อยุธยา เรารู้จักกันตอน 6 ขวบ แต่ออกเดินทางมาเจอกันในปีที่ 26


“เรารู้จักกันตั้งแต่ ป.1 จนถึงวันนี้ ที่เราเป็นเพื่อนกันมา 20 ปี แต่เรายังไม่เคยได้ออกเดินทางไกลร่วมกันสักครั้งหนึ่งเลยวะ”
.
ผมมีเพื่อนสนิทที่สุดในชีวิตคนหนึ่ง เรารู้จักกันตอน ป.1 แต่มาสนิทกันตอนจบ ป.6 เราเรียนมัธยมต้น ปวช. มาด้วยกัน หลังจากนั้นผมและเพื่อนคนนี้ต่างแยกย้ายไปใช้ชีวิตตามทางเดินของตัวเอง แต่พวกเราก็ยังติดต่อกันตามแต่โอกาสจะอำนวย แต่ไม่เคยมีสักครั้งเลย ที่เราจะได้ออกเดินทางไกลด้วยกัน จนกระทั่งความเฮงซวยของชีวิต มันพาพัดให้เราต้องเผชิญกับมรสุมครั้งแล้วครั้งเล่า เราต่างโดนซัดสะบักสะบอมจนแทบเอาตัวไม่รอด แต่ก็รอดมากันได้มาจนถึงวันนี้ ที่อยู่ดีๆ เพื่อนผมมันก็ทักขึ้นมาเฉยๆ ว่า
.
“เห้ย เรานั่งรถไฟไปเที่ยวกันดีกว่า”
“เออ เอาดิ อยากไปไหนบอกมา”
“อยุธยา…”
.
อยุธยา…งั้นหรอ มันดูเป็นจังหวัดที่ไม่ค่อย Cool เท่าไหร่เลยวะ สำหรับชายนักเดินทางเช่นผม แต่ก็นับว่าเป็นการเดินทางด้วยรถไฟครั้งแรกของเพื่อนผม และถ้าหากทริปนี้เราเพียงแค่อยากไปไหนก็ได้ที่ได้เที่ยวกับเพื่อน ฉะนั้นอยุธยาก็อยุธยาวะ..
ไป…ลุย

.
“ต้องตื่นก่อนแปดโมงนะโว้ยยย รถไฟออกเก้าโมงครึ่ง”
ผมกำชับเพื่อน ในคืนวันก่อนออกเดินทาง เพราะรู้นิสัยมันดีว่าชอบตื่นสาย และผมก็มั่นใจว่ามันตื่นสายแน่ๆ และตื่นสายจริงๆ เพราะเพื่อนผมมันลุกขึ้นมาตอบข้อความผมตอน 9.00 น.ของวันอาทิตย์..วันที่เรากำลังจะออกเดินทางกัน แต่ผมก็เตรียมเที่ยวรถไฟสำรองไว้ให้เฉพาะคนอย่างมันแล้วตอนเวลา 11.20 น. (แค่เวลาออกเดินทางก็ปาเข้าไปครึ่งวันแล้ว…จะเหลืออะไรให้เที่ยววะเนี้ย)
.
เรามาเจอกันที่หัวลำโพง สมาชิกร่วมเดินทางครั้งนี้มีกัน 3 คน คือ ผม เพื่อนผม และแฟนเพื่อน (ขอใช้สรรพนามตามนี้) หัวลำโพงในวันนี้คับคั่งไปด้วยผู้คนที่มาถ่ายรูป มิใช่มาเดินทาง เราซื้อตั๋วรถไฟชั้นธรรมดาไปคนละ 15 บาท เราตกลงกันว่าจะพยายามใช้จ่ายเงินในการเดินทางให้น้อยที่สุด เพราะพวกเราตอนนี้ต่างตกอยู่ในช่วงเวลากระเป๋าแฟบ
.
การได้พาคนอื่นทำอะไรสักอย่างที่เขาไม่เคยทำ เป็นความรู้สึกพิเศษ ยิ่งถ้าสิ่งนั้นทำให้เขารู้สึกดีหรือตื่นเต้นด้วยแล้ว การนั่งรถไฟครั้งนี้ก็คงเป็นอย่างนั้น เมื่อเพื่อนผมและแฟนเพื่อน ดูจะมีความสุขไม่น้อยจากการเห็นวิวสองข้างทางที่แตกต่างออกไปจากการนั่งรถยนต์ แม้อากาศจะร้อนไปบ้าง แต่พวกเราก็ไม่งอแง  หรือพาลทำให้บรรยากาศในทริปของพวกเราเสียไป
.

