หยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ มันเลยเป็นคำว่า "กลับบ้านกันเถอะ" และ "โชคดีนะเพื่อน" เมื่อสัมพันธ์ที่มีมันไม่ได้มาในเวลาที่ใช้ วันนี้ภัทรกับปราณ เอาเข้าจริงยังวัยเยาว์นัก ปราณเป็นลูกคนเดียว และ วันเวลาที่อยู่กับลุงต๋ง ก็ทำให้ปราณมองในมุมของคนเป็นพ่อเป็นแม่ ในมุมของครอบครัวมากขึ้น เหมือนกับภัทร ถูกเลี้ยงมาโดยไม่ต้องยอมใคร ใส่เต็มได้ทุกเรื่อง แต่ในอีกทางภัทรก็เป็นเด็กดีของพ่อแม่ ห่วงใยความรู้สึกของพ่อ แม้ช่วงเวลาที่ความโกรธปะทุขึ้น คนเป็นลูกน่ะนะ ลูกชายเดียว ย่อมรู้ว่าความรู้สึกของพ่อเป็นยังไง ส่วนฝั่งปราณเมื่อเวลาผ่านไปคิดดูแล้ว ก็คงเข้าใจความเจ็บของคนเป็นแม่เหมือนกัน
ก่อนจะมามีแต่ความสับสน และ แตกสลาย ทำไมเป็นเราที่ต้องมาแบกรับและเจออะไรพวกนี้ ปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นมาจากภัทรและปราณเลยแม้แต่น้อย แต่ผลกระทบของมันกลับฟาดกลับมาอย่างใหญ่หลวง ผ่านอะไรกันมาเยอะ ร้อนหนาว ทุกข์สุข ตั้งแต่ความรู้สึกของตัวเอง สังคมเพื่อนที่อยู่แวดล้อม จนกระทั่งมาถึงเรื่องครอบครัว ความสัมพันธ์ของภัทรและปราณดีงามจนวินาทีสุดท้าย ยังตรงไปตรงมา ยังคงห่วงใยความรู้สึกของกันและกัน และ ยังคงเข้าใจกันและกันแม้จะไม่มีคำพูด
เวลาผ่านไปภัทรกับปราณน่าจะรู้อยู่แล้ว ว่าด่านนี้ และ ในเวลานี้ "เรา" คงผ่านมันไปไม่ได้ ความดึงดันรังทแต่จะทำให้ทุกอย่างมันแย่ลง เหมือนเป็นการเพิ่มรอยแผลให้บุพการี แน่นอนมันก็ยังไม่ใช่เรื่องที่ทั้งคู่ควรจะต้องแบกรับ นอกจากคนรัก แต่พ่อแม่ก็เป็นคนที่เรา "รัก" เช่นกัน อายุ วุฒิภาวะ สถานะ ไม่มีความสามารถใดที่เด็กวัยเท่านี้จะออกจากปัญหาได้เลย เรื่องราวของรุ่นพ่อแม่จบลงอย่างไม่เผาผีไปแล้ว อย่างน้อยภัทรก็เห็นด้วยตา แล้วจะมีอะไรที่พอจะบรรเทาเบาบางมันลงไปได้
จริง ๆ ภัทรรู้ เหมือนที่ปราณรู้ ถ้าภัทรไม่ปล่อยมือปราณก็ไม่ยอมเหมือนกัน การโต้เถียงตอนที่ภัทรบอกว่าจะไปทำงานเสิร์ฟตอนนั้น ปราณง้อและยังหาเสื้อมาให้อีกด้วย เท่านี้ภัทรก็รู้แล้วไม่ว่าจะมีอะไรปราณก็ยินดีที่จะต่อสู้ไปด้วยกัน ถ้าเขาไม่เริ่มปราณก็ไม่เริ่ม แม้คบหากันมาไม่นานแต่รู้จักกันมานานปี เกือบตลอดชีวิตของกันและกัน มองตาก็รู้ ไม่พูดก็เข้าใจ สถานการณ์ทางบ้านตัวเองจะเป็นยังไง สถานการณ์ในบ้านของปราณจะเป็นยังไง
