เรื่อง วันอำลาสถาบัน
ล. วิลิศมาหรา
เต้ยสะดุ้งตื่นขึ้นจากเสียงปลุกของนาฬิกาปลุกซึ่งตั้งเวลาไว้ที่ตีสี่ เด็กนักเรียนชายชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 กระวีกระวาดลุกขึ้นเก็บผ้าห่มพับไว้ปลายที่นอนจนเรียบร้อย เหลียวมองดูตุ้มกับต้อย น้องสาวฝาแฝดวัยหกปี เห็นยังนอนหลับปุ๋ยอยู่ข้าง ๆ ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เวลาประมาณนี้มันยังเช้าเกินไปสำหรับน้องทั้งสองที่จะต้องงัวเงียตื่นขึ้นมา วันนี้เต้ยตั้งนาฬิกาปลุก ให้มันปลุกเร็วกว่าทุกวัน เพราะตั้งใจจะไปให้ถึงโรงเรียนก่อนเพื่อนคนอื่นในห้องทุกคน
ค่อย ๆ โหย่งเท้าออกจากห้องนอนมา เพราะกลัวทำน้องตื่น แล้วจึงเดินเข้าห้องน้ำรวมหนึ่งในสองห้อง ตรงมุมสุดของระเบียงไม้เก่า ใกล้ผุพังเต็มที
ห้องแถวไม้ที่เต้ยอาศัยอยู่ เป็นห้องที่เก่าแก่ที่สุดของตลาด มีจำนวนห้าห้อง ตั้งอยู่ท้ายตลาด เจ้าของตลาดเขายังใจดี ไม่รื้อทิ้งสร้างใหม่ให้เป็นตึกแถวสวย ๆ เหมือนที่อื่น อาจเพราะเห็นใจคนเช่าชราอย่างยายของเต้ย กับครอบครัวลุงป้าอีกสี่ครอบครัว ซึ่งล้วนมีฐานะยากจน ไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง รวมทั้งไม่มีที่ไป หากรื้อห้องแถวไม้พวกนี้ทิ้งจริง คนเหล่านี้จะกลายเป็นคนเร่ร่อนไร้บ้านไปทันที
เรื่องเศร้าราวนิยายน้ำเน่าทำนองนี้พบเห็นได้ทั่วไปในสังคมเมืองใหญ่ ที่คนจนต่างพากันปากกัดตีนถีบ ส่วนคนรวยที่มีต้นทุนชีวิตสูงกว่าก็รวยเอา ๆ ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนถ่างออกห่างมากขึ้นทุกที บางทียิ่งจนยิ่งถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกเรียกร้องให้เสียค่าใช้จ่ายเบี้ยบ้ายรายทาง หากอยากได้สวัสดิการอะไรจากรัฐสักอย่าง ซึ่งมันจะเกิดขึ้นที่ไหนก็ช่าง ขอแต่อย่าได้เกิดกับครอบครัวยากจนของเต้ยอีกเลย...สาธุ
เมื่อเจ้าของตลาดยังไม่คิดปรับปรุงตลาด อาคารไม้ดั้งเดิมของตลาดจึงยังเรียงรายอยู่หลายสิบห้อง แบ่งเป็นสองฟากด้วยทางเดินตรงกลางไปจนสุดแนวตลาด ด้านหน้าตลาดติดกับถนนใหญ่ ที่นี่จึงเป็นแหล่งทำมาค้าขายสารพัดสินค้า บางห้องอยู่กันมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ จนมาถึงรุ่นลูกก็ยังทำอาชีพเดิมสืบต่อ
เด็กหนุ่มอาบน้ำเสร็จก็ออกมายืนมองเข้าไปยังข้างในห้อง ซึ่งใช้เป็นที่หลับนอน เป็นห้องครัว เป็นที่เก็บของ และเป็นห้องจิปาถะ...อีกหน่อยถ้าเขามีงานการทำ มีรายได้ เขาจะพายายกับน้องย้ายไปหาที่อยู่แห่งใหม่ให้ดีกว่าเดิม สภาพที่เห็นตอนนี้แม้แทบจะทนไม่ได้ แต่ก็ต้องจำใจยอมทน เพราะถึงอย่างไรย่อมดีกว่าไม่มีที่ซุกหัวนอน
