เด็กจบใหม่ 4.9 แสนคน เสี่ยงตกงานสูง โควิดพ่นพิษ จ้างงานซึมยาว
https://ch3plus.com/news/category/273216
การแพร่ระบาดของโควิด โอมิครอน กระทบการจ้างงานในปีนี้ ให้อยู่ในภาวะซึมยาว จับตาเด็กจบใหม่เกือบ 5 แสนคน เสี่ยงตกงาน
นาย
ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างฯ หรือ อีคอนไทย กล่าวว่า การจ้างงานในปีนี้จะอยู่ในภาวะซึมยาว ซึ่งอาจไม่ถึงขั้นต้องปลดคนงาน แต่ธุรกิจจะยังไม่จ้างงานเพิ่ม โดยเฉพาะธุรกิจภาคบริการ ที่เคยคาดว่าจะฟื้นตัว หลังเปิดประเทศ ก็ยังชะลอ เพราะโอมิครอน ทำให้แรงงานในกลุ่มนี้ กว่า 3 ล้านคน อาจตกงานยาว
ที่น่าเป็นห่วง คือ กลุ่มเด็กจบใหม่ที่กำลังจะเข้าตลาดแรงงานอีกกว่า 490,000 คน โดยเฉพาะในสายงานที่ตลาดมีความต้องการน้อย เช่น เศรษฐศาสตร์ , รัฐศาสตร์ , สังคมศาสตร์ , นิเทศศาสตร์ , สถิติ และสายบริหารจัดการ เป็นกลุ่มที่เสี่ยงตกงานสูง เนื่องจากขณะนี้ภาคธุรกิจต้องการแรงงานในกลุ่มช่าง สายอาชีวะฯ และแรงงานไร้ทักษะ มากกว่า
โดยอีคอนไทย เสนอแนะให้ภาครัฐเดินหน้ามาตรการ Co-Payment โดยใช้งบฟื้นฟูเศรษฐกิจ มาจ้างเด็กจบใหม่ ให้ทำงานวันละ 4 ชั่วโมง ก็จะช่วยได้มาก
ชมผ่านยูทูบ :
https://youtu.be/A4P6uT5vl14
ด่วน!! สธ.ยกระดับ 4 เตือนภัยโอมิครอน จ่อปิดพื้นที่เสี่ยง เวิร์กฟรอมโฮม เข้มเดินทางข้าม จว.
https://www.matichon.co.th/heading-news/news_3118053
ด่วน!! สธ.ยกระดับ 4 เตือนภัยโอมิครอน จ่อปิดพื้นที่เสี่ยง เวิร์กฟรอมโฮม เข้มเดินทางข้าม จว.
เมื่อวันที่ 6 มกราคม ที่ รพ.วชิระภูเก็ต นพ.
เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงข่าวด่วนกรณีสถานการณ์ระบาดโควิด-19 ของไทย ว่า ขณะนี้ไทยพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 5,775 ราย เพิ่มขึ้นจากเมื่อวานนี้ (5 ธ.ค.) 3,800 ราย ผู้เสียชีวิตเพิ่มใหม่ 15 ราย เป็นการระบาดเพิ่มขึ้นเข้าสู่อีกระลอกหนึ่ง
นพ.
เกียรติภูมิกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข อยากเปลี่ยนระดับการเตือน จากเดิมระดับ 3 เป็นการเตือนระดับ 4 คือมีข้อแนะนำเพิ่มขึ้น มาตรการต่างๆ คงตามมา คือ
1. อาจมีการปิดสถานที่เสี่ยง ที่ทำให้เกิดการแพร่เชื้อ มีการเพิ่มมาตรการต่างๆ ให้มากขึ้นในสถานที่เสี่ยง
2. ชะลอการเดินทางต่างๆ เช่น การทำงาน จึงอยากให้ Work from home หากไม่จำเป็นในการเดินทางข้ามจังหวัด ก็อยากให้ประชาชนชะลอไปก่อน
3. การจำกัดการรวมกลุ่มทำกิจกรรมต่างๆ ต้องมีมาตรการเคร่งครัดมากขึ้น รวมกลุ่มให้ลดลง ไม่ให้แพร่เชื้อ
และ 4. ปฏิบัติตามมาตรการ VUCA คือ Vaccine-Universal Prevention-Covid-19 free setting และ ATK
นพ.
เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า สรุปสถานการณ์สั้นๆ ว่า ผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิตลดลง แต่การติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด ด้วยการเข้าใช้บริการสถานที่ระบบปิดในร้านอาหารกึ่งผับบาร์ มีกิจกรรมงานเลี้ยง งานบุญทางศาสนาที่อาจจะมีการระวังไม่เพียงพอ จึงทำให้การระบาด การเดินทางต่างๆ ก็มีผลต่อการแพร่กระจายเชื้อ อยากให้ประชาชนที่กลับมาจากต่างจังหวัดได้เฝ้าระวังอาการตัวเอง อย่างน้อย 14 วัน หากทำงานจากที่บ้าน (Work from home) ได้จะดีมาก โดยเฉพาะในสัปดาห์แรก ตรวจ ATK เป็นประจำ เพื่อให้เราพบเชื้อได้เร็ว และควบคุมป้องกันอย่างรวดเร็ว
“จังหวัดต่างๆ ต้องเน้นบังคับใช้กฎหมาย กรณีที่พบผู้ติดเชื้อเช่นเดียวกับร้านอาหารหรือสถานบริการต่างๆ อย่างเคร่งครัด ให้ปฏิบัติตามมาตรการ Covid-19 free setting อย่างเคร่งครัด” นพ.
เกียรติภูมิกล่าว
รองเลขาฯ กป.อพช. ต้านร่างพ.ร.บ.คุมเอ็นจีโอ หวั่นรัฐก้าวก่าย มุ่งคุมปชช.
https://www.matichon.co.th/politics/news_3118131
รองเลขาฯ กป.อพช. ต้านร่างพ.ร.บ.คุมเอ็นจีโอ หวั่นรัฐก้าวก่าย มุ่งคุมปชช. ลดความเข้มแข็งภาคสังคม
กรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบแนวทางการยกร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร พ.ศ. … และมอบให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ไปรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบของร่างกฎหมายนั้น
เมื่อวันที่ 6 มกราคม นาย
ณัฐวุฒิ อุปปะ รองเลขาธิการคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน กล่าวถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อองค์กรไม่แสวงหากำไร (เอ็นจีโอ) และองค์กรภาคประชาสังคมในแง่ของกระบวนการทำงานที่เพิ่มมากขึ้นและทำงานได้ยากเนื่องจากอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ
ผลที่ตามมาคือ หนึ่ง ที่มาของกฎหมายออกมาในช่วงของรัฐบาลที่ผ่านกฎหมายแบบไม่ฟังเสียงประชาชน ผลกระทบคือบรรทัดฐานของการออกกฎหมายก็ทำให้ไม่มีกระบวนการมีส่วนร่วม ซึ่งบรรยากาศนี้เกิดขึ้นมาโดยตลอดในช่วงของรัฐบาลพล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผลเสียในเรื่องของที่ไปที่มาของกฎหมายแต่ละร่างที่ไม่ฟังเสียงประชาชน
สอง กฎหมายฉบับนี้มุ่งที่จะควบคุมการรวมกลุ่มของภาคประชาชนและภาคประชาสังคม มีเงื่อนไขต่างๆ เข้ามาที่เพิ่มภาระ เช่น เรื่องการตรวจสอบบัญชีหรือการเข้าไปตรวจสอบองค์กรใดๆ รวมถึงระบบคอมพิวเตอร์ ฐานข้อมูลต่างๆ นี่เป็นสิ่งที่จะส่งผลกระทบรวมถึงเงื่อนไขของการรวมกลุ่มภาคประชาชนที่ต้องมีระบบการตรวจสอบบัญชี เรื่องค่าใช้จ่ายเหล่านี้ก็จะเพิ่มขึ้น รวมถึงลักษณะของเนื้อหาต่างๆ เป็นลักษณะของการควบคุมการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน ผมคิดว่าหลักใหญ่ใจความที่กระทบที่สุดคือมุ่งสู่การควบคุมการเคลื่อนไหวภาคประชาชน
ส่วนเรื่องของรายละเอียดเนื้อหาก็มีหลายส่วนเข้าไปตรวจสอบข้อมูลในองค์กรได้ หรือองค์กรต้องทำระบบบัญชี ซึ่งเรื่องแบบนี้จะทำให้องค์กร หรือการรวมตัวของภาคประชาชนอยู่ภายใต้การควบคุมและทำได้ยากขึ้น หลายๆ องค์กรก็จะสลายตัวไปเนื่องจากอยู่ในระบบของการจัดการที่เพิ่มขึ้นและรับภาระแบบนี้ไม่ไหว” นาย
