ชีวิตฉันจะเป็นอย่างไรปี 2565 นี้

กระทู้คำถาม
ฉันกับช. เป็นแฟนกันคบกันมา 3 ปี แล้ว  เราอยู่ด้วยกันยังไม่แต่งงาน  ฉันทำงานและมีบ้านที่ต่างอำเภอช.มาอยู่กับฉัน ทุกวันศุกร์เราจะกลับบ้านพ่อแม่กัน  วันอาทิตย์ ช.เพื่อกลับไปทำงาน  แต่วันอาทิตย์นี้ฉันรอนานมากจนค่ำ  แต่ก็ไม่โทรตามนะเพราะแอบเข้าใจว่าอาจจะไปส่งลูกๆที่เป็นลูกกับภรรรยาเก่ากลับบ้านซึ่งสัปดาห์นี้พ่อแม่ของ ช. ไปรับหลาน ๆ เขามาเล่นบ้าน ก็เลยไม่โทรหา เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเขาก็บอกว่าคงไม่ได้ไปรับมีปัญหานิดหน่อย พอดีเกิดอุบัติเหตุรถเฉี่ยวชน ฉันก็ถามจนได้ความ และรู้สึกโกรธมาก เพราะที่เกิดอุบัติเหตุไม่ได้ไปส่งลูก แต่ไปหาเพื่อน ซึ่งเพื่อนนั้นคือเพื่อนที่ร่วมเสพยา ซึ่งฉันเคยขอร้องอย่าไปอีก ก็รับปากสาบานด้วยตัวเอง คดีก่อนเพิ่งจะเคลียร์ไปไม่ถึงปี  ทันทีที่คุยจบฉันรีบโทรหาแม่ของช.ฝากให้ไปดูเขา  แม่ช.ก็บอกเดี๋ยวแม่จะดูเอง  จนเช้าวันจันทร์ฉันให้พ่อส่งจากหมู่บ้านเข้าอำเภอแล้วนั่งรถโดยสารอีก 2 ต่อเพื่อไปทำงาน  ตอนเย็นก็เห็นเค้ามาพร้อมกับรถที่บุบบี้ ฉันรอดูว่าจะเล่าไหม แต่ระหว่างวันฉันก็โทรถามแม่เค้าอยู่ว่าเป็นอะไรยังไง  เค้าไม่เล่าฉันก็ไม่ถาม จนเช้าฉันอดไม่ได้ก็เลยถาม ได้ความว่าประกันจะเคลียร์ให้ ส่วนผลการตรวจแอลกอฮอล์ในเลือดตัวเองยังไม่ออก ฉันก็จัดการหาเอกสารให้เพราะรถเป็นชื่อฉัน เสร็จฉันก็ไปทำงาน ส่วนเขาก็ไปเยี่ยมคู่กรณีเห็นว่าเขาเข้าห้องผ่าตัดอยู่ก็เลยแค่ฝากของเยี่ยม พอตอนเย็นวันอังคารก็ช่วยกันทำกับข้าวทานข้าวด้วยกันปกติดี  เช้าวันพุธฉันอาบน้ำเสร็จฉันก็ใช้กระดาษทิชชูเช็ดหน้าแล้วทิ้งลงถังขยะ ช.ไปเปิดถังขยะแล้วก็พูดว่าเมนส์หยุดแล้วนี่แล้วก็เดินประชิดด้านหลังแจก็คืออยากจะมีอะไรกับฉันนั่นแหละ  ฉันบอกว่าฉันไม่มีอารมณ์ จะถึงเวลาทำงานแล้วด้วย อีกอย่างฉันอยู่ในอารมณ์ที่นอยด์อยู่ไง อารมณ์ตอนนั้นคือหงุดหงิดแล้วไงเลยเปิดประตูออกจากตัวบ้านเพื่อมาจัดเอาเสื้อเข้าในระโปรงให้เรียบร้อยประมาณว่าดูสิจะตามมาอีกไหม  จะได้แต่งตัวเสร็จๆซักที  เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นอยู่ๆเขาก็โมโหขึ้นและดึงกระชากฉันให้เข้าบ้านแล้วก็ล็อคประตู ตอนนั้นฉันรู้สึกได้ว่าเขาไม่ปกติแล้วเมาแน่ๆ ได้กลิ่นเหล้าขาว และอาจเมาอย่างอื่นด้วย ฉันก็ยื้อยุดจะเปิดประตูออกแต่ก็สู้ไม่ไหว (รู้สึกได้ว่าไม่ปกติแล้ว) ฉันก็ทำใจดีสู้ ทำทีไปห่อข้าวห่อผลไม้เตรียมจะออกไปทำงาน แต่หาโทรศัพท์ไม่เจอเลยถามหาและขอโทรศัพท์คืน เขาก็บอกด้วยสีหน้ายียวนว่าอยู่ในบ้านนี้แหละ ฉันก็รื้อหาจนทั่วก็ไม่เจอ ซักพักฉันเลยลองค้นที่กระเป๋าเป้เขาดู  เจอโทรศัพท์จริงๆ แต่ช.