นักเรียนชายผู้กำลังจะจบการศึกษาระดับมัธยมฯปลาย ครุ่นคิดในใจ
เมื่อวานเต้ยขออนุญาติยาย งดช่วยขายน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ไปหนึ่งวัน เพราะวันนี้จะไปโรงเรียนเป็นวันสุดท้าย ก่อนจบการศึกษา และจะมีกิจกรรมอำลาครูประจำชั้น กับบรรดาเพื่อน ๆ ในห้อง เขาเรียนจบ มอ.หก เสียที
ที่อยากไปให้ถึงโรงเรียนก่อนคนอื่นก็เพราะปกติเต้ยมักไปโรงเรียนสาย เขาต้องช่วยยายตั้งโต๊ะและช่วยขายน้ำเต้าหู้เสียก่อน รอจนน้องสองคนตื่นนอน จับน้องอาบน้ำแต่งตัว หาข้าวปลาให้น้องกินจนเสร็จ ถึงค่อยพาน้อง ๆ ไปส่งขึ้นรถโรงเรียนที่มารับยังหน้าตลาด ก่อนกลับมาช่วยยายเก็บกวาดโต๊ะกับรถเข็นอีกที หลังจากนั้นจึงลงมือทำความสะอาด ล้างภาชนะจนเสร็จเรียบร้อย กว่าจะออกมาขึ้นรถประจำทางไปโรงเรียนได้ เต้ยจึงมักไปไม่ทันโรงเรียนเข้าอยู่เป็นประจำ
โชคดีที่เพื่อนในห้องและคุณครูประจำชั้นต่างเห็นใจคอยให้ความช่วยเหลือ เขาจึงสามารถร่ำเรียนได้ แม้เกรดจะไม่ค่อยดีนัก แต่วุฒิการศึกษาระดับมัธยมปลาย ก็คงพอใช้เป็นบันไดขั้นแรกให้ก้าวต่อไป จนกว่าจะพบจุดสูงสุดของชีวิต
อีกเรื่องที่ทำให้มีกำลังใจสู้ชีวิต เป็นเพราะเต้ยมีแก้ม เพื่อนหญิงคนสนิทที่คอยเป็นห่วง เธอตามคอยดูแลช่วยเหลือเขามาตลอด ตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนที่นี่เมื่อตอน มอ. สี่ เด็กสาวรู้ดีถึงปัญหาของเต้ย พ่อกับแม่ของเต้ยออกไปหางานทำยังต่างจังหวัดตั้งแต่ฝาแฝดอายุขวบเดียว จนกระทั่งบัดนี้เวลาล่วงเลยมากว่าห้าปี ไม่มีข่าวคราวจากบุคคลทั้งสองติดต่อกลับมาบ้างเลย ทิ้งภาระทั้งหมดไว้ให้กับหญิงชราวัยเจ็ดสิบปีอย่างยาย ซึ่งต้องทนขายน้ำเต้าหู้หาเลี้ยงหลานตาดำ ๆ ตามลำพัง ยายบอกเสมอว่าถ้าไม่มีหลานชายคนดีของยาย...ยายเองคงจะขอลาตายไปพร้อมกับหลาน ๆ นานแล้ว สองยายหลานกอดกันร้องไห้ เต้ยกอดปลอบยาย บอกว่าหลานชายของยายโตแล้ว อีกไม่นานเต้ยจะหาเลี้ยงยายเอง
บ้านของแก้มอยู่ไม่ไกลจากห้องเช่าในตลาดของเต้ย ดังนั้นแก้มจึงช่วยทั้งเรื่องเวรทำความสะอาดห้อง ทั้งคอยส่งข่าวเรื่องตารางเรียน และช่วยทำการบ้านให้ ถ้าเต้ยทำไม่ทัน เพราะบางคืนเขายังต้องออกไปตั้งโต๊ะขายน้ำเต้าหู้ตามงานรื่นเริงต่าง ๆ ในตัวเมืองอีกด้วย
หลังแต่งตัวเสร็จก็ออกมายืนข้างนอก เห็นยายเตรียมของสำหรับขายเช้าวันนี้เรียบร้อยหมดแล้ว นึกว่าตัวเองตื่นเช้าที่สุด แต่ยายยังตื่นเร็วกว่าอีก พอเห็นหลานชายก้มลงใส่ร้องเท้านักเรียน หญิงชราก็ร้องถาม