ณัฐวุฒิกล่าว
นอกจากนี้นาย
ณัฐวุฒิ ยังกล่าวถึงท่าทีของเอ็นจีโอและองค์กรภาคประชาสังคมต่อจากนี้ว่าจะมีการเคลื่อนไหวในการปรับแก้และหยุดร่างพ.ร.บ.นี้ และกล่าวว่าร่างกฎหมายนี้จะทำให้ลดความเข้มแข็งของภาคประชาสังคมและเพิ่มการก้าวก่ายของภาครัฐมากยิ่งขึ้น
“ต่อจากนี้แม้ครม.จะผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้แล้วทางภาคประชาสังคมก็จะมีกระบวนการเคลื่อนไหวในการปรับแก้หรือหยุดร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ก่อน และถ้ายังเป็นกระบวนตามกฎหมายนี้คิดว่าเอ็นจีโอ ก็อาจจะยังคงทำงานได้แบบเดิม แต่มีกระบวนการเยอะขึ้น ผลกระทบที่ได้รับมากที่สุดจะเป็นองค์กรภาคประชาสังคมหรือองค์กรภาคประชาชนอื่น ๆ คือเอ็นจีโอมีองค์กรค่อนข้างแข็งแรงและสามารถคัดง้างได้อยู่ตลอดในการทำงาน แต่การรวมกลุ่มขององค์กรภาคประชาสังคมที่เป็นองค์กรที่ไม่ได้มีรูปแบบที่ชัดเจน ถ้ามาเจอกฎหมายแบบนี้จะเกิดผลอยู่สองส่วนคือ หนึ่ง องค์กรใหม่จะเกิดขึ้นได้ยากมาก เพราะการรวมกลุ่มมีขั้นตอนเยอะ สอง องค์กรที่มีระบบการจัดการหรือไม่สามารถเข้าถึงระบบการตรวจสอบบัญชี ทำรายงานบัญชีได้ องค์กรแบบนี้ก็จะสลายตัวลงไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นสิ่งนี้ก็เป็นข้อกังวลอยู่ว่าการออกกฎหมายบังคับแบบนี้จะทำให้ลดความเข้มแข็งของภาคประชาสังคมและเพิ่มการเข้ามาก้าวก่ายองค์กรเอ็นจีโอโดยรัฐมากยิ่งขึ้น” นาย
ณัฐวุฒิกล่าว
JJNY : เด็กจบใหม่4.9แสนคน เสี่ยงตกงานสูง│สธ.ยกระดับ 4 เตือนภัย│ต้านร่างพ.ร.บ.คุมเอ็นจีโอ│‘พิธา’จูง‘เพชร’สมัครเลือกตั้ง
https://ch3plus.com/news/category/273216
การแพร่ระบาดของโควิด โอมิครอน กระทบการจ้างงานในปีนี้ ให้อยู่ในภาวะซึมยาว จับตาเด็กจบใหม่เกือบ 5 แสนคน เสี่ยงตกงาน
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างฯ หรือ อีคอนไทย กล่าวว่า การจ้างงานในปีนี้จะอยู่ในภาวะซึมยาว ซึ่งอาจไม่ถึงขั้นต้องปลดคนงาน แต่ธุรกิจจะยังไม่จ้างงานเพิ่ม โดยเฉพาะธุรกิจภาคบริการ ที่เคยคาดว่าจะฟื้นตัว หลังเปิดประเทศ ก็ยังชะลอ เพราะโอมิครอน ทำให้แรงงานในกลุ่มนี้ กว่า 3 ล้านคน อาจตกงานยาว
ที่น่าเป็นห่วง คือ กลุ่มเด็กจบใหม่ที่กำลังจะเข้าตลาดแรงงานอีกกว่า 490,000 คน โดยเฉพาะในสายงานที่ตลาดมีความต้องการน้อย เช่น เศรษฐศาสตร์ , รัฐศาสตร์ , สังคมศาสตร์ , นิเทศศาสตร์ , สถิติ และสายบริหารจัดการ เป็นกลุ่มที่เสี่ยงตกงานสูง เนื่องจากขณะนี้ภาคธุรกิจต้องการแรงงานในกลุ่มช่าง สายอาชีวะฯ และแรงงานไร้ทักษะ มากกว่า
โดยอีคอนไทย เสนอแนะให้ภาครัฐเดินหน้ามาตรการ Co-Payment โดยใช้งบฟื้นฟูเศรษฐกิจ มาจ้างเด็กจบใหม่ ให้ทำงานวันละ 4 ชั่วโมง ก็จะช่วยได้มาก
ชมผ่านยูทูบ : https://youtu.be/A4P6uT5vl14
ด่วน!! สธ.ยกระดับ 4 เตือนภัยโอมิครอน จ่อปิดพื้นที่เสี่ยง เวิร์กฟรอมโฮม เข้มเดินทางข้าม จว.
https://www.matichon.co.th/heading-news/news_3118053
ด่วน!! สธ.ยกระดับ 4 เตือนภัยโอมิครอน จ่อปิดพื้นที่เสี่ยง เวิร์กฟรอมโฮม เข้มเดินทางข้าม จว.
