หลายๆท่านคงเคยเห็นกระทู้หรือความเห็นแนววาทกรรมทำนองที่ว่า “เมื่อก่อนไทยเคยดีเด่นหลายๆอย่าง แต่ต่อมาถูกชาติอื่นแซง” คำว่าชาติอื่นที่ว่านี่ก็มีหลายๆประเทศ ซึ่งก็มีหลายๆท่านทั้งในพันทิปและที่อื่นๆได้ช่วยอธิบายให้หลายๆคนเข้าใจแล้วว่า (จขกท. เองก็ได้ข้อมูลแนวคิดจากหลายๆท่านเหล่านั้น ก็ต้องขอขอบคุณด้วยครับ) หลายประเทศที่ว่าเขาแซงนั้นความเป็นจริงไทยไม่เคยนำเขา เพียงแต่อาจเด่นกว่าในบางช่วง ทว่าช่วงหลังมานี้ไทยเองก็พัฒนามาได้เรื่อยๆช้าบ้างเร็วบ้างจนแซงหรือสูสีบางประเทศแล้ว ซึ่งก็มีหลายคนเข้าใจ ทว่าวาทกรรมนี้ก็ยังคงปรากฏอยู่ คหสต. มองว่าอาจต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าความเข้าใจที่ถูกต้องจะเป็นแนวคิดกระแสหลักของสังคมได้ และยังมองอีกว่าหากไทยสามารถแก้ไขข้อบกพร่องบางอย่างได้ ก็จะสามารถไปได้ไกลขึ้นและเร็วขึ้น
เรื่องการแก้ความเข้าใจผิดของผู้คนนี่มีคนมาตั้งกระทู้หลายกระทู้แล้ว (จขกท. ก็เป็นหนึ่งในนั้น) สามารถลองไปหาอ่านกันได้ ทว่าเรื่องที่จะมาสอบถามในวันนี้คือว่า แนวคิดที่ว่า “เมื่อก่อนไทยเคยดีเด่นหลายๆอย่าง แต่ต่อมาถูกชาติอื่นแซง” นี่มาจากไหน หรือเริ่มช่วงใดครับ คหสต. มองว่าอาจเริ่มมาตั้งแต่ช่วงสมัยก่อนที่สยามไม่เคยตกเป็นอาณานิคม และต่อมาช่วงสงครามเย็นก็ยังรักษาความสงบสุขและเสถียรภาพได้ค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ประกอบกับเศรษฐกิจบูมช่วงยุคทศวรรษที่ 1980 - 1990 ในขณะที่หลายประเทศยังไม่พ้นจากสงครามเย็น ต่อมาช่วงหลังปี 1997 ประกอบกับการที่หลายประเทศเริ่มพัฒนาเศรษฐกิจ และสื่อไทยและต่างชาติเองก็มักทำข่าว อาจทำให้คนจำนวนมากรู้สึกเช่นนั้นได้
คหสต. ไม่ว่าวาทกรรมดังกล่าวจะจริงมากหรือน้อยเพียงใดหรือเป็นเพียงวาทกรรมเชิงหวังดีอยากให้คนไทยหมั่นพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ทว่าการรณรงค์ให้คนหมั่นพัฒนาตัวเองอยู่เสมอไม่ใช่เฉพาะตอนที่กลัวใครจะมาแซง และอธิบายถึงจุดเด่นจุดด้อยของแต่ละประเทศอย่างรอบด้าน ไม่ใช่ยกแต่ด้านไม่ดีของไทยไปเทียบกับด้านไม่ดีของประเทศอื่น ถ้าทำได้สองอย่างนี้ก็น่าจะดีกว่า
เพิ่มอีกนิด ความเข้าใจผิดอีกประการคือ คนไทยจำนวนมากยังเข้าใจผิดว่าไทยเป็นประเทศที่ไม่รวยหรือไม่พัฒนานัก (ซึ่งส่วนนี้ คหสต. มองว่าเป็นเพราะการกระจายรายได้ที่ยังไม่ดีนัก ไทยยังต้องแก้ไขในส่วนนี้ต่อไป ประกอบกับบางคนไปอ่านความเห็นจากชาวต่างชาติบางคนมา ซึ่งก็ต้องยอมรับความจริงว่าหลายคนก็ไม่ได้รู้ลึกนัก ต้องส่งเสริมให้ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้าใจอย่างถูกต้องต่อไป) ต้องพึ่งพาการลงทุนจากต่างชาติ ย้ายออกไปคือจะลำบาก ต้องพึ่งพาท่องเที่ยว ความเป็นจริงคือตามเกณฑ์หลายๆเกณฑ์ ไทยอยู่ในประเทศระดับรายได้ปานกลาง (ซึ่งเป็นมาเกือบ 30 ปีแล้ว หากต้องการจะยกฐานะขึ้นเป็นรายได้สูงก็ต้องพัฒนาเศรษฐกิจนวัตกรรมให้ได้) ฐานเศรษฐกิจของไทยมีทั้งอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และท่องเที่ยว การย้ายฐานการผลิตนั้นเป็นเรื่องปกติที่เมื่อประเทศมีรายได้มากขึ้น ค่าแรงสูงขึ้น นายทุนก็ย่อมต้องหาสถานที่ใหม่ที่ทุนต่ำกว่า ตอนนี้นายทุนและสตาร์ทอัพของไทยหลายรายก็เริ่มเป็นผู้ลงทุนเองบ้างแล้ว ส่วนเรื่องท่องเที่ยวแม้จะมีสัดส่วนใน GDP อยู่ในหลักสิบ แต่ก็ไม่ได้มากจนเกือบจะเป็นส่วนใหญ่แบบที่หลายคนเข้าใจ ที่เราเห็นว่ามีผลกระทบมากเพราะมีคนจำนวนมากในอุตสาหกรรมนี้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสได้ทำงานในบริษัทหรือโรงงานใหญ่ๆเลยทำให้อุตสาหกรรมนี้มีคนจำนวนมาก
