปากช้าง ตอนเด็ก ๆ มันช่างสนุกจริง ๆ บางครั้ง เห็นช้างขึ้ ขี้ตามช้าง ด้วย แต่ตอนนี้ ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวปิด ไปแล้ว เพราะช้างทำ ใจดีสู้เสือ มันจึงโดนเสือกัดตาย
“กระต๊าก ๆๆ” เสียงไก่ร้องขึ้น มันโดน หมาลอบกัด เจ้าตูบ ชอบทำตัวเป็น หมาหยอกไก่ อยู่เป็นประจำ แต่เจ้าตูบเป็นหมาที่รักแมวมากชอบทำตัวเป็น หมาหวงก้าง ไม่ยอมให้แมวกินกระดูกเพราะกลัวว่าจะตำท้องได้ แต่ที่น่ารำคาญมาก ๆ คือเจ้าตูบชอบทำตัวเป็น หมาเห่าใบตองแห้ง กบกับคางคกต้องอุดหูเป็นประจำเพราะไม่อยากฟัง
กบกับคางคกกำลังกระโดดไปหาเจ้าเหมียวที่บ้านมานี เพื่อที่จะขอปลามากิน แต่คางคกกระหายน้ำเหลือเกิน อย่าหวังน้ำบ่อหน้า จึงก้มลงดื่มน้ำบ่อน้อยที่พบเจอ แต่น้ำนั้นมีรสเปรี้ยว จึงลอง กวนน้ำให้ขุ่น เผื่อว่าน้ำจะหายเปรี้ยว แต่ก็ไม่หาย กบจึงบอกว่า “อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ที่บ้านมานีละกัน”
แต่เรื่องมัน กลับตาลปัตร เพราะ กระเชอก้นรั่ว ปลาที่มานีหาได้ หลุดลงน้ำไปหมดเลย ปลาทั้งหมดรวมทั้ง กระดี่ได้น้ำ จึงรอดตาย ไม่มีปลาย่างให้กบกับคางคกกินแล้ว
กบกับคางคกหิวมากจนตาลาย เห็นกงจักรเป็นดอกบัว มันจึง เข้ารกเข้าพง หญ้าเพื่อหาอาหารแทน แต่ทั้นใดนั้นพวกมันตกใจมาก เพราะเจองูตัวใหญ่ตัวหนึ่งซึ่งก็กำลังหิวมากเช่นกัน เจ้างูฉกมาที่คางคก คางคกจึงต่อสู้ แต่มัน ขว้างงูไม่พ้นคอ จึงโดนบีบรัดและกินเป็นอาหาร
ส่วนกบเมื่อเห็นเพื่อนโดนกินต่อหน้าต่อตาก็กลัวมากปีนขึ้นไปบนบ้าน หาอะไร กินบนเรือนขึ้บนหลังคา เมื่อเสร็จภารกิจมันก็นอน แกว่งเท้าหาเสี้ยน “โอ๊ย...”
ตอนนี้เจ้ากบคิดได้แล้วว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ไม่มีคางคกเป็นเพื่อนก็ต้องอยู่ลำพังได้ แต่มันก็หวังว่าจะเจอสหายที่ถูกใจตัวใหม่ให้ได้โดยเร็วโดยยึดหลัก คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล
เช้านี้ น้ำลดตอผุด มานี จับปูใส่กระด้ง และ จับปลาสองมือ ด้วย ได้ทั้งปูและปลาเยอะแยะเลย จึงดีใจรีบวิ่งขึ้นบ้านเพื่อที่จะไปบอกมานะ แต่มานีไม่ทันระวัง ตกกระไดพลอยโจน มานีบาดเจ็บเดินไม่ไหว มานะจึงอาสาทำกับข้าวให้
มานะจะไปตัดฟืนมาจุดเตา แต่ พบไม้งามเมื่อขวานบิ่น และไม่สามารถใช้ ขวานผ่าซาก ได้จึงใช้ ไม้หลักปักเลน มาทำเป็นฟืนแทน ซึ่งไม้เหล่านี้เป็น ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก แต่พอเขาจะทำกับข้าวเขาก็โชคร้าย จุดไต้ตำตอ อีก แต่มานะบาดเจ็บไม่มาก จึงยังทำกับข้าวได้ เขา ตำข้าวสารกรอกหม้อ แต่ต้องตกใจเพราะ หนูตกถังข้าวสาร เขาค่อย ๆ จับหนูออกแล้วจึงหุงข้าว