“ไม่กินอะไรรองท้องหน่อยเหรอลูก ปาท่องโก๋ชุดแรกยายทอดเสร็จแล้ว กับน้ำเต้าหู้วางบนโต๊ะแน่ะ” ยายบุ้ยใบ้ไปทางโต๊ะพับซึ่งจัดไว้สำหรับคนมานั่งกิน ตั้งอยู่หน้าห้องแถว ใกล้กับรถเข็นคู่ชีพ
“ไม่ล่ะยาย มันเช้าเกินไป เต้ยยังไม่หิว” เด็กหนุ่มปฏิเสธ แล้วก็รีบเข้ามากอดเอวประจบ เมื่อเห็นยายทำท่างอน ครู่เดียวยายก็ยิ้มออก ลูบศีรษะหลานชายอย่างรักใคร่เอ็นดู พึมพำอวยชัยให้พรเหมือนทุกวัน เต้ยยิ้มตอบ ผละจากยายหันไปคว้ากระเป๋านักเรียน ไม่ลืมเดินไปหยิบดอกกุหลาบสีแดงดอกหนึ่ง ซึ่งแช่น้ำทิ้งไว้ในแก้วมาถือ
“จะเอาไปให้สาวล่ะสิ”
ยายเย้ายิ้ม ๆ เต้ยยิ้มเขิน ไม่ตอบยาย รีบเดินเลี่ยงลงบันไดเตี้ย ๆ สามขั้นของระเบียงห้องเช่ามาสู่ทางเดิน ซึ่งแล่นผ่านใจกลางตลาด สองข้างทางเป็นห้องแถวไม้เรียงรายติดต่อกันไป ห้องแถวเหล่านี้เป็นของอีกเจ้าหนึ่ง เครือญาติเดียวกันกับเจ้าของตลาด
เด็กหนุ่มไหว้สวัสดียาย แล้วเลยไหว้อาแปะร้านขายอาหารด้านข้างติดกันกับห้องเต้ย ที่กำลังเปิดหน้าร้านออกมาพอดี
“วันนี้ไปโรงเรียนแต่เช้าเลยนะอาตี๋”
คุณลุงเชื้อสายจีนเอ่ยทักทาย ส่งยิ้มร่ามาให้ เต้ยรับคำพลางยิ้มตอบ ขณะก้าวเท้าออกเดิน เขาก้มลงมองกุหลาบสีแดงในมือ วันนี้เขาจะต้องบอกความในใจให้แก้มรู้ ว่าสิ่งที่แก้มทำให้นั้น เขาประทับใจมาก...มันมากเสียจนเกินเลยจากความเป็นเพื่อน กลับกลายมาเป็นความรัก...ถูกต้องแล้ว เต้ยรักแก้ม
เด็กหนุ่มเผลอยิ้มให้ตัวเอง ขณะสาวเท้าออกเดินไปเรื่อย ๆ พ่อค้าแม่ขายที่เริ่มเปิดร้านกันบ้างแล้ว ต่างทยอยขนของออกมาเรียงวางขาย เต้ยจึงเดินแจกยิ้มให้คนรู้จักกันไปตลอดทาง ด้วยความครึ้มอกครึ้มใจ
เดินมาหยุดรอรถประจำทางที่ป้ายรถ สักพักรถสายที่ต้องการก็มาถึง มีคนลงป้ายนี้สองสามคน เด็กหนุ่มรีบเดินขึ้นรถทันที โอ้...วันนี้รถโล่งดีจัง เลือกนั่งได้ตามสบาย ไม่เคยขึ้นรถประจำทางในเวลานี้มาก่อน ปกติต้องยืนไปจนถึงโรงเรียนทุกครั้ง
ในที่สุดเขาก็มาถึงโรงเรียนในเวลาตีห้า แต่ทว่าประตูรั้วของโรงเรียนยังไม่เปิด ทั่วบริเวณยังมืดสลัว รอสักพักลุงภารโรงชื่อประกอบ ซึ่งพักอยู่ในโรงเรียนก็เดินมาเปิดประตูรั้ว ลุงแกท่าทางยังไม่สดชื่น บ่นงึมงำว่าหมู่นี้นอนไม่ค่อยหลับ ทำเอาอ่อนเพลียหูเฝื่อนตาฝาด ต้องไปให้หมอตรวจดูเสียหน่อย เต้ยพยักหน้าอย่างเห็นดีด้วย ลุงภารโรงวัยใกล้เกษียณและสุขภาพไม่ค่อยอำนวย เพราะแกดื่มสุราจัด ขนาดยืนห่าง ๆ ยังได้กลิ่นแอลกอฮอล์คลุ้งจากตัวลุงอยู่เลย หากแกคิดใส่ใจเรื่องสุขภาพก็เป็นเรื่องน่ายินดี เด็กหนุ่มเดินตามแกเข้าประตูโรงเรียนไปเงียบ ๆ