เมื่อวันที่ 6 มกราคม ที่ รพ.วชิระภูเก็ต นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) แถลงข่าวด่วนกรณีสถานการณ์ระบาดโควิด-19 ของไทย ว่า ขณะนี้ไทยพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น 5,775 ราย เพิ่มขึ้นจากเมื่อวานนี้ (5 ธ.ค.) 3,800 ราย ผู้เสียชีวิตเพิ่มใหม่ 15 ราย เป็นการระบาดเพิ่มขึ้นเข้าสู่อีกระลอกหนึ่ง
นพ.เกียรติภูมิกล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข อยากเปลี่ยนระดับการเตือน จากเดิมระดับ 3 เป็นการเตือนระดับ 4 คือมีข้อแนะนำเพิ่มขึ้น มาตรการต่างๆ คงตามมา คือ
1. อาจมีการปิดสถานที่เสี่ยง ที่ทำให้เกิดการแพร่เชื้อ มีการเพิ่มมาตรการต่างๆ ให้มากขึ้นในสถานที่เสี่ยง
2. ชะลอการเดินทางต่างๆ เช่น การทำงาน จึงอยากให้ Work from home หากไม่จำเป็นในการเดินทางข้ามจังหวัด ก็อยากให้ประชาชนชะลอไปก่อน
3. การจำกัดการรวมกลุ่มทำกิจกรรมต่างๆ ต้องมีมาตรการเคร่งครัดมากขึ้น รวมกลุ่มให้ลดลง ไม่ให้แพร่เชื้อ
และ 4. ปฏิบัติตามมาตรการ VUCA คือ Vaccine-Universal Prevention-Covid-19 free setting และ ATK
นพ.เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า สรุปสถานการณ์สั้นๆ ว่า ผู้ป่วยอาการหนักและเสียชีวิตลดลง แต่การติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด ด้วยการเข้าใช้บริการสถานที่ระบบปิดในร้านอาหารกึ่งผับบาร์ มีกิจกรรมงานเลี้ยง งานบุญทางศาสนาที่อาจจะมีการระวังไม่เพียงพอ จึงทำให้การระบาด การเดินทางต่างๆ ก็มีผลต่อการแพร่กระจายเชื้อ อยากให้ประชาชนที่กลับมาจากต่างจังหวัดได้เฝ้าระวังอาการตัวเอง อย่างน้อย 14 วัน หากทำงานจากที่บ้าน (Work from home) ได้จะดีมาก โดยเฉพาะในสัปดาห์แรก ตรวจ ATK เป็นประจำ เพื่อให้เราพบเชื้อได้เร็ว และควบคุมป้องกันอย่างรวดเร็ว
“จังหวัดต่างๆ ต้องเน้นบังคับใช้กฎหมาย กรณีที่พบผู้ติดเชื้อเช่นเดียวกับร้านอาหารหรือสถานบริการต่างๆ อย่างเคร่งครัด ให้ปฏิบัติตามมาตรการ Covid-19 free setting อย่างเคร่งครัด” นพ.เกียรติภูมิกล่าว
รองเลขาฯ กป.อพช. ต้านร่างพ.ร.บ.คุมเอ็นจีโอ หวั่นรัฐก้าวก่าย มุ่งคุมปชช.