.
“ได้มานั่งรถไฟ เจอวิวแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ” เพื่อนผมกล่าวก่อนที่เราจะเดินทางมาถึงอยุธยา
“เดี๋ยวเราข้ามเรือไปฝั่งตรงข้ามกันนะ” สิ้นเสียงของผม รถไฟก็หยุดลงที่สถานีอยุธยาพอดี
ผมบอกสมาชิกร่วมทริป เพราะพวกเราไม่อยากเช่ามอเตอร์ไซต์  แต่ยังไม่ทันได้เดินข้ามถนนไปอีกฝั่ง เสียงจากลุงสามล้อก็ลอยมาแต่ไกลว่า 
.
“ไอหนุ่มเรือปิดบริการ ถ้าจะไปไหว้พระมานั่งสามล้อนี่ ลุงคิดราคาไม่แพง”
“เท่าไหร่” ผมถาม
“200 บาท แต่ถ้าจะเหมาลุงครึ่งวันลุงคิด 500” 
.
ผมหันขวับไปถามเจ้าของทริปเพื่อนของผม และคำตอบจากคนขี้งกอย่างมัน ก็ไม่ต้องเดาให้ยากว่า มันไม่ยอมจ่าย 500 บาทอยู่แล้ว
“แต่ถ้าจ่าย 200 เราจะเที่ยวได้แค่ไม่กี่ที่นะเว่ย” ผมพูดดัก
“ไม่เป็นไร เราเดินเอาก็ได้” เพื่อนผมพูดพลางให้แฟนมันเปิดแผนที่
“ 4-5 โลเอง เดินสบาย” เพื่อนผมแสดงท่าทีมั่นใจ
.

เส้นทางเดินของเราในทริปนี้
.
เอ้า…เดินก็เดิน เราตกลงให้ลุงขับสามล้อไปส่งแค่ที่วิหารมงคลบพิตร และหลังจากนั้นเราจะใช้การเดินเท้าตลอดทริป
“ลุงขอเบอร์หน่อย เดี๋ยวขากลับมารับพวกผมกลับสถานีรถไฟหน่อยนะ” ผมกำชับลุง
.
เราเอาฤกษ์เอาชัยด้วยการไปไหว้พระ โดยที่ไม่รู้ตัวกันเลยว่าเส้นทางต่อจากนี้ จะหฤโหดต่อชีวิตแค่ไหน ผมไปเสี่ยงเซียมซีได้เลข 9 ที่ดีเชียวละ 
.
ก่อนการเดินทางของจริงจะเริ่มขึ้น เราแวะกินก๋วยเตี๋ยวเรือ เป็นธรรมเนียมเมื่อไปถึงอยุธยาทั้งที ก่อนกดแผนที่ขึ้นมาดู จากจุดที่เราอยู่เพื่อเดินเท้าไปตลาดน้ำอโยธยา ระยะทาง 6 กิโลเมตร เหตุผลที่เลือกตลาดน้ำเพียงเพราะว่าเพื่อนผมมันอยากไป  และการเดินเท้าของพวกเรา 3 คน ก็ได้เริ่มต้นขึ้น
.