มานะไม่มี เสน่ห์ปลายจวัก ทำอาหารออกมาจึงไม่อร่อย ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ต้มปูทอดปลาก็เอาไปให้เจ้าตูบกินแทน เจ้าตูบกินเสร็จก็เล่นกับมานะ เล่นกับหมา หมาเลียปาก
เจ้ากบซึ่งกำลังดูมานะกับเจ้าตูบเล่นกัน ก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีใครมาสะกิดหลัง “นี่ ๆ ถามอะไรหน่อย เห็นโพรงฉันไหม” กระรอกสีน้ำตาลอ่อนขนพองถาม
กบมองซ้ายมองขวา ชี้โพรงให้กระรอก “ตรงนั้นงัย” เจ้ากระรอกสายตาสั้นจึงหาโพรงไม่เจอ “ขอบใจนะ กินอะไรรึยัง ไปกินอาหารที่โพรงของฉันไหม” กระรอกอยากตอบแทนกบที่ช่วยบอกทางจึงชวนกบไป
“ไปสิ ฉันกำลังหิวอยู่พอดี” ทั้งสองตัวจึงเดินทางไปที่โพรงนั้น ในโพรงมืดมาก มียุงเยอะด้วย ยุ่งเหมือนยุงตีกัน เลย อาหารในโพรงมีมากมายหลายอย่าง เช่น หัวเดียวกระเทียมลีบ กระดูกอ่อน ขมิ้นกับปูน ข้าวใหม่ปลามัน ฯลฯ กบจึงได้เพื่อนใหม่เป็นกระรอก
เมื่อกินกันจนอิ่ม ทั้งสองจึงนอนคุยกัน กระรอกบอกกับกบ “ฉันได้ยินความลับมาว่า ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ด้วยหละ”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ เจ้ารู้ได้ยังงัย” กบหัวเราะดังด้วยความตลก
“ฉันได้ยินจากเด็ก ๆ ที่ เดินตามหลังผู้ใหญ่ หมาไม่กัด เขาคุยกัน”
“ฉันว่าเจ้าหนะ ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด ซะละมั้ง งูไม่มีขา และไก่ไม่มีนมหรอก” กบออกความเห็น
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น พรุ่งนี้ไปถามไก่กันมั้ยหละ แต่ฉันกลัวงู” กระรอกทำท่ากลัว "ฉันก็เหมือนกัน" กบนึกถึงตอนที่เจ้าคางคกโดนงูกิน
วันต่อมามานะกับมานีหายจากอาการบาดเจ็บแล้วจึงเล่น จับแพะชนแกะ กัน เสร็จแล้วก็แข่ง เข็นครกขึ้นภูเขา กันต่อ
เจ้ากบกับเจ้ากระรอกเดินไปหาแม่ไก่เพื่อจะถามว่ามีนมไหม
“แม่ไก่จ๋า ฉันเป็น กบเกิดใต้บัวบาน มาเห็นเจ้าซึ่งงดงามจริง ๆ แม้คนก็สู้เจ้าไม่ได้เลย” เจ้ากบแกล้งพูดชื่นชม
“แน่นอนอยู่แล้ว ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง ฉันสวยตามธรรมชาติจ๊ะ” ไก่ตอบอย่างภาคภูมิใจ
“จริงหรือไม่ที่เขาว่ากันว่า ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ หนะจ๊ะ” เจ้ากบถามแบบอาย ๆ
“ไม่มีหรอก พวกคนเขาเปรียบเทียบเป็นสำนวนสุภาษิตหมายถึง ต่างฝ่ายต่างรู้ความลับของกันและกัน จ๊ะ” ไก่ตอบอย่างผู้รู้ที่ อาบน้ำร้อนมาก่อน