ไม่ให้แย่งกันพัลวันสุดท้ายฉันก็สู้ไม่ได้ถูกช.ยึดโทรศัพท์ไป  แล้วช.ก็พูดลอยๆว่าเสบียงในบ้านน่าจะพออยู่ถึงปีใหม่ (ในใจคิดฉันจะต้องถูกขังในบ้านนี้จนถึงหลังปีใหม่แน่ๆ) ก็เลยจะออกทางประตูหลังบ้านช.ก็ไปยื้อยุดไม่ให้ออกฉันก็สู้แรงไม่ได้เหมือนเดิม สักพัก ช.ก็ออกไปคล้องกุญแจประตูด้านหน้าบ้าน ฉันก็วิ่งไปจะเปิดประตูหลังบ้าน ช.ก็ขวางไม่ให้ออกขณะที่ช.เอาเหล็กมาขัดประตูด้านหลังไว้  ฉันเลยรีบวิ่งมาที่ประตูหน้าและรีบหมุนบานเกล็ดแล้วล้วงมือไปเอาแม่กุญแจที่คล้องออกแล้วรีบออกจากบ้านวิ่งไปตามถนนได้ครึ่งทาง  ช.ก็ ขับรถมอไซต์มาขวางอยู่กลางถนน  ช.ขึงขัง รู้ได้ถึงความโกรธ ฉันกลัวมาก ตอนนั้นเป็นเวลาที่คนพลุกพล่านนะ  มีทั้งนักเรียนมัธยมวัด ทั้งเณร คนทั่วไปผ่านไปมา ทั้งบ้านแถวนั้นเห็นแต่กลับไม่มีใครช่วยฉันเลย  ฉันอยากรอดไปจากตรงนี้ ฉันไม่กล้าร้องขอความช่วยเหลือ ได้แค่อ้าปากพูดแบบไม่ให้ได้ยินเสียงให้คนที่เดินผ่านมาเห็นว่า “ช่วยด้วย” แต่ไม่มีใครสนใจจะช่วยเลย  เสียใจว่าทำไมไม่มีใครมีน้ำใจช่วยเหลือเลย หรือถ้ากลัวเดือดร้อนกันก็น่าจะแจ้งตำรวจให้หน่อย สถานีตำรวจอยู่ไกลออกไปไม่กี่ร้อยเมตรเอง ฉันเห็นชะตากรรมตัวเองว่าหนีไม่พ้นแน่ มันบอกให้ฉันกลับบ้านฉันบอกไม่กลับ ฉันก็ร้องไห้ด้วยพูดดังๆ ด้วยว่าไม่กลับ เพราะช.จะขังฉันไว้ในบ้านอีก  มันบอกงั้นไปนั่งเก้าอี้หน้าร้านตรงข้ามวัดซึ่งไม่มีใครอยู่ตรงนั้นหรือมีแต่อยู่ข้างในร้าน  ฉันก็ไปนั่งเพราะอย่างน้อยก็ยังดีรู้สึกอุ่นใจว่าอยู่ในที่โล่งสาธารณะดีกว่าถูกขังไว้ในบ้าน   ระหว่างนั้นช.ก็ทั้งขู่ทั้งตะคอกทั้งต่อว่าทั้งขู่สารพัด หาว่าที่ฉันไม่ยอมแต่งงานกับใครซักทีก็เพราะยิ้มใช่ไหม ไม่สมควรเป็นทำงานที่ทำอยู่ จะไปประจานให้ออกจากงาน หรือถ้าเอาออกจากงานไม่ได้จะทำให้ออกเอง ทั้งขู่ทั้งว่าสารพัด  ขู่ว่ามีทางเดียวที่ฉันจะแยกจากเค้าได้คือต้องมีคนใดคนหนึ่งตาย หรือถ้าฉันหนีรอดไปได้แล้วเค้าติดคุกไม่กี่ก็ออกมาตามล่าฉัน 10-20 ปีก็ไม่สาย   สารพัดจะขู่ฉัน ฉันกลัวมากและพยายามอ้าปากส่งซิกให้ใครที่ผ่านไปมาให้ช่วยด้วย แต่ก็ไม่มีใครช่วยฉันซักคน ภาวนาให้มีสายตรวจผ่านมาก็ไม่มี  ฉันนั่งอยู่ตรงนั้นประมาณ 1 ชม. ช.