.
“ได้มาเดินแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ ได้เห็นอะไรแปลกตาดี”
เพื่อนผมพูดปลอบใจขึ้นมา เมื่อเราเดินยังไม่ถึงหนึ่งกิโลเมตร แดดยามบ่ายร้อนอย่าบอกใครเชียว เราเดินลัดเลาะริมทางมาเรื่อยๆ พลางอัพเดทชีวิตของกันและกัน หลังจากที่เราไม่ได้เจอกันมานาน  จนเวลาล่วงเลยผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมงที่เราเดินกันมา
.
“เหลืออีกกี่กิโลวะ” เพื่อนผมพูดไปหอบไป
“อีก 4 โล” ผมบอกไปพร้อมชี้ไปที่ท่ารถตู้กลับกรุงเทพ เผื่อเพื่อนร่วมทางทั้งสองจะเปลี่ยนใจ
“เอาเว่ยเดินไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ถึง แค่สี่กิโลเอง” เพื่อนผมยังทำใจดีสู้เสือ
.
เหลือบดูนาฬิกาตอนนี้เป็นเวลา สี่โมงเย็นกว่าๆ แล้ว เรายังเดินไม่ถึงสะพานข้ามแม่น้ำ เพื่อข้ามไปอีกฝั่งเลย แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่ยังไม่มีใครถอดใจไปซะก่อน จนผมพูดขึ้นว่า
“ให้กูโบกรถไหน เนี้ยติดรถกระบะให้เขาไปส่งเราตรงสะพานข้ามแม่น้ำก็ยังดี”
.
ผมเล่าให้เพื่อนผมฟังว่าสมัยก่อนมักชอบโบกรถเที่ยวสนุกดี แต่เพื่อนผมมันก็เขินอายเกินกว่าจะกล้าโบก และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่รถสองแถวคันหนึ่งวิ่งโผล่มาพอดี ตาแมวของผมไม่ยอมให้คลาดสายตาไปได้ รีบวิ่งกระโจนไปโบกให้รถจอด
.

.
“พี่ๆ ผมจะไปตลาดน้ำ รถพี่ผ่านไหม”
“ไม่ผ่านๆ ไม่มีรถที่ไหนผ่านหรอก” คนขับพูดเสียงดุ
“แล้วพอผ่านใกล้ๆ ไหม ขอติดไปลงใกล้ๆ ตลาดน้ำพอได้ไหม”
“ผ่านแค่เจดีย์ จะไปก็รีบขึ้นมา เร็ว เสียเวลาคนอื่น” คนขับเริ่มมีน้ำโห
“ผ่านเจดีย์แล้วไปทางไหนต่ออะพี่”
“เออ จะไปไหม ถ้าไม่ไปก็ไม่ต้องขึ้น”
“ขึ้นก็ได้พี่ขึ้น” พูดจบผมนี่ขึ้น !!! เลย
.
ผมตะโกนเรียกพรรคพวกให้ขึ้นรถ เราคุยกันถึงแผนการเดินหลังลงรถ จนไปเข้าหูป้าอยุธยาคนหนึ่ง
“พวกหนูจะไปตลาดน้ำกันเหรอ เดินมาจากไหนกันละเนี้ย”
“ใช่ครับป้า เดินทางจากนู้นละครับ อุทยานฯ เอาตรงๆ เลยนะป้างบน้อยเลยเดินกัน” ผมพูดพร้อมเสียงหัวเราะตามประสาคนคุ้นเคยกับคน
“ป้าพอรู้ไหมครับว่าพวกผมต้องลงตรงไหน และเดินไปทางไหนต่อ” เพื่อนผมถามป้า
“เดี๋ยวพวกหนูเห็นเจดีย์ตรงวงเวียนแล้วลงตรงนั้นนะ จากนั้นก็เดินไปอีกไม่ไกลก็ถึงแล้ว” ป้าแกบอกส่งท้ายก่อนลงรถ
.