ทันใดนั้นไก่ก็ร้องเสียงดัง “กระต๊าก ๆ ๆ ๆ” หมาหยอกไก่ อีกแล้ว
“วันพระไม่มีหนเดียว คราวหน้าค่อยไปละกัน” มานะพูดกับมานี ปกติทั้งสองคนจะ ไปวัดไปวาได้ ก็วันพระเพื่อไป ทำบุญ ตักบาตรอย่าถามพระ ปิดทองหลังพระ ปล่อยนกปล่อยกา ปล่อยปลาลงน้ำ แต่มีคนใจร้ายบางคนที่เลี้ยงหมูแล้ว ดินพอกหางหมู ก็มักเอาหมู ตัดหางปล่อยวัด ให้วัดเลี้ยงแทน
ที่ไม่ไปวัดเพราะเมื่อวานนี้ วัวหายล้อมคอก และเอา วัวพันหลัก ไว้ วันนี้มานะกับมานีจึงจะไปแจ้งตำรวจเพราะนอกจากโจรได้ขโมยวัวแล้ว วัวบางตัวโดนทำร้ายจนเป็น วัวสันหลังหวะ ด้วย
กบกับกระรอกที่สังเกตการณ์อยู่ในโพรงรู้ว่าเป็นฝีมือของใคร
“ป่านนี้ เสือนอนกิน วัวสบายไปเลยนะ” กบพูด
“กินอิ่มก็เป็น เสือเฒ่าจำศีล” กระรอก ปอกกล้วยเข้าปาก กินไปด้วยคุยไปด้วย
“แถวนี้ บ้านนอกคอกนา สัตว์ป่าดุร้ายมากมาย” กบบอกกระรอกเพื่อให้ระวังตัว
“บ้านเคยอยู่ อู่เคยนอน ของฉันเมื่อก่อนอยู่ในเมือง แต่เจ้านายฉันเบื่อเลี้ยงสัตว์ เลยเอาฉันมาปล่อยให้ บุกป่าฝ่าดง อย่างนี้หละ” กระรอกรู้สึกน้อยใจในโชคชะตา น้ำตาไหลออกมาจึงเอา น้ำตาเช็ดหัวเข่า กบเห็นเพื่อนร้องไห้จึง น้ำตาตกใน ไม่แสดงออกให้กระรอกเห็น
ข้างนอกลมพัดแรง ดอกพิกุลร่วง มากมาย พายุฝนกำลังจะมา กระต่ายตื่นตูม จึงรีบวิ่งลงหลุม กาหลงรัง บางตัวบินกลับรังไม่ถูก มดแดงแฝงพวงมะม่วง จำนวนมากขนไข่ของตนเองย้ายที่ จมูกมด คงได้กลิ่นฝนกระมัง
ไม่นานนักฝนก็ตกกระหน่ำลงมาอย่างหนักและยาวนาน
“ถ้าฝนตกจน น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง ฉันจะไปเก็บผักบุ้งมาจิ้มกับ น้ำพริกถ้วยเก่า” มานีหยิบ ผักต้มขนมยำ กินไปด้วยพูดกับมานะไปด้วย
“น้ำขึ้นให้รีบตัก ฉันจะไปจับปลา แต่รอฝนหยุดก่อน”
“ใช่ ถ้าตากฝนแล้วจะเป็นไข้ไม่สบาย เดี๋ยวต้องกิน ยาหม้อใหญ่ อีก ฮ่า ๆๆๆๆ”
“อ๊บ ๆ ๆ ๆ ๆ” กบออกไปนอกโพรงกระรอกแล้วร้องเสียงดัง
“กบเอยทำไมจึงร้อง กบเอยทำไมจึงร้อง” กระรอกถามกบ
“จำเป็นต้องร้องเพราะว่าท้องมันปวด ล้อเล่นนะ มันเย็นสบายดีฉันก็เลยมาตากฝนร้องเพลงงัยหละ” กบที่ตัวเปียกตอบอย่างมีความสุข
และแล้วฝนก็หยุดตก สัตว์ต่าง ๆ ออกมาหาอาหาร มานะใช้ไม้ยาว ๆ ทอดสะพาน ตามทางที่น้ำท่วมไว้เพื่อเป็นทางเดิน มานะออกไปจับปลา มานีไปเก็บผักบุ้ง ส่วนกบกับกระรอกก็ช่วยกันหาอาหารในบ้านของมานะมานีเพื่อไปเก็บในโพรงของพวกมันเอง ดังสุภาษิตที่ว่า แมวไม่อยู่ หนูร่าเริง
จบ.
