แวบหนึ่งเธอคิดว่าโถงละครเวทีจะเต็มไปด้วยผู้คนที่แน่นขนัด
หากแต่เก้าอี้บุนวมสีแดงที่เรียงไล่เป็นระดับต่ำไปจนระดับสูงนั้น กลับปราศจากบรรดาผู้คนที่แต่งกายอย่างงดงาม ไม่มีทั้งใบหน้าอันหลากหลาย หรือเสียงกระซิบอันอื้ออึงดั่งที่เธอคิด
เธอมองม่านสีแดงขนาดยักษ์ที่ค่อยๆเคลื่อนปิดลง เสียงปรบมือดังมาจากเครื่องเสียงขนาดยักษ์ที่แฝงอยู่ภายใต้ผนังไม้ และบรรดานักแสดงที่ยืนเรียงอยู่ทางด้านหน้าม่าน
นี่ไม่เหมือนกับที่เธอคิด -- แมกดาลีนนึก ขณะที่ยืนอยู่กลางแสงไฟ
เธอหันไปทางด้านหลังตนเอง มองดูบรรดานักแสดงที่กำลังปรบมือให้เธอพร้อมกับรอยยิ้ม
แมกดาลีนมองใบหน้าที่ประดับไปด้วยเครื่องสำอางเหล่านั้น -- มันเป็นรอยยิ้มที่เกร็ง และดูฝืนผิดธรรมชาติ ราวกับว่าพวกเขากำลังพยายามยิ้มออกมาอย่างยากเย็นก็ไม่ปาน
ทำไมพวกเขาต้องฝืนยิ้มให้เธอกัน --
ในที่สุดนักแสดงก็เดินหายไปจากเวที -- แสงสว่างทั้งหมดส่องตรงมายังร่างของเธอเพียงผู้เดียว จนแวบหนึ่งเธอรู้สึกแสบร้อนผิวขึ้นมาเล็กน้อย
ดวงตาสีดำเข้มกวาดมองไปยังเบื้องหน้า -- มองแสงสว่างสีฟ้าที่ค่อยๆปรากฏตามเก้าอี้บุนวมสีแดง จนกระทั่งปรากฏเป็นร่างของผู้ชมนับร้อย ที่ต่างแต่งกายอย่างหรูหรา
แมกดาลีนรอให้เสียงปรบมือดังมาจากผู้ชมมากกว่านี้ หากแต่มันก็ไม่ได้มีเสียงดังขึ้นกว่าเดิม
เสียงปรบมืออันน้อยนิดนั้นคล้ายจะเงียบหายไปจากโสตประสาทของแมกดาลีนชั่วขณะ
ทำไมพวกเขาไม่ปรบมือให้เธอมากกว่านี้ --
จนกระทั่งมันเงียบลงจริงๆ เธอถึงหาเสียงตนเองเจอ
“จนถึงตอนนี้ --” เธอกระแอม “ฉันก็ยังไม่ชินกับเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยแบบใหม่ของโรงละครเลยค่ะ”
เกิดเสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากผู้คนที่เกือบจะล่องหน
“มีคนบอกฉันเอาไว้แล้ว ว่านี่เป็นการรักษาความปลอดภัยแบบใหม่ สำหรับผู้คนที่มารวมตัวกันในสถานที่ปิด แบบในโรงละคร -- เพราะตอนนี้สถานการณ์ของสังคมเรามันวุ่นวาย และ -- อันตราย -- ฉันคงพูดคำนี้ได้ --” เสียงหัวเราะดังขึ้นมาอีกอย่างเห็นด้วย “แต่ฉันไม่เคยเห็นเองกับตามาก่อน -- เพราะฉันห่างหายไปจากโรงละครก่อนที่จะมีเทคโนโลยีนี้เข้ามา -- มันน่าทึ่งมากค่ะ แต่ก็ทำให้ฉันประหม่าเหมือนกัน --” แมกดาลีนเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ขณะจ้องมองไปยังเงาอันเลือนลางเบื้องหน้าตนเอง “เพราะฉันรู้สึกว่าไม่ได้เห็นพวกคุณอยู่จริงๆ -- ทั้งๆที่พวกคุณก็อยู่ตรงหน้าฉันแท้ๆ”