รบกวนช่วยตอบด้วยครับ ขอบคุณครับ หากมีส่วนใดที่เข้าใจผิดหรือผิดพลาดไปก็ขออภัยด้วยครับ
หมายเหตุ: กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์อื่นใดทั้งสิ้น
แนวคิดที่ว่า “เมื่อก่อนไทยเคยดีเด่นหลายๆอย่าง แต่ต่อมาถูกชาติอื่นแซง” นี่มาจากไหน
เรื่องการแก้ความเข้าใจผิดของผู้คนนี่มีคนมาตั้งกระทู้หลายกระทู้แล้ว (จขกท. ก็เป็นหนึ่งในนั้น) สามารถลองไปหาอ่านกันได้ ทว่าเรื่องที่จะมาสอบถามในวันนี้คือว่า แนวคิดที่ว่า “เมื่อก่อนไทยเคยดีเด่นหลายๆอย่าง แต่ต่อมาถูกชาติอื่นแซง” นี่มาจากไหน หรือเริ่มช่วงใดครับ คหสต. มองว่าอาจเริ่มมาตั้งแต่ช่วงสมัยก่อนที่สยามไม่เคยตกเป็นอาณานิคม และต่อมาช่วงสงครามเย็นก็ยังรักษาความสงบสุขและเสถียรภาพได้ค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ประกอบกับเศรษฐกิจบูมช่วงยุคทศวรรษที่ 1980 - 1990 ในขณะที่หลายประเทศยังไม่พ้นจากสงครามเย็น ต่อมาช่วงหลังปี 1997 ประกอบกับการที่หลายประเทศเริ่มพัฒนาเศรษฐกิจ และสื่อไทยและต่างชาติเองก็มักทำข่าว อาจทำให้คนจำนวนมากรู้สึกเช่นนั้นได้
คหสต. ไม่ว่าวาทกรรมดังกล่าวจะจริงมากหรือน้อยเพียงใดหรือเป็นเพียงวาทกรรมเชิงหวังดีอยากให้คนไทยหมั่นพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ทว่าการรณรงค์ให้คนหมั่นพัฒนาตัวเองอยู่เสมอไม่ใช่เฉพาะตอนที่กลัวใครจะมาแซง และอธิบายถึงจุดเด่นจุดด้อยของแต่ละประเทศอย่างรอบด้าน ไม่ใช่ยกแต่ด้านไม่ดีของไทยไปเทียบกับด้านไม่ดีของประเทศอื่น ถ้าทำได้สองอย่างนี้ก็น่าจะดีกว่า
เพิ่มอีกนิด ความเข้าใจผิดอีกประการคือ คนไทยจำนวนมากยังเข้าใจผิดว่าไทยเป็นประเทศที่ไม่รวยหรือไม่พัฒนานัก (ซึ่งส่วนนี้ คหสต. มองว่าเป็นเพราะการกระจายรายได้ที่ยังไม่ดีนัก ไทยยังต้องแก้ไขในส่วนนี้ต่อไป ประกอบกับบางคนไปอ่านความเห็นจากชาวต่างชาติบางคนมา ซึ่งก็ต้องยอมรับความจริงว่าหลายคนก็ไม่ได้รู้ลึกนัก ต้องส่งเสริมให้ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเข้าใจอย่างถูกต้องต่อไป) ต้องพึ่งพาการลงทุนจากต่างชาติ ย้ายออกไปคือจะลำบาก ต้องพึ่งพาท่องเที่ยว ความเป็นจริงคือตามเกณฑ์หลายๆเกณฑ์ ไทยอยู่ในประเทศระดับรายได้ปานกลาง (ซึ่งเป็นมาเกือบ 30 ปีแล้ว หากต้องการจะยกฐานะขึ้นเป็นรายได้สูงก็ต้องพัฒนาเศรษฐกิจนวัตกรรมให้ได้) ฐานเศรษฐกิจของไทยมีทั้งอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และท่องเที่ยว การย้ายฐานการผลิตนั้นเป็นเรื่องปกติที่เมื่อประเทศมีรายได้มากขึ้น ค่าแรงสูงขึ้น นายทุนก็ย่อมต้องหาสถานที่ใหม่ที่ทุนต่ำกว่า ตอนนี้นายทุนและสตาร์ทอัพของไทยหลายรายก็เริ่มเป็นผู้ลงทุนเองบ้างแล้ว ส่วนเรื่องท่องเที่ยวแม้จะมีสัดส่วนใน GDP อยู่ในหลักสิบ แต่ก็ไม่ได้มากจนเกือบจะเป็นส่วนใหญ่แบบที่หลายคนเข้าใจ ที่เราเห็นว่ามีผลกระทบมากเพราะมีคนจำนวนมากในอุตสาหกรรมนี้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสได้ทำงานในบริษัทหรือโรงงานใหญ่ๆเลยทำให้อุตสาหกรรมนี้มีคนจำนวนมาก
รบกวนช่วยตอบด้วยครับ ขอบคุณครับ หากมีส่วนใดที่เข้าใจผิดหรือผิดพลาดไปก็ขออภัยด้วยครับ
หมายเหตุ: กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ ไม่ได้มีวัตถุประสงค์อื่นใดทั้งสิ้น