เรื่องสั้น สุภาษิต คำพังเพย เจ้ากบน้อย (อ่านลงยูทูป)
ฝากผลงานด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
“ตื่นได้แล้ว ไปหาอะไรกินกันดีกว่า” คางคกขึ้นวอ ร้องชวน “วันนี้ที่บ้านของมานีจะมี ปิ้งปลาประชดแมว ด้วยนะ เราไปขอเจ้าเหมียวตอนที่มานี ฝากปลาไว้กับแมว กินกันดีกว่า ได้ยินมาว่าเป็น ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ด้วย ปลาตัวเบ้อเริ่มเทิ่มเลยหละ”
“ฉันเห็นมานีจับปลานี้ได้เมื่อเช้า พายเรือไปในลำคลองกับมานะ แต่มานะมือไม่พายเอาเท้าราน้ำ นอนสบายอยู่ในเรือมีลูกไก่อยู่ในกำมือ ด้วย ปล่อยให้มานีหาปลาอยู่คนเดียวโดย เอากุ้งฝอยไปตกปลากะพง เอ๊ะ...นั่นเสียงอะไรนะเพราะดี”
มานีกำลัง สีซอให้ควายฟัง ในใจของมานีนึกถึงตอนที่ ขี่ช้างจับตั๋กแตน และให้ อ้อยเข้าปากช้าง ตอนเด็ก ๆ มันช่างสนุกจริง ๆ บางครั้ง เห็นช้างขึ้ ขี้ตามช้าง ด้วย แต่ตอนนี้ ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวปิด ไปแล้ว เพราะช้างทำ ใจดีสู้เสือ มันจึงโดนเสือกัดตาย
“กระต๊าก ๆๆ” เสียงไก่ร้องขึ้น มันโดน หมาลอบกัด เจ้าตูบ ชอบทำตัวเป็น หมาหยอกไก่ อยู่เป็นประจำ แต่เจ้าตูบเป็นหมาที่รักแมวมากชอบทำตัวเป็น หมาหวงก้าง ไม่ยอมให้แมวกินกระดูกเพราะกลัวว่าจะตำท้องได้ แต่ที่น่ารำคาญมาก ๆ คือเจ้าตูบชอบทำตัวเป็น หมาเห่าใบตองแห้ง กบกับคางคกต้องอุดหูเป็นประจำเพราะไม่อยากฟัง
กบกับคางคกกำลังกระโดดไปหาเจ้าเหมียวที่บ้านมานี เพื่อที่จะขอปลามากิน แต่คางคกกระหายน้ำเหลือเกิน อย่าหวังน้ำบ่อหน้า จึงก้มลงดื่มน้ำบ่อน้อยที่พบเจอ แต่น้ำนั้นมีรสเปรี้ยว จึงลอง กวนน้ำให้ขุ่น เผื่อว่าน้ำจะหายเปรี้ยว แต่ก็ไม่หาย กบจึงบอกว่า “อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ที่บ้านมานีละกัน”
แต่เรื่องมัน กลับตาลปัตร เพราะ กระเชอก้นรั่ว ปลาที่มานีหาได้ หลุดลงน้ำไปหมดเลย ปลาทั้งหมดรวมทั้ง กระดี่ได้น้ำ จึงรอดตาย ไม่มีปลาย่างให้กบกับคางคกกินแล้ว
กบกับคางคกหิวมากจนตาลาย เห็นกงจักรเป็นดอกบัว มันจึง เข้ารกเข้าพง หญ้าเพื่อหาอาหารแทน แต่ทั้นใดนั้นพวกมันตกใจมาก เพราะเจองูตัวใหญ่ตัวหนึ่งซึ่งก็กำลังหิวมากเช่นกัน เจ้างูฉกมาที่คางคก คางคกจึงต่อสู้ แต่มัน ขว้างงูไม่พ้นคอ จึงโดนบีบรัดและกินเป็นอาหาร
ส่วนกบเมื่อเห็นเพื่อนโดนกินต่อหน้าต่อตาก็กลัวมากปีนขึ้นไปบนบ้าน หาอะไร กินบนเรือนขึ้บนหลังคา เมื่อเสร็จภารกิจมันก็นอน แกว่งเท้าหาเสี้ยน “โอ๊ย...”