เต้ยเดินขึ้นไปบนชั้นสองของตัวอาคาร เขามาถึงห้องเรียนเป็นคนแรกตามที่ตั้งใจเอาไว้จริง ๆ เดินไปเปิดไฟในห้องให้สว่าง ฉวยเอาไม้กวาดกับที่โกยผงมากวาดทำความสะอาดห้อง บ่นในใจว่าอยู่ห้องนี้มาตลอดสามปี ไม่ค่อยได้กวาดห้องเรียนเลยสักที เพราะมาไม่ทันเวรทำความสะอาดห้อง แก้มต้องช่วยทำให้ตลอด นึกแล้วต้องโคลงศีรษะ เขาไม่ได้คิดจะเอาเปรียบเพื่อน แต่ความจำเป็นมันบังคับให้เป็นแบบนั้น กวาดห้องเสร็จก็จัดการเขียนบนกระดานดำด้วยชอกหลากสี เป็นตัวอักษรขนาดใหญ่ว่า ‘สุขสันต์วันจบการศึกษา’ เขียนแล้วก็ถอยออกมายืนดู รู้สึกตื้นตันในอกจนน้ำตารื้นหัวตา ในที่สุดเราก็เรียนจบจนได้
เด็กหนุ่มกลับมานั่งรออยู่ที่โต๊ะตัวเอง เหลียวมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างอาลัย โอ้...เพื่อน ๆ ที่รัก นี่เราจะต้องจากกันจริงแล้วสินะ...รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก ความรักความผูกพันต่อสถานศึกษา ห้องเรียนและเพื่อน ๆ ตลอดสามปีที่ผ่านมา มันแนบแน่น โดยเฉพาะกับแก้ม
มาโรงเรียนอีกเพียงวันเดียว ต่างคนต่างจะไปตามเส้นทางชีวิตของแต่ละคน ทางใครทางมัน แก้มและเต้ยก็เช่นกัน เพื่อนสาวคนเก่งคงได้เรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น ต่อไปเธอจะรังเกียจคนจนแบบเขาหรือไม่ เต้ยคิดอย่างหวั่นไหว...ขออย่าให้แก้มตัดสินคนแค่ภายนอกเลย เขายินดีพิสูจน์ให้แก้มเห็นว่า ตัวเองมีดีพอที่จะเป็นคนรักของเธอ เต้ยอาจไม่ได้เรียนต่อในมหาวิทยาลัย แต่เขาไม่เชื่อว่ามหาวิทยาลัยคือทุกสิ่งของชีวิต ความตั้งใจจริงและลงมือทำ ย่อมเอาชนะอุปสรรคได้ทุกอย่าง เขาจะต้องประสบความสำเร็จในชีวิต ตามวิถีทางที่เลือกให้ได้
ขณะนี้เป็นเวลาตีห้ากว่าแล้ว แต่ยังไร้วี่แววของเพื่อน ๆ จะขึ้นมาบนห้อง นี่ไม่มีใครตื่นเต้นกับวันอำลาสถาบันกันเลยหรือไง เต้ยฟุบหน้าลงกับท่อนแขนบนโต๊ะเรียน คิดถึงตอนสารภาพรักกับแก้มจะทำยังไงดี...นึกแล้วเกิดเขินอายขึ้นมา แล้วแก้มล่ะ เธอจะทำหน้าแบบไหนกัน หรือว่าต่างคนต่างอาย ไม่ได้สิ ถ้ามัวแต่อายก็อาจไม่มีโอกาสได้สารภาพรักกับเธออีก ฟุบนอนคิดเพลินไปหน่อยจนผล็อยหลับไปไม่ทันรู้ตัว
“เฮ้ย! พวกเรา อาจารย์ประนอมบอกให้ลงไปถ่ายรูปหมู่ตรงบันไดชั้นล่างแน่ะ ครูชูวิทย์จะเป็นคนถ่ายให้”
เด็กหนุ่มสะดุ้งตื่นจากเสียงดังลั่นห้องของยายน้ำฝนหัวหน้าห้อง ที่ตะโกนบอกเพื่อน ๆ เด็กนักเรียนในห้องต่างรีบกรูกันลงไปชั้นล่างทันที เต้ยงัวเงียลุกขึ้น เจ้าพวกนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วไม่ยักมีใครปลุก พวกเขาคงเกรงใจนึกว่าเต้ยเพลีย เพราะตัวเองชอบมาฟุบหลับในห้องเป็นประจำ...กวาดตามองไม่เห็นแก้ม แปลกจริงทำไมวันนี้แก้มถึงมาสาย เด็กหนุ่มรีบเดินแกมวิ่งตามเพื่อน ๆ ลงไป