ถ้าแม่ปราณเสียใจ ปราณเองก็คงเสียใจมากเหมือนกัน แล้วถ้าพ่อภัทรผิดหวัง ภัทรเองก็ไม่สบายใจเช่นเดียวกัน ความสุขที่มีก็สุขไม่สุด สุขอยู่บนความทุกข์ของใครหลายคน มันยิ่งกว่าการหลบซ่อนเสียอีก หยิกลงไปในเล็บมันก็เจ็บที่เนื้อแบบนี้ ยิ่งเวลาผ่านไป ทั้งคู่ก็รู้แบบไม่ต้องมาพูดกันว่าปลายทางมันต้องไปสุดที่ไหน แต่มันก็ไม่เหมือนกับที่ปราณว่าเสียทีเดียว "ถ้ารู้ว่าจะจบยังไงไม่ต้องเริ่มดีกว่าไหม " ใช่ ปราณเคยพูดแบบนั้น และ ปราณเองก็รู้ว่าวันไหนวันหนึ่งมันจะต้องเกิดขึ้น ส่วนภัทรเองคงเพิ่งเข้าใจว่าทำไมปราณถึงพูดแบบนั้น
แต่ถึงการจบในครั้งนี้ มันไม่ได้หมายความว่าเราไม่รักกัน ไม่ได้หมายความว่าเราเข้ากันไม่ได้ แต่มันเป็นความหมายว่าวันหนึ่งเมื่อถึงเวลาที่ใช่ เรายังมีความหวังว่าโลกจะยังเหวี่ยงเรามาเจอกันในซักวัน ไม่ว่าโลกนี้จะเป็นยังไง มีมุมมองกับเราแบบไหน แต่ถ้าเรายังมั่นคงในความเป็นตัวเรา และ มั่นคงในความรู้สึกที่เรามี ตอนไหนเมื่อไหร่ ก็ไม่สำคัญ "รัก" จะไม่เลือนหายไปหากเราแข็งแกร่งพอ คำว่ากลับบ้าน และ โชคดีนะ จึงไม่ใช่คำอำลา แต่เป็นจากไปเพื่อเริ่มต้น เตรียมพร้อมเมื่อวันเวลาที่ "ใช่" นั้นมาถึง
ครั้งหนึ่งที่อริสโตเติลเคยกล่าวถึงลูกศิษย์ของเขาทั้งสองได้แก่อเล็กซานเดอร์ และ เฮฟีสเทียนว่า
"one soul abiding in two bodies"
ไม่ต่างอะไรกับ ณภัทร และ ปารกุล

Like Hephaestion, who died Alexander's lover, now my riverbed has dried
Shall I find no other?
แค่เพื่อนครับเพื่อน BAD BUDDY SERIES (กึ่งรีวิว) : Alexander and Hephaestion
ก่อนจะมามีแต่ความสับสน และ แตกสลาย ทำไมเป็นเราที่ต้องมาแบกรับและเจออะไรพวกนี้ ปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นมาจากภัทรและปราณเลยแม้แต่น้อย แต่ผลกระทบของมันกลับฟาดกลับมาอย่างใหญ่หลวง ผ่านอะไรกันมาเยอะ ร้อนหนาว ทุกข์สุข ตั้งแต่ความรู้สึกของตัวเอง สังคมเพื่อนที่อยู่แวดล้อม จนกระทั่งมาถึงเรื่องครอบครัว ความสัมพันธ์ของภัทรและปราณดีงามจนวินาทีสุดท้าย ยังตรงไปตรงมา ยังคงห่วงใยความรู้สึกของกันและกัน และ ยังคงเข้าใจกันและกันแม้จะไม่มีคำพูด