https://www.matichon.co.th/politics/news_3118131
รองเลขาฯ กป.อพช. ต้านร่างพ.ร.บ.คุมเอ็นจีโอ หวั่นรัฐก้าวก่าย มุ่งคุมปชช. ลดความเข้มแข็งภาคสังคม
กรณีคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบแนวทางการยกร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร พ.ศ. … และมอบให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ไปรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบของร่างกฎหมายนั้น
เมื่อวันที่ 6 มกราคม นายณัฐวุฒิ อุปปะ รองเลขาธิการคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน กล่าวถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อองค์กรไม่แสวงหากำไร (เอ็นจีโอ) และองค์กรภาคประชาสังคมในแง่ของกระบวนการทำงานที่เพิ่มมากขึ้นและทำงานได้ยากเนื่องจากอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ
ผลที่ตามมาคือ หนึ่ง ที่มาของกฎหมายออกมาในช่วงของรัฐบาลที่ผ่านกฎหมายแบบไม่ฟังเสียงประชาชน ผลกระทบคือบรรทัดฐานของการออกกฎหมายก็ทำให้ไม่มีกระบวนการมีส่วนร่วม ซึ่งบรรยากาศนี้เกิดขึ้นมาโดยตลอดในช่วงของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผลเสียในเรื่องของที่ไปที่มาของกฎหมายแต่ละร่างที่ไม่ฟังเสียงประชาชน
สอง กฎหมายฉบับนี้มุ่งที่จะควบคุมการรวมกลุ่มของภาคประชาชนและภาคประชาสังคม มีเงื่อนไขต่างๆ เข้ามาที่เพิ่มภาระ เช่น เรื่องการตรวจสอบบัญชีหรือการเข้าไปตรวจสอบองค์กรใดๆ รวมถึงระบบคอมพิวเตอร์ ฐานข้อมูลต่างๆ นี่เป็นสิ่งที่จะส่งผลกระทบรวมถึงเงื่อนไขของการรวมกลุ่มภาคประชาชนที่ต้องมีระบบการตรวจสอบบัญชี เรื่องค่าใช้จ่ายเหล่านี้ก็จะเพิ่มขึ้น รวมถึงลักษณะของเนื้อหาต่างๆ เป็นลักษณะของการควบคุมการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน ผมคิดว่าหลักใหญ่ใจความที่กระทบที่สุดคือมุ่งสู่การควบคุมการเคลื่อนไหวภาคประชาชน
ส่วนเรื่องของรายละเอียดเนื้อหาก็มีหลายส่วนเข้าไปตรวจสอบข้อมูลในองค์กรได้ หรือองค์กรต้องทำระบบบัญชี ซึ่งเรื่องแบบนี้จะทำให้องค์กร หรือการรวมตัวของภาคประชาชนอยู่ภายใต้การควบคุมและทำได้ยากขึ้น หลายๆ องค์กรก็จะสลายตัวไปเนื่องจากอยู่ในระบบของการจัดการที่เพิ่มขึ้นและรับภาระแบบนี้ไม่ไหว” นายณัฐวุฒิกล่าว
นอกจากนี้นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวถึงท่าทีของเอ็นจีโอและองค์กรภาคประชาสังคมต่อจากนี้ว่าจะมีการเคลื่อนไหวในการปรับแก้และหยุดร่างพ.ร.บ.นี้ และกล่าวว่าร่างกฎหมายนี้จะทำให้ลดความเข้มแข็งของภาคประชาสังคมและเพิ่มการก้าวก่ายของภาครัฐมากยิ่งขึ้น
“ต่อจากนี้แม้ครม.จะผ่านร่างกฎหมายฉบับนี้แล้วทางภาคประชาสังคมก็จะมีกระบวนการเคลื่อนไหวในการปรับแก้หรือหยุดร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ก่อน และถ้ายังเป็นกระบวนตามกฎหมายนี้คิดว่าเอ็นจีโอ ก็อาจจะยังคงทำงานได้แบบเดิม แต่มีกระบวนการเยอะขึ้น ผลกระทบที่ได้รับมากที่สุดจะเป็นองค์กรภาคประชาสังคมหรือองค์กรภาคประชาชนอื่น ๆ คือเอ็นจีโอมีองค์กรค่อนข้างแข็งแรงและสามารถคัดง้างได้อยู่ตลอดในการทำงาน แต่การรวมกลุ่มขององค์กรภาคประชาสังคมที่เป็นองค์กรที่ไม่ได้มีรูปแบบที่ชัดเจน ถ้ามาเจอกฎหมายแบบนี้จะเกิดผลอยู่สองส่วนคือ หนึ่ง องค์กรใหม่จะเกิดขึ้นได้ยากมาก เพราะการรวมกลุ่มมีขั้นตอนเยอะ สอง องค์กรที่มีระบบการจัดการหรือไม่สามารถเข้าถึงระบบการตรวจสอบบัญชี ทำรายงานบัญชีได้ องค์กรแบบนี้ก็จะสลายตัวลงไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นสิ่งนี้ก็เป็นข้อกังวลอยู่ว่าการออกกฎหมายบังคับแบบนี้จะทำให้ลดความเข้มแข็งของภาคประชาสังคมและเพิ่มการเข้ามาก้าวก่ายองค์กรเอ็นจีโอโดยรัฐมากยิ่งขึ้น” นายณัฐวุฒิกล่าว