พอไปถึงชั้นล่างของอาคารเรียน เห็นครูประจำชั้นทั้งสองยืนรออยู่ ครูผู้ชายเป็นคนถ่ายรูป ส่วนครูผู้หญิงกำลังจัดแถวนักเรียนให้เป็นสามแถว ลดหลั่นกันลงมา แถวยืนหลังสุดเป็นนักเรียนชาย อีกสองแถวเป็นนักเรียนหญิง แถวแรกได้นั่งเก้าอี้
“มากันครบไหม ขาดใครบ้าง” คุณครูผู้หญิงถามขึ้น น้ำฝนซึ่งอยู่แถวหน้าสุดเหลียวมองดูเพื่อน พลางนับจำนวน
“ยี่สิบแปดคน ไม่ครบนี่...ขาดใครนะ”
“ขาดเต้ยกับแก้ม” เสียงเพื่อนคนหนึ่งตอบ เต้ยซึ่งยืนแถวหลังสุดและอยู่ริมสุดรีบตะโกนบอก “เต้ยอยู่นี่”
(มีต่อ)
วันอำลาสถาบัน
ล. วิลิศมาหรา
เต้ยสะดุ้งตื่นขึ้นจากเสียงปลุกของนาฬิกาปลุกซึ่งตั้งเวลาไว้ที่ตีสี่ เด็กนักเรียนชายชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 กระวีกระวาดลุกขึ้นเก็บผ้าห่มพับไว้ปลายที่นอนจนเรียบร้อย เหลียวมองดูตุ้มกับต้อย น้องสาวฝาแฝดวัยหกปี เห็นยังนอนหลับปุ๋ยอยู่ข้าง ๆ ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เวลาประมาณนี้มันยังเช้าเกินไปสำหรับน้องทั้งสองที่จะต้องงัวเงียตื่นขึ้นมา วันนี้เต้ยตั้งนาฬิกาปลุก ให้มันปลุกเร็วกว่าทุกวัน เพราะตั้งใจจะไปให้ถึงโรงเรียนก่อนเพื่อนคนอื่นในห้องทุกคน
ค่อย ๆ โหย่งเท้าออกจากห้องนอนมา เพราะกลัวทำน้องตื่น แล้วจึงเดินเข้าห้องน้ำรวมหนึ่งในสองห้อง ตรงมุมสุดของระเบียงไม้เก่า ใกล้ผุพังเต็มที
ห้องแถวไม้ที่เต้ยอาศัยอยู่ เป็นห้องที่เก่าแก่ที่สุดของตลาด มีจำนวนห้าห้อง ตั้งอยู่ท้ายตลาด เจ้าของตลาดเขายังใจดี ไม่รื้อทิ้งสร้างใหม่ให้เป็นตึกแถวสวย ๆ เหมือนที่อื่น อาจเพราะเห็นใจคนเช่าชราอย่างยายของเต้ย กับครอบครัวลุงป้าอีกสี่ครอบครัว ซึ่งล้วนมีฐานะยากจน ไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง รวมทั้งไม่มีที่ไป หากรื้อห้องแถวไม้พวกนี้ทิ้งจริง คนเหล่านี้จะกลายเป็นคนเร่ร่อนไร้บ้านไปทันที
เรื่องเศร้าราวนิยายน้ำเน่าทำนองนี้พบเห็นได้ทั่วไปในสังคมเมืองใหญ่ ที่คนจนต่างพากันปากกัดตีนถีบ ส่วนคนรวยที่มีต้นทุนชีวิตสูงกว่าก็รวยเอา ๆ ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนถ่างออกห่างมากขึ้นทุกที บางทียิ่งจนยิ่งถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกเรียกร้องให้เสียค่าใช้จ่ายเบี้ยบ้ายรายทาง หากอยากได้สวัสดิการอะไรจากรัฐสักอย่าง ซึ่งมันจะเกิดขึ้นที่ไหนก็ช่าง ขอแต่อย่าได้เกิดกับครอบครัวยากจนของเต้ยอีกเลย...สาธุ