เวลาผ่านไปภัทรกับปราณน่าจะรู้อยู่แล้ว ว่าด่านนี้ และ ในเวลานี้ "เรา" คงผ่านมันไปไม่ได้ ความดึงดันรังทแต่จะทำให้ทุกอย่างมันแย่ลง เหมือนเป็นการเพิ่มรอยแผลให้บุพการี แน่นอนมันก็ยังไม่ใช่เรื่องที่ทั้งคู่ควรจะต้องแบกรับ นอกจากคนรัก แต่พ่อแม่ก็เป็นคนที่เรา "รัก" เช่นกัน อายุ วุฒิภาวะ สถานะ ไม่มีความสามารถใดที่เด็กวัยเท่านี้จะออกจากปัญหาได้เลย เรื่องราวของรุ่นพ่อแม่จบลงอย่างไม่เผาผีไปแล้ว อย่างน้อยภัทรก็เห็นด้วยตา แล้วจะมีอะไรที่พอจะบรรเทาเบาบางมันลงไปได้
จริง ๆ ภัทรรู้ เหมือนที่ปราณรู้ ถ้าภัทรไม่ปล่อยมือปราณก็ไม่ยอมเหมือนกัน การโต้เถียงตอนที่ภัทรบอกว่าจะไปทำงานเสิร์ฟตอนนั้น ปราณง้อและยังหาเสื้อมาให้อีกด้วย เท่านี้ภัทรก็รู้แล้วไม่ว่าจะมีอะไรปราณก็ยินดีที่จะต่อสู้ไปด้วยกัน ถ้าเขาไม่เริ่มปราณก็ไม่เริ่ม แม้คบหากันมาไม่นานแต่รู้จักกันมานานปี เกือบตลอดชีวิตของกันและกัน มองตาก็รู้ ไม่พูดก็เข้าใจ สถานการณ์ทางบ้านตัวเองจะเป็นยังไง สถานการณ์ในบ้านของปราณจะเป็นยังไง
ถ้าแม่ปราณเสียใจ ปราณเองก็คงเสียใจมากเหมือนกัน แล้วถ้าพ่อภัทรผิดหวัง ภัทรเองก็ไม่สบายใจเช่นเดียวกัน ความสุขที่มีก็สุขไม่สุด สุขอยู่บนความทุกข์ของใครหลายคน มันยิ่งกว่าการหลบซ่อนเสียอีก หยิกลงไปในเล็บมันก็เจ็บที่เนื้อแบบนี้ ยิ่งเวลาผ่านไป ทั้งคู่ก็รู้แบบไม่ต้องมาพูดกันว่าปลายทางมันต้องไปสุดที่ไหน แต่มันก็ไม่เหมือนกับที่ปราณว่าเสียทีเดียว "ถ้ารู้ว่าจะจบยังไงไม่ต้องเริ่มดีกว่าไหม " ใช่ ปราณเคยพูดแบบนั้น และ ปราณเองก็รู้ว่าวันไหนวันหนึ่งมันจะต้องเกิดขึ้น ส่วนภัทรเองคงเพิ่งเข้าใจว่าทำไมปราณถึงพูดแบบนั้น
แต่ถึงการจบในครั้งนี้ มันไม่ได้หมายความว่าเราไม่รักกัน ไม่ได้หมายความว่าเราเข้ากันไม่ได้ แต่มันเป็นความหมายว่าวันหนึ่งเมื่อถึงเวลาที่ใช่ เรายังมีความหวังว่าโลกจะยังเหวี่ยงเรามาเจอกันในซักวัน ไม่ว่าโลกนี้จะเป็นยังไง มีมุมมองกับเราแบบไหน แต่ถ้าเรายังมั่นคงในความเป็นตัวเรา และ มั่นคงในความรู้สึกที่เรามี ตอนไหนเมื่อไหร่ ก็ไม่สำคัญ "รัก" จะไม่เลือนหายไปหากเราแข็งแกร่งพอ คำว่ากลับบ้าน และ โชคดีนะ จึงไม่ใช่คำอำลา แต่เป็นจากไปเพื่อเริ่มต้น เตรียมพร้อมเมื่อวันเวลาที่ "ใช่" นั้นมาถึง
"one soul abiding in two bodies"