เกิดความเงียบขึ้นเล็กน้อย
“แต่ก็อีกนั่นแหละค่ะ มีคนบอกฉันมาว่าพวกคุณนั่งอยู่ในห้องพิเศษในอาคารนี้ -- ไม่ได้ล่องหนจริงๆอย่างที่ฉันรู้สึก” แมกดาลีนยิ้มอย่างขอไปที “ขอโทษกับความสับสนของฉันด้วยค่ะ ฉันคงแก่เกินจะตามเทคโนโลยีแล้วจริงๆ”
เกิดเสียงหัวเราะรับคำพูดของเธออย่างขำขัน ระคนไม่ถือสา
“ฉันต้องขอบคุณทุกท่านจริงๆที่มาร่วมชมละครเวทีในคืนนี้” แมกดาลีนเข้าเรื่อง ยืดตัวตรงขึ้น ปัดเส้นผมที่ปรกหน้าไปทัดหูตนเอง
เธอหันมาทางร่างของเจมส์ที่นิ่งค้างอยู่ในท่านั่ง มือทั้งสองข้างยังคงโอบกอดร่างอันแน่นิ่งของเฟอร์กี้ และเลือดสีแดงเข้มก็ยังคงไหลออกมาจากรอยกระสุนกลางหน้าผากนั่น
ฉับพลันนั้น แมกดาลีนรู้สึกว่ากระบอกปืนในมือตนเอง มันช่างหนักอึ้งเสียเหลือเกิน
บางทีมันอาจจะมีกระสุนเหลืออยู่มากกว่าที่เธอคิด --
ในที่สุด เธอก็ละสายตาจากใบหน้าอันว่างเปล่าของเจมส์ หันมาทางหน้าเวที พยายามจัดท่าตนเองให้ดูดีที่สุด
“มันจบลงแล้ว --” แมกดาลีนว่าต่อไป
เรื่องราวอันยาวนาน และชวนเหลือเชื่อเกินจินตนาการของมนุษย์ ระหว่างเจมส์กับเธอ -- ระหว่างอดัมกับอีฟ ได้จบลงแล้ว
ที่นี่ คืนนี้ --
ในสถานที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทุกอย่าง
“ละครเวทีเรื่องนี้อาจจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันสามารถสร้างสรรค์ออกมาได้ -- มันเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน -- ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอื่นได้อีกนอกจากคำนี้”
แมกดาลีนชำเลืองมองไปทางร่างสามมิติของผู้ชมนับร้อยตรงหน้า “นี่คือสิ่งที่ชีวิตของฉัน และพลังงานทั้งหมดจากตัวฉัน จะสามารถสร้างสรรค์ผลงานออกมาได้”
เธอพินิจมองไปตามใบหน้าอันนิ่งเฉยของผู้คน --
ทว่ามันนิ่งเฉยมากเกินไป -- มันปราศจากรอยยิ้ม หรือแววตาอันชื่นชม เช่นที่เธอเคยได้รับมาก่อนในอดีต --
และมันทำให้น้ำเสียงที่เปล่งออกมาของแมกดาลีนยิ่งเบาขึ้นเรื่อยๆ “คือความจริง คือความฝัน คือความรัก และคือชีวิต” แวบนั้นเธอจมดิ่งอยู่ในภวังค์ของตนเองไปชั่วขณะ “ฉันดีใจที่บทประพันธ์สุดท้ายที่ฉันเขียน ได้รับเกียรติมาสร้างเป็นละครเวทีที่นี่ -- ในสถานที่แห่งนี้ -- ก่อนที่มันจะปิดทำการในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ -- ฉันดีใจที่ยังมีพวกคุณมาดู -- พวกคุณที่เหมือนกันกับฉัน -- และเหนือสิ่งอื่นใด ฉันดีใจที่ได้เห็นนักแสดงทุกคนแสดงมันออกมา ทำให้เรื่องราวนี้ได้มีตัวตน มีชีวิตขึ้นมาจริงๆ --”