ก็พูดขึ้นมาว่ากลับบ้าน ฉันปฏิเสธและพยายามพูดเสียงดังว่าไม่กลับถ้ากลับไป ช.ก็จะขังฉันอีก ช.ก็พูดดังๆแก้ตัวว่าไม่ได้ขังแค่จะคุยกันให้รู้เรื่อง  ช.หงุดหงิดมากขึ้นขู่ว่าจะไปดีๆหรือจะให้อุ้ม ฉันก็ยืนยันว่าไม่ไป แล้วช.ก็กระชากตัวฉันแล้วอุ้มจากตรงนั้นไป ฉันพยายามขัดขืนร้องไห้หนักและเสียงดังมาก จนช.ไม่ไหวด้วยแรงฉันดิ้นและน้ำหนักตัวที่มาก ช.เลยปล่อยตัวฉันลงตัวไปติดอยู่ข้างกำแพงวัด ตอนนั้นฉันสติหลุดมากร้องไห้หนักเหมือนคนบ้าเลยเพราะกลัวมาก พยายามร้องไห้ดังที่สุดเพื่อให้คนได้ยินเผื่อใครจะมาช่วยเหลือ แต่เปล่าเลยไม่มีใครสนใจ  ระหว่างนั่งร้องไห้ติดกำแพงวัดอยู่นั้น ช.ก็เอามอไซต์มาจอดกั้น จากนั้นแล้วเอาผ้าจุ่มน้ำมันรถมอไซต์แล้วโยนมากองตรงหน้าพร้อมโยนกล่องไม้ฉีดไฟ แล้วขู่ว่าจะเลือกตายแบบไหน เผาผมก่อนดีไหม หรือเอาน้ำกรดราด หรือจะเอาปืน ฉันได้แต่ร้องไห้คิดถึงพ่อคิดถึงแม่ ในใจคิดแล้วว่าต้องตายแน่ๆ เอาหละถ้ามันจะฆ่าอย่างน้อยก็อยุ่ในที่สาธารณะ พอดีกับที่ฉันเหลือบเห็นตำรวจอยู่ไกลๆ แต่เห็นเดินไปมามีมุมกำแพงก็บังอยุ่ตรงแยกซอยเลยลุกเดินอย่างเร็วเพื่อหวังว่าตำรวจนั้นจะยังอยู่คิดว่าถ้าตะโกนตำรวจก็ไม่จะได้ยิน อีกอย่างไม่แน่ใจว่าไปจากตรงนั้นแล้วหรือเปล่า แต่ช.จอดรถทิ้งไว้แล้วเดินประกบมาติดๆ ถึงหน้าบ้านฉันก็มองไม่เห็นตำรวจแล้วด้วย มันก็กระชากตัวทั้งฉุดทั้งดึงตัวฉันอย่างแรงเข้าบ้านและดึงรั้วประตูปิด ฉันเอามือดึงประตูรั้วไว้สุดชีวิต มันก็ใช้แรงทั้งหมดที่มันมีฉุดดึงสุดแรงเหมือนกันจนแขนฉันมีรอยช้ำ  ขณะนั้นตรงข้ามบ้าน 3 คนออกมาเจอเหตุการณ์พอดี ฉันหวังว่าเค้าจะช่วยแต่เค้าแค่มองแล้วก็ขึ้นรถไป  ในใจก็คิดว่าครอบครัวข้างบ้านรั้วติดกันก็น่าจะได้ยินทำไมไม่ช่วยฉัน ช.เห็นท่าฉันไม่ปล่อยแน ช.เลยเอาศอกกระแทกมาที่คอฉันจนฉันล้มลงแล้ว ช.ดึงและลากตัวฉันเข้าในบ้านจนถึงประตูฉันก็สู้ขัดขืนไม่ยอมเข้าในตัวบ้านแต่ก็สู้แรงไม่ไหว สุดท้ายช.ก็ลากฉันเข้าไปขังในบ้านสำเร็จ  ช.ยืนเฝ้าประตูและยกเบรคเกอร์ลงตัดไฟในบ้านหมด   สักพักช.