.
ไม่รู้ว่าเพื่อนผมคิดอย่างไรกับการเดินครั้งนี้ แต่สำหรับผมนี่แหละมันคือสิ่งที่ผมชอบจากการเดินทางเช่นนี้ การได้พูดคุยกับคนโดยบังเอิญ และผมก็คิดว่ามันคงชอบนะ คงต้องดูหลังจากนี้ว่ามันจะมีทริปต่อไปไหม ฮ่าๆ
.
หลังจากเราลงรถ Map แจ้งว่าเราเหลือระยะทางอีก 1 กิโลเมตร เท่ากับว่ารถสองแถวช่วยประหยัดเส้นทางไปได้เกือบ 3-4 กิโลเมตร เราเดินกันไปเรื่อยๆ แสงพระอาทิตย์เริ่มกลายเป็นสีส้มแล้ว บรรยากาศการเดินเริ่มเย็นสบายขึ้น เราแวะพักกินเฉาก๊วยกันระหว่างทาง
.
ดูเหมือนว่าตอนนี้ เพื่อนผมจะเริ่มสนุกกับการได้พูดคุยกับคนข้างทาง เราคุยกับป้าเฉาก๊วยอยู่นานสองนาน จนต้องรีบออกเดินทาง เพราะป้าบอกว่าตลาดมันใกล้จะปิดแล้ว สำหรับผมตลาดมันไม่มีความหมายอะไรแล้วในวันนี้ เส้นทางที่ผ่านมามันคุ้มค่าแล้วละ สำหรับการเดินทางวันนี้
.
เราถึงตลาดน้ำอโยธยากันตอน 5 โมงเย็น ยังมีของขายบางตา ที่จริงแล้วตลาดน้ำแห่งนี้ก็ท่าไม่ค่อยจะดีตั้งแต่ช่วงก่อนโควิดแล้ว มาเจอโควิดซ้ำเติมอีกแย่ไปกันใหญ่ เราแวะกินข้าวเย็น นั่งพักอยู่ริมคลองให้หายเหนื่อย หายเมื่อย และพูดคุยกันตามประสาเพื่อนสนิท
.
“บรรยากาศดีเนอะตอนเย็นๆ กูชอบบรรยากาศแบบนี้จัง อยู่แต่ในเมืองไม่เคยได้สัมผัสอะไรแบบนี้เลย” เพื่อนผมกล่าว
“ไว้ครั้งหน้าไปเที่ยวกับกูอีกสิ ยังมีอีกหลายที่เลยที่บรรยากาศดีกว่านี้…แต่มันไกลหน่อยนะ” ผมตอบรับ
.

.
เวลาเกือบหกโมงเย็นแล้ว เราต้องรีบเตรียมตัวกลับสถานีรถไฟ เราจะกลับรถรอบ 18.45 น. แต่ แต่ แต่ คนขับสามล้อปิดเครื่องมือถือติดต่อไม่ได้…(ลุงสามล้อเทผม ไม่เหมือนตอนที่อยากได้ผมเป็นลูกค้าเลย หยอกเย้า )
.
“จะไปไหนกันเหรอ” ป้านิรนามปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง
“จะหาทางกลับสถานีรถไฟครับป้า” เพื่อนผมบอก
“เอางี้สิ นั่งวินไปก็ได้ หรือไม่ก็หาสามล้อไป คงจะประมาณร้อยถึงสองร้อยละ” ป้าแนะนำ
“เดินไปได้ไหมป้า ผมอยากชมบรรยากาศ” ผมถามป้า
“งั้นหนูคงต้องค้างคืนอยุธยาแล้วละถ้าจะเดินไป”
.
หลังจากป้าให้คำแนะนำ เราก็คิดว่าสามล้อว่าจะง่ายและราคาถูกที่สุด และเราก็ไปเห็นสามล้อสีชมพูจื๊ดคันหนึ่ง คนขับจอดซื้อข้าวมันไก่อยู่
“เพ่ ไปสถานีรถไฟ ร้อยนึงไปไหม” ผมโยนหินถามทาง
“ไป รอพี่สั่งข้าวแปป” คนขับตอบ
.
แล้วรถสามล้อก็ค่อยๆ เคลื่อน ซิกแซกตามซอยแล้วซอยเล่า บรรยากาศยามเย็นของต่างจังหวัด ดีอย่างที่เพื่อนผมมันว่าจริงๆ แหละ สงบ ไม่วุ่นวาย อากาศเย็น ช่วงเวลาแบบนี้มันคงเหมาะสำหรับการพักผ่อนของมนุษย์อย่างเรา มากกว่าสภาพแวดล้อมเวลาอยู่กรุงเทพฯ จริงๆ นะ และเชื่อป้าแล้วว่าถ้าเดินเย็นนี้คงไม่ถึง
.