ทว่าจนถึงประโยคนี้แล้ว ก็ยังไม่มีเสียงปรบมือใดๆดังขึ้นอย่างที่เธอคาดเอาไว้ --
แมกดาลีนนิ่งชะงักไปชั่วขณะ
ทำไมพวกเขาถึงไม่ปรบมือ -- เธอนึก
ทำไมพวกเขาถึงไม่ปรบมือ หรือสรรเสริญ โศกนาฏกรรมที่สมบูรณ์แบบของเธอ -- ที่เกิดจากเรื่องราวของเธอ -- ที่มีชีวิตจริงๆ
ตอนนั้นเองที่หูเธอได้ยินเสียงกระซิบดังขึ้นมาจากร่างสามมิติของผู้ชมว่า
“นี่มันแย่มาก”
แมกดาลีนนิ่งเงียบไป
“เธอเพิ่งเลียนแบบโศกนาฏกรรมในตำนานของละครเวทีไป”
“เธอเลียนแบบเรื่องโศกนาฏกรรมของแมกดาลีน”
“แค่เพราะละครเวทีชื่อดังนั้น เป็นเวทีแจ้งเกิดของเธอ และมีชื่อเหมือนกันกับเธอน่ะหรือ”
แมกดาลีนรู้สึกสำลักลมหายใจของตนเอง -- ไม่จริง เธอไม่ได้เลียนแบบเรื่องของคนอื่น
นี่คือเรื่องของเธอ!
เรื่องของเธอที่เกิดจากละครเวทีคืนวันนั้นต่างหาก!
พลันเสียงของเดซี่ที่พูดกับเธอเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนก็ดังขึ้นในหัวของเธอ
คุณแน่ใจจริงๆหรือคะ ว่าฉากหลังจากนี้มันถูกต้องดีแล้ว --
ใครหลายคนตั้งคำถาม ว่าบทละครมันถูกต้องดีแล้วหรือเปล่า -- เราต่างสงสัย แต่ไม่มีใครกล้าถามคุณออกมาตรงๆ
มันเสร็จสมบูรณ์ดีแล้วหรือคะ
แล้วเสียงของชาร์ลีก็ดังประสานเข้ากับเสียงเดซี่ว่า
ผมไม่ชอบครับ
มันน่าเบื่อครับ
แมกดาลีนตัวสั่นขึ้นมา เมื่อรับรู้ได้ว่าเรื่องของเธออาจจะไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเรื่องๆหนึ่ง ที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบ
“นี่มันละครอะไรกันนี่” เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นอีก
“เธอเปลี่ยนตอนจบ” พวกเขาพึมพัม “เธอเขียนให้ตัวเองได้โผล่มาตอนจบ แล้วทำเรื่องที่ไม่เข้าท่า อย่างยิงผู้ชายคนนั้น”
“แต่เธอก็ให้เฟอร์กี้มาร่วมแสดงนี่ -- ฉันนึกว่าเฟอร์กี้ไม่ได้รับบทอะไรแล้วเสียอีก”
“นี่มันน่าสมเพช --” เสียงกระซิบกระซาบดังต่อไป “พวกเธอเพิ่งทำลายละครเวทีนี้ลงไป ด้วยการดัดแปลงบทประพันธ์”
“มันจบแล้วจริงๆ” หนึ่งในนั้นพูดดังขึ้น “ยุคของโรงละครนี้จบลงแล้ว ยุคของแมกดาลีนก็จบลงแล้วเช่นเดียวกัน เธอไม่ได้ดีอะไรไปกว่าการเลียนแบบผลงานระดับตำนาน และพยายามจะขโมยมาเป็นของตัวเอง”
“เธอเพิ่งฆ่าตัวตายไป ด้วยเรื่องโศกนาฏกรรมสุดท้ายนี่”