เมื่อเจ้าของตลาดยังไม่คิดปรับปรุงตลาด อาคารไม้ดั้งเดิมของตลาดจึงยังเรียงรายอยู่หลายสิบห้อง แบ่งเป็นสองฟากด้วยทางเดินตรงกลางไปจนสุดแนวตลาด ด้านหน้าตลาดติดกับถนนใหญ่ ที่นี่จึงเป็นแหล่งทำมาค้าขายสารพัดสินค้า บางห้องอยู่กันมาตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ จนมาถึงรุ่นลูกก็ยังทำอาชีพเดิมสืบต่อ
เด็กหนุ่มอาบน้ำเสร็จก็ออกมายืนมองเข้าไปยังข้างในห้อง ซึ่งใช้เป็นที่หลับนอน เป็นห้องครัว เป็นที่เก็บของ และเป็นห้องจิปาถะ...อีกหน่อยถ้าเขามีงานการทำ มีรายได้ เขาจะพายายกับน้องย้ายไปหาที่อยู่แห่งใหม่ให้ดีกว่าเดิม สภาพที่เห็นตอนนี้แม้แทบจะทนไม่ได้ แต่ก็ต้องจำใจยอมทน เพราะถึงอย่างไรย่อมดีกว่าไม่มีที่ซุกหัวนอน
นักเรียนชายผู้กำลังจะจบการศึกษาระดับมัธยมฯปลาย ครุ่นคิดในใจ
เมื่อวานเต้ยขออนุญาติยาย งดช่วยขายน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ไปหนึ่งวัน เพราะวันนี้จะไปโรงเรียนเป็นวันสุดท้าย ก่อนจบการศึกษา และจะมีกิจกรรมอำลาครูประจำชั้น กับบรรดาเพื่อน ๆ ในห้อง เขาเรียนจบ มอ.หก เสียที
ที่อยากไปให้ถึงโรงเรียนก่อนคนอื่นก็เพราะปกติเต้ยมักไปโรงเรียนสาย เขาต้องช่วยยายตั้งโต๊ะและช่วยขายน้ำเต้าหู้เสียก่อน รอจนน้องสองคนตื่นนอน จับน้องอาบน้ำแต่งตัว หาข้าวปลาให้น้องกินจนเสร็จ ถึงค่อยพาน้อง ๆ ไปส่งขึ้นรถโรงเรียนที่มารับยังหน้าตลาด ก่อนกลับมาช่วยยายเก็บกวาดโต๊ะกับรถเข็นอีกที หลังจากนั้นจึงลงมือทำความสะอาด ล้างภาชนะจนเสร็จเรียบร้อย กว่าจะออกมาขึ้นรถประจำทางไปโรงเรียนได้ เต้ยจึงมักไปไม่ทันโรงเรียนเข้าอยู่เป็นประจำ
โชคดีที่เพื่อนในห้องและคุณครูประจำชั้นต่างเห็นใจคอยให้ความช่วยเหลือ เขาจึงสามารถร่ำเรียนได้ แม้เกรดจะไม่ค่อยดีนัก แต่วุฒิการศึกษาระดับมัธยมปลาย ก็คงพอใช้เป็นบันไดขั้นแรกให้ก้าวต่อไป จนกว่าจะพบจุดสูงสุดของชีวิต
อีกเรื่องที่ทำให้มีกำลังใจสู้ชีวิต เป็นเพราะเต้ยมีแก้ม เพื่อนหญิงคนสนิทที่คอยเป็นห่วง เธอตามคอยดูแลช่วยเหลือเขามาตลอด ตั้งแต่เริ่มเข้าเรียนที่นี่เมื่อตอน มอ. สี่ เด็กสาวรู้ดีถึงปัญหาของเต้ย พ่อกับแม่ของเต้ยออกไปหางานทำยังต่างจังหวัดตั้งแต่ฝาแฝดอายุขวบเดียว จนกระทั่งบัดนี้เวลาล่วงเลยมากว่าห้าปี ไม่มีข่าวคราวจากบุคคลทั้งสองติดต่อกลับมาบ้างเลย ทิ้งภาระทั้งหมดไว้ให้กับหญิงชราวัยเจ็ดสิบปีอย่างยาย ซึ่งต้องทนขายน้ำเต้าหู้หาเลี้ยงหลานตาดำ ๆ ตามลำพัง ยายบอกเสมอว่าถ้าไม่มีหลานชายคนดีของยาย...ยายเองคงจะขอลาตายไปพร้อมกับหลาน ๆ นานแล้ว สองยายหลานกอดกันร้องไห้ เต้ยกอดปลอบยาย บอกว่าหลานชายของยายโตแล้ว อีกไม่นานเต้ยจะหาเลี้ยงยายเอง