.
เราถึงสถานีรถไฟ ด้วยสภาพโรยราด้วยกันทั้งสามคน ถือโอกาสแวะกินข้าวร้านใกล้ๆ สถานีรถไฟตอน 18.30 น. และห่าเอ๋ยยย กับข้าวดันโคตรอร่อย เพื่อนผมมันอยากสั่งกลับไปกินที่ห้องพักมัน
.
“ไอบ้าาา ผัดกะเพราไปหาซื้อที่ไหนก็ได้ไหมวะ จะแบกกลับไปทำไม”
“มันไม่เหมือนกันโว้ยย ร้านนี้เขาอร่อยจริงๆ”
“แต่รถไฟมันจะมาแล้ว ถ้าพลาดเที่ยวนี้ ไม่ได้กลับแน่คืนนี้” ผมเตือนด้วยความเป็นคนขี้กังวล ทั้งที่รู้ดีว่ารถไฟมักจะมาช้ากว่าเวลาเสมอ
.
18.43 น. เราเดินกลับมาถึงสถานีรถไฟ พร้อมสีหน้าที่แอบเซ็งของเพื่อนผมที่อดสั่งผัดกะเพรากลับบ้าน 
“กูคิดว่ารถไฟมันอาจมาช้า จะกลับไปสั่งป้าแกอีกรอบไหม” ผมบอกเพราะเห็นเพื่อนมันคงอยากกินจริงๆ
“ปกติมันช้ากี่นาทีวะ”
“ก็ห้านาที สิบนาที ครึ่งชั่วโมงเป็นเรื่องปกติ” ผมอ้างอิงจาก ปสก.
“เอาไงดี” เพื่อนผมหันไปปรึกษาแฟน
.
และก็ได้คำตอบว่ามันตัดใจจากผัดกะเพรา เป็นเวลาไล่เลี่ยกันกับที่รถไฟเข้าสถานี พระเจ้า! รถไฟมาตรงเวลา เรื่องเหลือเชื่อของวันนี้  เราขึ้นรถไฟ ตอนนี้สองข้างทางมืดหมดแล้ว
.

.
“น่าเสียดายเนอะ อดชมวิวสองข้างทางเลยวะ” เพื่อนผมบ่น
แต่สำหรับผมไม่เป็นไรหรอก เพราะระหว่างทางกลับบ้าน วันนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายระหว่างวัน มีอะไรให้คิดถึงเยอะเยะเต็มไปหมด พร้อมบอกตัวเองแต่ไม่ได้บอกเพื่อนออกไปว่า 
.
หลังจบทริป เราคงต้องกลับไปต่อสู้กับชีวิตตามทางเดินของพวกเราอีกครั้ง แม้จะเป็นชีวิตผู้ใหญ่ ที่พวกเราไม่ได้มีเวลามาบ้าด้วยกัน มานั่งสอบซ่อมจากการติด 0 นับสิบตัวสมัยมัธยม เมาเหล้าอยู่ด้วยกันแบบข้ามวันข้ามคืน ทำเรื่องบ้าๆ บอๆ ไร้สาระ เหมือนตอนวัยรุ่น เราคงไม่มีทางย้อนช่วงเวลาเหล่านั้นกลับมาใช้ร่วมกันอีกได้ ก็วันนี้เราโตเป็นผู้ใหญ่กันแล้วนี่เนอะ 
แต่ไม่ว่าอย่างไร มีเวลาเมื่อไหร่ เราจะกลับมาเที่ยว มาแชร์เวลาชีวิตของผู้ใหญ่ที่ยิ้มโคตรจะเหลือน้อยนิดด้วยกันอีก กับเพื่อนบางคนถ้าได้เป็นเพื่อนกันแล้ว มันคงต้องเป็นเพื่อนกันไปจนตายจริงๆ นั่นแหละวะ…
.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่