ความเงียบที่โอบล้อมไปทั่วบริเวณนั้น ทำให้แมกดาลีนสูดลมหายใจเข้าลึก ราวกับพยายามสัมผัสทุกอณูของอากาศรอบตัว --
เธอเพิ่งฆ่าตัวตายไป ด้วยเรื่องราวของตัวเธองั้นหรือ --
แมกดาลีนกะพริบตา -- อย่างนั้นหรอกหรือ
เธอเหลือบมองร่างของเจมส์และเฟอร์กี้ -- มองรอยกระสุน และคราบเลือดที่เปื้อนไปทั่วบริเวณนั้น ก่อนที่จะมองกระบอกปืนในมือของตนเอง
เรื่องราวของเธอไม่ได้เป็นเรื่องที่ควรแค่แก่การถูกจดจำสำหรับใครเลยงั้นหรือ
เธอไม่ได้เข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบนั่นได้เลยสักนิดงั้นหรือ
ดวงตาสีดำกวาดมองไปรอบตัว ไปจนถึงร่างของใครคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาประชิดขอบเวที -- แต่เธอไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว
มันไม่มีความหมายอะไรเลยงั้นหรือ
อาจจะเป็นแบบนั้น -- เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากห้วงคำนึงของเธอ --
ไม่มีความหมายอะไร
โศกนาฏกรรมอันไร้ค่าของเธออาจจะถึงเวลาที่จะต้องจบแล้ว
จริงๆ
วินาทีนั้นแมกดาลีนรู้สึกดำดิ่ง และหลงอยู่ในวังวนของความมืดเพียงลำพัง --
แล้วในวังวนนั้นเธอก็ได้ยินเสียงตัวเองพูดออกไปว่า
“คือความจริง คือความฝัน คือความรัก และคือชีวิต”
เสียงนั้นดังสะท้อนไปมา ก่อนจะค่อยๆเลือนหายไป -- คล้ายกับว่าเธอกำลังจมดิ่งอยู่ในภวังค์ของตนเอง
“ฉันดีใจที่ --” แมกดาลีนได้ยินเสียงตนเองกระซิบออกมา “ได้เห็นเรื่องราวนี้มีตัวตน มีชีวิตขึ้นมาจริงๆ --”
ดวงตาสีดำเหลือบมองกระปืนในมือตนเองอีกครั้ง ก่อนที่จะยกมันขึ้นมาช้าๆ จนแสงส่องกระทบ เป็นเงาสะท้อนเข้ากับใบหน้าของเธอ
“จนฉันเกือบจะสัมผัสได้จริงๆ”
เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะ
แล้วในชั่วขณะนั้น แมกดาลีนก็พบคำตอบที่ตามหามาโดยตลอด -- คำตอบที่เป็นความหมายของความพยายามมาตลอดเส้นทางผจญภัยนี้
แล้วเสียงของแมกดาลีนก็กระซิบขึ้นมาว่า
“แด่ชีวิตและความจริง”
เสียงอันแผ่วเบานั้นดังก้องกังวานไปทั่วทั้งโถง -- จากนั้นความเงียบก็เข้ามาครอบงำสถานที่แห่งนี้อีกครั้ง
แมกดาลีนมองร่างนับร้อยที่ส่องแสงสว่างเบื้องหน้าตนเอง มองใบหน้าที่คล้ายแสงไฟเหล่านั้น -- แวบหนึ่งเธอสัมผัสได้ถึงความร้อนของแสงไฟที่ส่องจ้า และความหนาวเย็นของบรรยากาศที่อยู่รอบตัวตนเองในเวลาเดียวกัน
ในที่สุดเธอก็ขยับนิ้ว -- เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
พลันเสียงหนึ่งก็ดังก้องกังวานไปทั่วความเงียบนั่น
ปัง!
