£££ มองภาพใหญ่ นี่คือ การย่อ ก่อนเป็นขาขึ้นรอบใหญ่ น่ะนะ

กระทู้คำถาม
รอบนี้ Nasdaq SP500 เริ่มหักหัวลงกระแทกจาก ATH 13.9 และ 8.3% ตามลำดับ แต่สถานการณ์มันช่างกดดันเสียกระไร (ถ้าหากมองแบบ short-term view)

การเกิด multiple compression รอบนี้ เตือนใจ นลท.ไทยที่ไป US ได้ดีว่า บทมันจะลงมันเอาตาย ซึ่งรอบนี้ ถ้าตัด BIG7 ออก แต่ละตัวจัดหนัก ระดับ 45-80% กันหมดแล้ว ซึ่งไม่ต่างจาก dotcom burst

Ok ภาพสั้นๆ มันอาจชวนเศร้าหมอง วีคหน้า น่าจะกระแทกอีก เพราะ big tech ออกงบ ซึ่งแนวโน้มสูงที่จะเจอ เท อีกรอบ (เราอาจเจอการ margin call แน่ๆ) ประกอบกับ FOMC วันพุธ

เราอาจเห็นการย่อไปอีก 10-15% ในรอบนี้

แต่ ถ้าถอยออกมามอง ภาพใหญ่ ในยุคปั 2022 ยุค digital transformation นี้ โดยส่วนตัวมองว่า 

=> เดี๋ยวทุกอย่างมันก้อผ่านพ้นไปได้ โควิด แทบเป็นแทบตายมันก้อผ่านมาได้ กะแค่เงินเฟ้อ เดี๋ยวก็สามารถจัดการได้ และผมยังเชื่อว่า นี่คือการปรับฐานก่อนเป็นขาขึ้นรอบใหญ่ เหมือนเอาการย่อ ปลายปี 2015 กับ ปลายปี 2018 มายำกัน ละ x 0.75 อิอิ

ปัญหาของรอบนี้ คือการที่ FED อัด QE ออกมามหาศาล จนงบดุลโป่งไป 10 trillion มันทำให้ทรัพย์สินทางเลือก โป่งแบบฟองสบู่ในรอบสองปีที่ผ่านมา
1. คริปโต ซึ่งพอเข้าใจได้ แต่ dogcoin ที่ไม่มีการใช้ใดๆ มีมูลค่าระดับนั้นได้ไง
2. หุ้น growth ที่ไม่มีกำไรปั่นกันไป P/S 50-200 บ้าบอมาก
3. JPEG/TIF ขายกันใน opensea หลัก millions

ทั้งสามข้อก็บ่งชี้แล้วว่าเงินที่ FED อัดลงมาทำให้เกิดฟองสบู่ไม่นับ real economy injection ผ่าน wallet ต่างๆ ของ รบ.

ปัญหาคือ FED ตอนนี้ กลับลำช้าเกินไป เพราะเงินมันเฟ้อเยอะมาก เกินที่จะเปน transitory อยู่ดีๆ จะแตะเบรก เบรกไม่พอ จะถอดล้ออีก

ดังนั้นถ้าใช้ assumption นี้ เราอาจจะได้เห็นกอง arkk ไปที่ 40 usd ก่อนโควิด,  btc ไปอยู่ช่วง 20000 ก็เป็นได้

แต่ผมอยากมองแง่ดีว่า 2022 onwards มันคือโลกใหม่แล้ว

มีแต่คนบอก เราจะพังแบบปี 1970+ dotcom burst 1999 แต่ผมมองแง่ดีว่ามันไม่ใช่

ผลของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในช่วง 12-13 ปีที่ผ่านมาทำให้เกิดแบบที่ cathie wood ว่าไว้ คือ deflation (ใครจะด่าแม่ยังไงแต่เเม่ถูกนะเรื่องนี้) ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เราเห็นเงินเฟ้อต่ำมาอย่างยาวนาน เอาเปนว่า ต่ำมาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา 
 
ทุกวันนี้เรามีมือถือเครื่องเดียว/ ipad ในราคาไม่ถึงหมื่นสองหมื่น คอมหนึ่งเครื่อง เราทำได้เกือบทุกอย่างที่ในยุค 2007-2008 (ผมชอบอิง 2007-2008 เพราะนั่นคือช่วง smartphone กำลังเกิด)

เราต้องเสียเวลาเสียเงินเปนวันๆ  ในการทำให้เกิด กิจกรรมทาง ศก. แต่ตอนนี้ เราไม่ต้องเสียเงินกับค่า taxi ไปแบงค์ ไม่ต้องเสียค่าโอนเงิน ความสุขราคาถูกเกิดขึ้นได้มากมาย ดู YouTube (ทนดู advertisment หน่อยถ้าไม่อยากจ่าย) เล่นเกมส์ฟรี social ก็ฟรี (ดูเพื่อนอวดรถหรู บ้านหรูกันไป) สั่งของจาก shopee ก้อถูก เข้ามาอ่านพันทิปยังฟรี อิอิ ฯลฯ ประกอบกับ การเกิดขึ้นของ Gen Y ที่ไม่ทนกับความกดดันในชีวิตที่ทำงาน มากเกินไป [ส่วนนึงได้มรดกมหาศาลจากพ่อแม่ baby boomer ด้วย] บวกกับโควิด ทำให้ มีงานล้นเหลือมากในระบบของเมกา งานที่เป็น blue collar job ว่างล้นเหลือ ทำให้ค่าแรงปรับขึ้น...แหม่มันสอดรับกับ robotic process automation ที่จะมาเหลือเกินในอนาคต อิอิ
 
=>  inflation ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ เป็นผลจาก supply (semiconductor shortage, การขนส่ง และ greenflation) ซึ่งผมมองว่า มันแก้ได้  ดังนั้นผมเชื่อว่า โลกใหม่ของเรานี้จะไม่เหมือนเดิมเหมือนยุคเงินเฟ้อ  1970s energy crisis อีกแล้ว 

ผมว่านี่คือ ขาขึ้นรอบใหม่ของ ศก.โลก ถ้าเรามองในภาพยาวๆ เอาภาพจาก fidelity มาฝากครับ

แต่ถ้ารอบนี้ซวยเป็น recession (ถ้าเกิดเป็นรอบที่ 4 ใน 15 ครั้ง) ก็อย่าด่าผมนะ เพราะผมก็แมงเม่าผิดได้ แต่คิดว่าไม่น่าซวยขนาดนั้น
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่