ก็ออกไปใช้แม่กุญแจล็อกจากประตูจากด้านหน้าบ้านน่าจะเพื่อให้คนเข้าใจว่าไม่มีคนอยุ่ในบ้าน  ฉันวิ่งไปหวังจะออกประตูด้านหลังแต่มันก็ไปทัน ฉันสู้แรงไม่ไหวอีกเหมือนเดิม  คราวนี้ฉันหมดหนทางแล้วจริง ๆ และก็กลัวมาก เลยวิ่งไปที่ครัวหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กกับมีดในครัว 1 ด้ามขังตัวเองในห้องน้ำหวังว่าฉุกเฉินไว้ป้องกันตัว ทั้งที่รู้ถ้าเกิดเหตุขึ้นเราสู้แรงเค้าไม่ได้แน่นอน แต่มันคิดอะไรไม่ออกแล้วจริงขอมีอะไรซักอย่างติดตัวดีกว่าไม่มี พอมันรู้ มันก็ตะโกนให้เปิดประตูห้องน้ำ ฉันบอกขอฉันอยู่ในนี้เถอะ ทันใดนั้นฉันก็ได้ยินเสียงมันหยิบขวานที่แขวนไว้ลง  ถ้าฉันไม่เปิดมันใช้ขวานพังประตูห้องน้ำแน่ๆ เพราะก่อนนี้เค้าเคยใช้ขวานพังหน้าต่างห้องนอนฉันไปคราวหนึ่งแล้ว ฉันเลยรีบห่อมีดแล้วเก็บไว้ในชั้นวางสบู่ และเปิดประตูออก จริงอย่างที่คิดฉันเห็นช.ถือขวานในมืออยู่ แล้วเข้ามาค้นแล้วก็เจอมีดที่ฉันห่อผ้าไว้ ช.ยิ่งโมโหมากขึ้น แล้วก็รีบเก็บไป ช.บอกว่าจะฆ่าตัวตายเองหรอ เวลานั้นกลัวสุดขีดไปนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่มุมบ้านที่บ้านที่ใกล้ประตูที่สุด พอสักพักฉันก็เข้าห้องนอนและล้อคประตู ทั้งที่รู้มันช่วยอะไรไม่ได้หรอกแต่มันคือเซฟโซนเดียวที่ฉันมีตอนนี้ สักพักได้ยินเสียงช.ขึ้นไปบนบ้านน่าจะไปเสพยา  ฉันแอบออกไปยกเบรกเกอร์ไฟ้ฟ้าขึ้น กะว่าจะเข้าไวไฟด้วยทีวี แต่ช.ก็ลงมาจากบนบ้านแล้วยกเบรกเกอร์ลง  นานสักพักช.ก็ยกเบรคเกอร์ไฟขึ้น ฉันก็ยังไม่กล้าเปิดทีวี สักพักใหญ่ๆฉันก็ลองเปิดทีวีกะจะเข้าอินเตอร์เน็ตผ่านทีวี แต่ปรากฎว่าเข้าเน็ตไม่ได้ ช.ดึงสายไวไฟออก  เมื่อรู้อย่างนั้นฉันจึงปิดทีวีก่อน คิดว่าจะทำไงต่อดี  เลยแอบคิดหวังเล็กๆในใจว่าลองเปิดทีวีดูใหม่อีกครั้งเผื่อมีคนเปิดไวไฟแบบไม่มีรหัสไว้ ลองดูเกือบสิบชื่อมีแต่ให้ใส่รหัสทั้งมด เลยลองใส่รหัสมั่วๆไปครั้งแล้วครั้งเล่าก็ไม่สำเร็จ จนสุดท้ายก็ถอดใจปิดทีวีลง  คิดๆวนไปวนมาจะทำยังไงให้ออกจากที่นี่ได้คิดได้ที่ห้องน้ำมีช่องอากาศแบบกระจกซ้อน  เลยทำทีเข้าห้องน้ำไปอ้วกแล้วค่อยตักน้ำออกจากถังให้ได้ยินเสียงเบาที่สุด พร้อมกดชักโครกเพื่อกลบเสียง เมื่อน้ำหมดก็ค่อยๆคว่ำถังน้ำแล้วปีนขึ้นไปดูว่าจะพอออกได้ไหม  ซึ่งถ้าหากจะออกไปก็พอแทรกตัวไปได้แต่ปัญหาคือต้องทุบกระจกก่อน แล้วเสียงมันต้องดังพอที่จะทำให้ช.รู้ตัวและพังประตูห้องน้ำเข้ามาทันแน่หรือไม่ก็วิ่งมาดักหลังบ้านทันแน่ๆ เลยเก็บวิธีนี้ไว้ก่อน ค่อยๆหงายถังน้ำกลับคืนและค่อยๆเอาน้ำใส่คืนถังให้เบาที่สุดเพื่อไม่ให้ ช.สงสัยว่าทำไมน้ำในถังหมด จนอาจคิดทันเราได้ว่าเราจจะหนีช่องทางนี้  เสร็จฉันก็กลับห้องปกติ  ฉันเองก็คิดหาวิธีต่ออีกว่าจะมีทางไหนหนีอีกได้บ้าง สักพักคิดได้ว่าบนบ้านมีหน้าต่างรอบทิศที่ไมได้ติดกรงเหล็ก อีกอย่างรู้สึกว่าช.