แล้วภาพทุกอย่างก็ดับวูบลงไป
POSTHUMOUS (33)
หากแต่เก้าอี้บุนวมสีแดงที่เรียงไล่เป็นระดับต่ำไปจนระดับสูงนั้น กลับปราศจากบรรดาผู้คนที่แต่งกายอย่างงดงาม ไม่มีทั้งใบหน้าอันหลากหลาย หรือเสียงกระซิบอันอื้ออึงดั่งที่เธอคิด
เธอมองม่านสีแดงขนาดยักษ์ที่ค่อยๆเคลื่อนปิดลง เสียงปรบมือดังมาจากเครื่องเสียงขนาดยักษ์ที่แฝงอยู่ภายใต้ผนังไม้ และบรรดานักแสดงที่ยืนเรียงอยู่ทางด้านหน้าม่าน
นี่ไม่เหมือนกับที่เธอคิด -- แมกดาลีนนึก ขณะที่ยืนอยู่กลางแสงไฟ
เธอหันไปทางด้านหลังตนเอง มองดูบรรดานักแสดงที่กำลังปรบมือให้เธอพร้อมกับรอยยิ้ม
แมกดาลีนมองใบหน้าที่ประดับไปด้วยเครื่องสำอางเหล่านั้น -- มันเป็นรอยยิ้มที่เกร็ง และดูฝืนผิดธรรมชาติ ราวกับว่าพวกเขากำลังพยายามยิ้มออกมาอย่างยากเย็นก็ไม่ปาน
ทำไมพวกเขาต้องฝืนยิ้มให้เธอกัน --
ในที่สุดนักแสดงก็เดินหายไปจากเวที -- แสงสว่างทั้งหมดส่องตรงมายังร่างของเธอเพียงผู้เดียว จนแวบหนึ่งเธอรู้สึกแสบร้อนผิวขึ้นมาเล็กน้อย
ดวงตาสีดำเข้มกวาดมองไปยังเบื้องหน้า -- มองแสงสว่างสีฟ้าที่ค่อยๆปรากฏตามเก้าอี้บุนวมสีแดง จนกระทั่งปรากฏเป็นร่างของผู้ชมนับร้อย ที่ต่างแต่งกายอย่างหรูหรา
แมกดาลีนรอให้เสียงปรบมือดังมาจากผู้ชมมากกว่านี้ หากแต่มันก็ไม่ได้มีเสียงดังขึ้นกว่าเดิม
เสียงปรบมืออันน้อยนิดนั้นคล้ายจะเงียบหายไปจากโสตประสาทของแมกดาลีนชั่วขณะ
ทำไมพวกเขาไม่ปรบมือให้เธอมากกว่านี้ --
จนกระทั่งมันเงียบลงจริงๆ เธอถึงหาเสียงตนเองเจอ
“จนถึงตอนนี้ --” เธอกระแอม “ฉันก็ยังไม่ชินกับเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยแบบใหม่ของโรงละครเลยค่ะ”
เกิดเสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากผู้คนที่เกือบจะล่องหน
“มีคนบอกฉันเอาไว้แล้ว ว่านี่เป็นการรักษาความปลอดภัยแบบใหม่ สำหรับผู้คนที่มารวมตัวกันในสถานที่ปิด แบบในโรงละคร -- เพราะตอนนี้สถานการณ์ของสังคมเรามันวุ่นวาย และ -- อันตราย -- ฉันคงพูดคำนี้ได้ --” เสียงหัวเราะดังขึ้นมาอีกอย่างเห็นด้วย “แต่ฉันไม่เคยเห็นเองกับตามาก่อน -- เพราะฉันห่างหายไปจากโรงละครก่อนที่จะมีเทคโนโลยีนี้เข้ามา -- มันน่าทึ่งมากค่ะ แต่ก็ทำให้ฉันประหม่าเหมือนกัน --” แมกดาลีนเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ขณะจ้องมองไปยังเงาอันเลือนลางเบื้องหน้าตนเอง “เพราะฉันรู้สึกว่าไม่ได้เห็นพวกคุณอยู่จริงๆ -- ทั้งๆที่พวกคุณก็อยู่ตรงหน้าฉันแท้ๆ”