บ้านของแก้มอยู่ไม่ไกลจากห้องเช่าในตลาดของเต้ย ดังนั้นแก้มจึงช่วยทั้งเรื่องเวรทำความสะอาดห้อง ทั้งคอยส่งข่าวเรื่องตารางเรียน และช่วยทำการบ้านให้ ถ้าเต้ยทำไม่ทัน เพราะบางคืนเขายังต้องออกไปตั้งโต๊ะขายน้ำเต้าหู้ตามงานรื่นเริงต่าง ๆ ในตัวเมืองอีกด้วย
หลังแต่งตัวเสร็จก็ออกมายืนข้างนอก เห็นยายเตรียมของสำหรับขายเช้าวันนี้เรียบร้อยหมดแล้ว นึกว่าตัวเองตื่นเช้าที่สุด แต่ยายยังตื่นเร็วกว่าอีก พอเห็นหลานชายก้มลงใส่ร้องเท้านักเรียน หญิงชราก็ร้องถาม
“ไม่กินอะไรรองท้องหน่อยเหรอลูก ปาท่องโก๋ชุดแรกยายทอดเสร็จแล้ว กับน้ำเต้าหู้วางบนโต๊ะแน่ะ” ยายบุ้ยใบ้ไปทางโต๊ะพับซึ่งจัดไว้สำหรับคนมานั่งกิน ตั้งอยู่หน้าห้องแถว ใกล้กับรถเข็นคู่ชีพ
“ไม่ล่ะยาย มันเช้าเกินไป เต้ยยังไม่หิว” เด็กหนุ่มปฏิเสธ แล้วก็รีบเข้ามากอดเอวประจบ เมื่อเห็นยายทำท่างอน ครู่เดียวยายก็ยิ้มออก ลูบศีรษะหลานชายอย่างรักใคร่เอ็นดู พึมพำอวยชัยให้พรเหมือนทุกวัน เต้ยยิ้มตอบ ผละจากยายหันไปคว้ากระเป๋านักเรียน ไม่ลืมเดินไปหยิบดอกกุหลาบสีแดงดอกหนึ่ง ซึ่งแช่น้ำทิ้งไว้ในแก้วมาถือ
“จะเอาไปให้สาวล่ะสิ”
ยายเย้ายิ้ม ๆ เต้ยยิ้มเขิน ไม่ตอบยาย รีบเดินเลี่ยงลงบันไดเตี้ย ๆ สามขั้นของระเบียงห้องเช่ามาสู่ทางเดิน ซึ่งแล่นผ่านใจกลางตลาด สองข้างทางเป็นห้องแถวไม้เรียงรายติดต่อกันไป ห้องแถวเหล่านี้เป็นของอีกเจ้าหนึ่ง เครือญาติเดียวกันกับเจ้าของตลาด
เด็กหนุ่มไหว้สวัสดียาย แล้วเลยไหว้อาแปะร้านขายอาหารด้านข้างติดกันกับห้องเต้ย ที่กำลังเปิดหน้าร้านออกมาพอดี
“วันนี้ไปโรงเรียนแต่เช้าเลยนะอาตี๋”
คุณลุงเชื้อสายจีนเอ่ยทักทาย ส่งยิ้มร่ามาให้ เต้ยรับคำพลางยิ้มตอบ ขณะก้าวเท้าออกเดิน เขาก้มลงมองกุหลาบสีแดงในมือ วันนี้เขาจะต้องบอกความในใจให้แก้มรู้ ว่าสิ่งที่แก้มทำให้นั้น เขาประทับใจมาก...มันมากเสียจนเกินเลยจากความเป็นเพื่อน กลับกลายมาเป็นความรัก...ถูกต้องแล้ว เต้ยรักแก้ม
เด็กหนุ่มเผลอยิ้มให้ตัวเอง ขณะสาวเท้าออกเดินไปเรื่อย ๆ พ่อค้าแม่ขายที่เริ่มเปิดร้านกันบ้างแล้ว ต่างทยอยขนของออกมาเรียงวางขาย เต้ยจึงเดินแจกยิ้มให้คนรู้จักกันไปตลอดทาง ด้วยความครึ้มอกครึ้มใจ
เดินมาหยุดรอรถประจำทางที่ป้ายรถ สักพักรถสายที่ต้องการก็มาถึง มีคนลงป้ายนี้สองสามคน เด็กหนุ่มรีบเดินขึ้นรถทันที โอ้...วันนี้รถโล่งดีจัง เลือกนั่งได้ตามสบาย ไม่เคยขึ้นรถประจำทางในเวลานี้มาก่อน ปกติต้องยืนไปจนถึงโรงเรียนทุกครั้ง