เงียบๆไปเลยออกไปดูเห็นกำลังหลับอยู่คงจะด้วยฤทธิ์เมา ฉันเลยแอบย่องขึ้นไปบนบ้านสำรวจหน้าต่าง เห็นว่าถ้าจะปีนออกเป็นไปได้มี 2 ด้านคือด้านหน้าและด้านหลังบ้านเพราะมีหลังคาให้เหยียบ  จากนั้นฉันก็แอบลงมาข้างล่างคืนอีกครั้งก็ยังเห็น ช.หลับอยู่  จากนั้นฉันก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าใส่ชุดที่ทะมัดทะแมงที่สุด  และมาออกมาดูช.อีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าหลับสนิทหรือเปล่า  จริงๆไม่แน่ใจแต่ก็ต้องตัดสินใจ  เลยแอบย่องไปบนบ้านอีกครั้งและประเมินว่าจะออกหน้าต่างด้านหน้าหรือด้านหลังดี จึงตัดสินใจออกหน้าต่างด้านหลังเพราะมีกำแพงบ้านข้างๆที่พอจะให้เราปีนต่อไปได้ ขณะยกขาขึ้นเหยียบช่องหน้าต่างใจระทึกว่ามันจะตื่นขึ้นมาเห็นไหม พอขาลงเหยียบหลังคากระเบื้องเท่านั้นฝ่าเท้าร้อนอย่างกับเหยียบกองไฟ มันร้อนมากจนลวกฝ่าเท้า อีกอย่างเราไม่รุ้ว่ากระเบื้องจะแข็งแรงพอรับน้ำหนักไหว กระเบื้องก็เก่ามากแล้วด้วย คิดในใจว่าถ้าอยู่ก็อาจไม่รอด หรือถ้าเราพลาดกระเบื้องที่เราเหยียบมันแตกแล้วตกลงไปถ้าไม่ตายก็พิการก็ต้องยอมแล้วนาทีนี้  อยู่ก็อาจจะไม่รอดเหมือนกันเลยนั่งลงคล่อยเขยิบก้นไปทีละนิดๆ ตาก็มองหาส่วนที่หลังคาน่าจะมีไม้คานรองอยู่  เคลื่อนไปจนไปถึงกำแพงข้างบ้านแต่ถ้าจะลงไปก็ติดอยู่หลังบ้านเค้าไปไหนไม่ได้อีกอยู่ดี เลยค่อยๆไต่ไปบนกำแพงเรื่อยๆ จนถึงอู่ซ่อมรถจึงโดดลงจากกำแพงสูงประมาณ 2 เมตรล้มลงกับพื้นก็รีบลุกและวิ่งออกจากอู่ไป คนในอู่เห็นเราก็มองคงจะสงสัยว่าฉันมาจากไหน  ระหว่างนั้นฉันก็ผลัดวิ่งผลัดเดินด้วยเท้าเปล่าซึ่งพื้นคอนกรีตก็ร้อนมาก  ในใจก็คิดว่าจะวิ่งไปทางไหนดีถ้ามันตามมาก็เลยวิ่งลัดผ่านวัดอย่างน้อยคนน่าจะพลุกพล่านบ้างหรือเกิดเหตุจริงก็จะวิ่งเข้าไปในโรงเรียนวัด  ทั้งวิ่งทั้งหันหลังมองกลัวตามมา วิ่งไปจนถึงสถานีตำรวจก็รีบบอกว่ามาแจ้งความว่าโดนกักขังหน่วงเหนี่ยว ระหว่างไปแจ้งยังกลัวมาเค้าจะตามมาก็ไปแอบอยู่ข้างเค้าเตอร์ตำรวจเหมือนคนบ้ามาก ตอนนั้นคือสติหลุดมากจริง ๆมันคือนาทีชีวิต  จากนี้ช.จะอาคาดแค้นจะตามล่าและฆ่าฉันตามที่ขู่ไว้ไหม ฉันคงจะต้องใช้ชีวิตแบบหลบซ่อนตัว รู้สึกชีวิตฉ้นจากนี้ต้องอยู่อย่างไม่มีความสุขและไม่มีความปลอดภัยในชีวิตอีกเลยจากนี้ เห้อ....ปีใหม่ 2565 ของฉัน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่