เกิดความเงียบขึ้นเล็กน้อย
“แต่ก็อีกนั่นแหละค่ะ มีคนบอกฉันมาว่าพวกคุณนั่งอยู่ในห้องพิเศษในอาคารนี้ -- ไม่ได้ล่องหนจริงๆอย่างที่ฉันรู้สึก” แมกดาลีนยิ้มอย่างขอไปที “ขอโทษกับความสับสนของฉันด้วยค่ะ ฉันคงแก่เกินจะตามเทคโนโลยีแล้วจริงๆ”
เกิดเสียงหัวเราะรับคำพูดของเธออย่างขำขัน ระคนไม่ถือสา
“ฉันต้องขอบคุณทุกท่านจริงๆที่มาร่วมชมละครเวทีในคืนนี้” แมกดาลีนเข้าเรื่อง ยืดตัวตรงขึ้น ปัดเส้นผมที่ปรกหน้าไปทัดหูตนเอง
เธอหันมาทางร่างของเจมส์ที่นิ่งค้างอยู่ในท่านั่ง มือทั้งสองข้างยังคงโอบกอดร่างอันแน่นิ่งของเฟอร์กี้ และเลือดสีแดงเข้มก็ยังคงไหลออกมาจากรอยกระสุนกลางหน้าผากนั่น
ฉับพลันนั้น แมกดาลีนรู้สึกว่ากระบอกปืนในมือตนเอง มันช่างหนักอึ้งเสียเหลือเกิน
บางทีมันอาจจะมีกระสุนเหลืออยู่มากกว่าที่เธอคิด --
ในที่สุด เธอก็ละสายตาจากใบหน้าอันว่างเปล่าของเจมส์ หันมาทางหน้าเวที พยายามจัดท่าตนเองให้ดูดีที่สุด
“มันจบลงแล้ว --” แมกดาลีนว่าต่อไป
เรื่องราวอันยาวนาน และชวนเหลือเชื่อเกินจินตนาการของมนุษย์ ระหว่างเจมส์กับเธอ -- ระหว่างอดัมกับอีฟ ได้จบลงแล้ว
ที่นี่ คืนนี้ --
ในสถานที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทุกอย่าง
“ละครเวทีเรื่องนี้อาจจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันสามารถสร้างสรรค์ออกมาได้ -- มันเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน -- ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอื่นได้อีกนอกจากคำนี้”
แมกดาลีนชำเลืองมองไปทางร่างสามมิติของผู้ชมนับร้อยตรงหน้า “นี่คือสิ่งที่ชีวิตของฉัน และพลังงานทั้งหมดจากตัวฉัน จะสามารถสร้างสรรค์ผลงานออกมาได้”
เธอพินิจมองไปตามใบหน้าอันนิ่งเฉยของผู้คน --
ทว่ามันนิ่งเฉยมากเกินไป -- มันปราศจากรอยยิ้ม หรือแววตาอันชื่นชม เช่นที่เธอเคยได้รับมาก่อนในอดีต --
และมันทำให้น้ำเสียงที่เปล่งออกมาของแมกดาลีนยิ่งเบาขึ้นเรื่อยๆ “คือความจริง คือความฝัน คือความรัก และคือชีวิต” แวบนั้นเธอจมดิ่งอยู่ในภวังค์ของตนเองไปชั่วขณะ “ฉันดีใจที่บทประพันธ์สุดท้ายที่ฉันเขียน ได้รับเกียรติมาสร้างเป็นละครเวทีที่นี่ -- ในสถานที่แห่งนี้ -- ก่อนที่มันจะปิดทำการในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ -- ฉันดีใจที่ยังมีพวกคุณมาดู -- พวกคุณที่เหมือนกันกับฉัน -- และเหนือสิ่งอื่นใด ฉันดีใจที่ได้เห็นนักแสดงทุกคนแสดงมันออกมา ทำให้เรื่องราวนี้ได้มีตัวตน มีชีวิตขึ้นมาจริงๆ --”