ตอนนี้เจ้ากบคิดได้แล้วว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ไม่มีคางคกเป็นเพื่อนก็ต้องอยู่ลำพังได้ แต่มันก็หวังว่าจะเจอสหายที่ถูกใจตัวใหม่ให้ได้โดยเร็วโดยยึดหลัก คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล
เช้านี้ น้ำลดตอผุด มานี จับปูใส่กระด้ง และ จับปลาสองมือ ด้วย ได้ทั้งปูและปลาเยอะแยะเลย จึงดีใจรีบวิ่งขึ้นบ้านเพื่อที่จะไปบอกมานะ แต่มานีไม่ทันระวัง ตกกระไดพลอยโจน มานีบาดเจ็บเดินไม่ไหว มานะจึงอาสาทำกับข้าวให้
มานะจะไปตัดฟืนมาจุดเตา แต่ พบไม้งามเมื่อขวานบิ่น และไม่สามารถใช้ ขวานผ่าซาก ได้จึงใช้ ไม้หลักปักเลน มาทำเป็นฟืนแทน ซึ่งไม้เหล่านี้เป็น ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก แต่พอเขาจะทำกับข้าวเขาก็โชคร้าย จุดไต้ตำตอ อีก แต่มานะบาดเจ็บไม่มาก จึงยังทำกับข้าวได้ เขา ตำข้าวสารกรอกหม้อ แต่ต้องตกใจเพราะ หนูตกถังข้าวสาร เขาค่อย ๆ จับหนูออกแล้วจึงหุงข้าว
มานะไม่มี เสน่ห์ปลายจวัก ทำอาหารออกมาจึงไม่อร่อย ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ต้มปูทอดปลาก็เอาไปให้เจ้าตูบกินแทน เจ้าตูบกินเสร็จก็เล่นกับมานะ เล่นกับหมา หมาเลียปาก
เจ้ากบซึ่งกำลังดูมานะกับเจ้าตูบเล่นกัน ก็ต้องสะดุ้งเมื่อมีใครมาสะกิดหลัง “นี่ ๆ ถามอะไรหน่อย เห็นโพรงฉันไหม” กระรอกสีน้ำตาลอ่อนขนพองถาม
กบมองซ้ายมองขวา ชี้โพรงให้กระรอก “ตรงนั้นงัย” เจ้ากระรอกสายตาสั้นจึงหาโพรงไม่เจอ “ขอบใจนะ กินอะไรรึยัง ไปกินอาหารที่โพรงของฉันไหม” กระรอกอยากตอบแทนกบที่ช่วยบอกทางจึงชวนกบไป
“ไปสิ ฉันกำลังหิวอยู่พอดี” ทั้งสองตัวจึงเดินทางไปที่โพรงนั้น ในโพรงมืดมาก มียุงเยอะด้วย ยุ่งเหมือนยุงตีกัน เลย อาหารในโพรงมีมากมายหลายอย่าง เช่น หัวเดียวกระเทียมลีบ กระดูกอ่อน ขมิ้นกับปูน ข้าวใหม่ปลามัน ฯลฯ กบจึงได้เพื่อนใหม่เป็นกระรอก
เมื่อกินกันจนอิ่ม ทั้งสองจึงนอนคุยกัน กระรอกบอกกับกบ “ฉันได้ยินความลับมาว่า ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ด้วยหละ”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ เจ้ารู้ได้ยังงัย” กบหัวเราะดังด้วยความตลก
“ฉันได้ยินจากเด็ก ๆ ที่ เดินตามหลังผู้ใหญ่ หมาไม่กัด เขาคุยกัน”
“ฉันว่าเจ้าหนะ ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด ซะละมั้ง งูไม่มีขา และไก่ไม่มีนมหรอก” กบออกความเห็น
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น พรุ่งนี้ไปถามไก่กันมั้ยหละ แต่ฉันกลัวงู” กระรอกทำท่ากลัว "ฉันก็เหมือนกัน" กบนึกถึงตอนที่เจ้าคางคกโดนงูกิน
วันต่อมามานะกับมานีหายจากอาการบาดเจ็บแล้วจึงเล่น จับแพะชนแกะ กัน เสร็จแล้วก็แข่ง เข็นครกขึ้นภูเขา กันต่อ
เจ้ากบกับเจ้ากระรอกเดินไปหาแม่ไก่เพื่อจะถามว่ามีนมไหม
“แม่ไก่จ๋า ฉันเป็น กบเกิดใต้บัวบาน มาเห็นเจ้าซึ่งงดงามจริง ๆ แม้คนก็สู้เจ้าไม่ได้เลย” เจ้ากบแกล้งพูดชื่นชม
“แน่นอนอยู่แล้ว ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง ฉันสวยตามธรรมชาติจ๊ะ” ไก่ตอบอย่างภาคภูมิใจ
“จริงหรือไม่ที่เขาว่ากันว่า ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ หนะจ๊ะ” เจ้ากบถามแบบอาย ๆ
“ไม่มีหรอก พวกคนเขาเปรียบเทียบเป็นสำนวนสุภาษิตหมายถึง ต่างฝ่ายต่างรู้ความลับของกันและกัน จ๊ะ” ไก่ตอบอย่างผู้รู้ที่ อาบน้ำร้อนมาก่อน
ทันใดนั้นไก่ก็ร้องเสียงดัง “กระต๊าก ๆ ๆ ๆ” หมาหยอกไก่ อีกแล้ว
“วันพระไม่มีหนเดียว คราวหน้าค่อยไปละกัน” มานะพูดกับมานี ปกติทั้งสองคนจะ ไปวัดไปวาได้ ก็วันพระเพื่อไป ทำบุญ ตักบาตรอย่าถามพระ ปิดทองหลังพระ ปล่อยนกปล่อยกา ปล่อยปลาลงน้ำ แต่มีคนใจร้ายบางคนที่เลี้ยงหมูแล้ว ดินพอกหางหมู ก็มักเอาหมู ตัดหางปล่อยวัด ให้วัดเลี้ยงแทน
ที่ไม่ไปวัดเพราะเมื่อวานนี้ วัวหายล้อมคอก และเอา วัวพันหลัก ไว้ วันนี้มานะกับมานีจึงจะไปแจ้งตำรวจเพราะนอกจากโจรได้ขโมยวัวแล้ว วัวบางตัวโดนทำร้ายจนเป็น วัวสันหลังหวะ ด้วย
กบกับกระรอกที่สังเกตการณ์อยู่ในโพรงรู้ว่าเป็นฝีมือของใคร
“ป่านนี้ เสือนอนกิน วัวสบายไปเลยนะ” กบพูด
“กินอิ่มก็เป็น เสือเฒ่าจำศีล” กระรอก ปอกกล้วยเข้าปาก กินไปด้วยคุยไปด้วย
“แถวนี้ บ้านนอกคอกนา สัตว์ป่าดุร้ายมากมาย” กบบอกกระรอกเพื่อให้ระวังตัว
“บ้านเคยอยู่ อู่เคยนอน ของฉันเมื่อก่อนอยู่ในเมือง แต่เจ้านายฉันเบื่อเลี้ยงสัตว์ เลยเอาฉันมาปล่อยให้ บุกป่าฝ่าดง อย่างนี้หละ” กระรอกรู้สึกน้อยใจในโชคชะตา น้ำตาไหลออกมาจึงเอา น้ำตาเช็ดหัวเข่า กบเห็นเพื่อนร้องไห้จึง น้ำตาตกใน ไม่แสดงออกให้กระรอกเห็น
ข้างนอกลมพัดแรง ดอกพิกุลร่วง มากมาย พายุฝนกำลังจะมา กระต่ายตื่นตูม จึงรีบวิ่งลงหลุม กาหลงรัง บางตัวบินกลับรังไม่ถูก มดแดงแฝงพวงมะม่วง จำนวนมากขนไข่ของตนเองย้ายที่ จมูกมด คงได้กลิ่นฝนกระมัง
ไม่นานนักฝนก็ตกกระหน่ำลงมาอย่างหนักและยาวนาน
“ถ้าฝนตกจน น้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง ฉันจะไปเก็บผักบุ้งมาจิ้มกับ น้ำพริกถ้วยเก่า” มานีหยิบ ผักต้มขนมยำ กินไปด้วยพูดกับมานะไปด้วย
“น้ำขึ้นให้รีบตัก ฉันจะไปจับปลา แต่รอฝนหยุดก่อน”
“ใช่ ถ้าตากฝนแล้วจะเป็นไข้ไม่สบาย เดี๋ยวต้องกิน ยาหม้อใหญ่ อีก ฮ่า ๆๆๆๆ”
“อ๊บ ๆ ๆ ๆ ๆ” กบออกไปนอกโพรงกระรอกแล้วร้องเสียงดัง
“กบเอยทำไมจึงร้อง กบเอยทำไมจึงร้อง” กระรอกถามกบ
“จำเป็นต้องร้องเพราะว่าท้องมันปวด ล้อเล่นนะ มันเย็นสบายดีฉันก็เลยมาตากฝนร้องเพลงงัยหละ” กบที่ตัวเปียกตอบอย่างมีความสุข
และแล้วฝนก็หยุดตก สัตว์ต่าง ๆ ออกมาหาอาหาร มานะใช้ไม้ยาว ๆ ทอดสะพาน ตามทางที่น้ำท่วมไว้เพื่อเป็นทางเดิน มานะออกไปจับปลา มานีไปเก็บผักบุ้ง ส่วนกบกับกระรอกก็ช่วยกันหาอาหารในบ้านของมานะมานีเพื่อไปเก็บในโพรงของพวกมันเอง ดังสุภาษิตที่ว่า แมวไม่อยู่ หนูร่าเริง
จบ.