ทว่าจนถึงประโยคนี้แล้ว ก็ยังไม่มีเสียงปรบมือใดๆดังขึ้นอย่างที่เธอคาดเอาไว้ --
แมกดาลีนนิ่งชะงักไปชั่วขณะ
ทำไมพวกเขาถึงไม่ปรบมือ -- เธอนึก
ทำไมพวกเขาถึงไม่ปรบมือ หรือสรรเสริญ โศกนาฏกรรมที่สมบูรณ์แบบของเธอ -- ที่เกิดจากเรื่องราวของเธอ -- ที่มีชีวิตจริงๆ
ตอนนั้นเองที่หูเธอได้ยินเสียงกระซิบดังขึ้นมาจากร่างสามมิติของผู้ชมว่า “นี่มันแย่มาก”
แมกดาลีนนิ่งเงียบไป
“เธอเพิ่งเลียนแบบโศกนาฏกรรมในตำนานของละครเวทีไป”
“เธอเลียนแบบเรื่องโศกนาฏกรรมของแมกดาลีน”
“แค่เพราะละครเวทีชื่อดังนั้น เป็นเวทีแจ้งเกิดของเธอ และมีชื่อเหมือนกันกับเธอน่ะหรือ”
แมกดาลีนรู้สึกสำลักลมหายใจของตนเอง -- ไม่จริง เธอไม่ได้เลียนแบบเรื่องของคนอื่น
นี่คือเรื่องของเธอ!
เรื่องของเธอที่เกิดจากละครเวทีคืนวันนั้นต่างหาก!
พลันเสียงของเดซี่ที่พูดกับเธอเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนก็ดังขึ้นในหัวของเธอ
คุณแน่ใจจริงๆหรือคะ ว่าฉากหลังจากนี้มันถูกต้องดีแล้ว --
ใครหลายคนตั้งคำถาม ว่าบทละครมันถูกต้องดีแล้วหรือเปล่า -- เราต่างสงสัย แต่ไม่มีใครกล้าถามคุณออกมาตรงๆ
มันเสร็จสมบูรณ์ดีแล้วหรือคะ
แล้วเสียงของชาร์ลีก็ดังประสานเข้ากับเสียงเดซี่ว่า
ผมไม่ชอบครับ
มันน่าเบื่อครับ
แมกดาลีนตัวสั่นขึ้นมา เมื่อรับรู้ได้ว่าเรื่องของเธออาจจะไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเรื่องๆหนึ่ง ที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบ
“นี่มันละครอะไรกันนี่” เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นอีก
“เธอเปลี่ยนตอนจบ” พวกเขาพึมพัม “เธอเขียนให้ตัวเองได้โผล่มาตอนจบ แล้วทำเรื่องที่ไม่เข้าท่า อย่างยิงผู้ชายคนนั้น”
“แต่เธอก็ให้เฟอร์กี้มาร่วมแสดงนี่ -- ฉันนึกว่าเฟอร์กี้ไม่ได้รับบทอะไรแล้วเสียอีก”
“นี่มันน่าสมเพช --” เสียงกระซิบกระซาบดังต่อไป “พวกเธอเพิ่งทำลายละครเวทีนี้ลงไป ด้วยการดัดแปลงบทประพันธ์”
“มันจบแล้วจริงๆ” หนึ่งในนั้นพูดดังขึ้น “ยุคของโรงละครนี้จบลงแล้ว ยุคของแมกดาลีนก็จบลงแล้วเช่นเดียวกัน เธอไม่ได้ดีอะไรไปกว่าการเลียนแบบผลงานระดับตำนาน และพยายามจะขโมยมาเป็นของตัวเอง”
“เธอเพิ่งฆ่าตัวตายไป ด้วยเรื่องโศกนาฏกรรมสุดท้ายนี่”
ความเงียบที่โอบล้อมไปทั่วบริเวณนั้น ทำให้แมกดาลีนสูดลมหายใจเข้าลึก ราวกับพยายามสัมผัสทุกอณูของอากาศรอบตัว --
เธอเพิ่งฆ่าตัวตายไป ด้วยเรื่องราวของตัวเธองั้นหรือ --
แมกดาลีนกะพริบตา -- อย่างนั้นหรอกหรือ
เธอเหลือบมองร่างของเจมส์และเฟอร์กี้ -- มองรอยกระสุน และคราบเลือดที่เปื้อนไปทั่วบริเวณนั้น ก่อนที่จะมองกระบอกปืนในมือของตนเอง
เรื่องราวของเธอไม่ได้เป็นเรื่องที่ควรแค่แก่การถูกจดจำสำหรับใครเลยงั้นหรือ
เธอไม่ได้เข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบนั่นได้เลยสักนิดงั้นหรือ
ดวงตาสีดำกวาดมองไปรอบตัว ไปจนถึงร่างของใครคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาประชิดขอบเวที -- แต่เธอไม่สนใจอะไรอีกต่อไปแล้ว
มันไม่มีความหมายอะไรเลยงั้นหรือ
อาจจะเป็นแบบนั้น -- เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากห้วงคำนึงของเธอ -- ไม่มีความหมายอะไร
โศกนาฏกรรมอันไร้ค่าของเธออาจจะถึงเวลาที่จะต้องจบแล้วจริงๆ
วินาทีนั้นแมกดาลีนรู้สึกดำดิ่ง และหลงอยู่ในวังวนของความมืดเพียงลำพัง --
แล้วในวังวนนั้นเธอก็ได้ยินเสียงตัวเองพูดออกไปว่า “คือความจริง คือความฝัน คือความรัก และคือชีวิต”
เสียงนั้นดังสะท้อนไปมา ก่อนจะค่อยๆเลือนหายไป -- คล้ายกับว่าเธอกำลังจมดิ่งอยู่ในภวังค์ของตนเอง
“ฉันดีใจที่ --” แมกดาลีนได้ยินเสียงตนเองกระซิบออกมา “ได้เห็นเรื่องราวนี้มีตัวตน มีชีวิตขึ้นมาจริงๆ --”
ดวงตาสีดำเหลือบมองกระปืนในมือตนเองอีกครั้ง ก่อนที่จะยกมันขึ้นมาช้าๆ จนแสงส่องกระทบ เป็นเงาสะท้อนเข้ากับใบหน้าของเธอ
“จนฉันเกือบจะสัมผัสได้จริงๆ”
เกิดความเงียบขึ้นมาชั่วขณะ
แล้วในชั่วขณะนั้น แมกดาลีนก็พบคำตอบที่ตามหามาโดยตลอด -- คำตอบที่เป็นความหมายของความพยายามมาตลอดเส้นทางผจญภัยนี้
แล้วเสียงของแมกดาลีนก็กระซิบขึ้นมาว่า “แด่ชีวิตและความจริง”
เสียงอันแผ่วเบานั้นดังก้องกังวานไปทั่วทั้งโถง -- จากนั้นความเงียบก็เข้ามาครอบงำสถานที่แห่งนี้อีกครั้ง
แมกดาลีนมองร่างนับร้อยที่ส่องแสงสว่างเบื้องหน้าตนเอง มองใบหน้าที่คล้ายแสงไฟเหล่านั้น -- แวบหนึ่งเธอสัมผัสได้ถึงความร้อนของแสงไฟที่ส่องจ้า และความหนาวเย็นของบรรยากาศที่อยู่รอบตัวตนเองในเวลาเดียวกัน
ในที่สุดเธอก็ขยับนิ้ว -- เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
พลันเสียงหนึ่งก็ดังก้องกังวานไปทั่วความเงียบนั่น
ปัง!
แล้วภาพทุกอย่างก็ดับวูบลงไป