ในที่สุดเขาก็มาถึงโรงเรียนในเวลาตีห้า แต่ทว่าประตูรั้วของโรงเรียนยังไม่เปิด ทั่วบริเวณยังมืดสลัว รอสักพักลุงภารโรงชื่อประกอบ ซึ่งพักอยู่ในโรงเรียนก็เดินมาเปิดประตูรั้ว ลุงแกท่าทางยังไม่สดชื่น บ่นงึมงำว่าหมู่นี้นอนไม่ค่อยหลับ ทำเอาอ่อนเพลียหูเฝื่อนตาฝาด ต้องไปให้หมอตรวจดูเสียหน่อย เต้ยพยักหน้าอย่างเห็นดีด้วย ลุงภารโรงวัยใกล้เกษียณและสุขภาพไม่ค่อยอำนวย เพราะแกดื่มสุราจัด ขนาดยืนห่าง ๆ ยังได้กลิ่นแอลกอฮอล์คลุ้งจากตัวลุงอยู่เลย หากแกคิดใส่ใจเรื่องสุขภาพก็เป็นเรื่องน่ายินดี เด็กหนุ่มเดินตามแกเข้าประตูโรงเรียนไปเงียบ ๆ
เต้ยเดินขึ้นไปบนชั้นสองของตัวอาคาร เขามาถึงห้องเรียนเป็นคนแรกตามที่ตั้งใจเอาไว้จริง ๆ เดินไปเปิดไฟในห้องให้สว่าง ฉวยเอาไม้กวาดกับที่โกยผงมากวาดทำความสะอาดห้อง บ่นในใจว่าอยู่ห้องนี้มาตลอดสามปี ไม่ค่อยได้กวาดห้องเรียนเลยสักที เพราะมาไม่ทันเวรทำความสะอาดห้อง แก้มต้องช่วยทำให้ตลอด นึกแล้วต้องโคลงศีรษะ เขาไม่ได้คิดจะเอาเปรียบเพื่อน แต่ความจำเป็นมันบังคับให้เป็นแบบนั้น กวาดห้องเสร็จก็จัดการเขียนบนกระดานดำด้วยชอกหลากสี เป็นตัวอักษรขนาดใหญ่ว่า ‘สุขสันต์วันจบการศึกษา’ เขียนแล้วก็ถอยออกมายืนดู รู้สึกตื้นตันในอกจนน้ำตารื้นหัวตา ในที่สุดเราก็เรียนจบจนได้
เด็กหนุ่มกลับมานั่งรออยู่ที่โต๊ะตัวเอง เหลียวมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างอาลัย โอ้...เพื่อน ๆ ที่รัก นี่เราจะต้องจากกันจริงแล้วสินะ...รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก ความรักความผูกพันต่อสถานศึกษา ห้องเรียนและเพื่อน ๆ ตลอดสามปีที่ผ่านมา มันแนบแน่น โดยเฉพาะกับแก้ม
มาโรงเรียนอีกเพียงวันเดียว ต่างคนต่างจะไปตามเส้นทางชีวิตของแต่ละคน ทางใครทางมัน แก้มและเต้ยก็เช่นกัน เพื่อนสาวคนเก่งคงได้เรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น ต่อไปเธอจะรังเกียจคนจนแบบเขาหรือไม่ เต้ยคิดอย่างหวั่นไหว...ขออย่าให้แก้มตัดสินคนแค่ภายนอกเลย เขายินดีพิสูจน์ให้แก้มเห็นว่า ตัวเองมีดีพอที่จะเป็นคนรักของเธอ เต้ยอาจไม่ได้เรียนต่อในมหาวิทยาลัย แต่เขาไม่เชื่อว่ามหาวิทยาลัยคือทุกสิ่งของชีวิต ความตั้งใจจริงและลงมือทำ ย่อมเอาชนะอุปสรรคได้ทุกอย่าง เขาจะต้องประสบความสำเร็จในชีวิต ตามวิถีทางที่เลือกให้ได้
ขณะนี้เป็นเวลาตีห้ากว่าแล้ว แต่ยังไร้วี่แววของเพื่อน ๆ จะขึ้นมาบนห้อง นี่ไม่มีใครตื่นเต้นกับวันอำลาสถาบันกันเลยหรือไง เต้ยฟุบหน้าลงกับท่อนแขนบนโต๊ะเรียน คิดถึงตอนสารภาพรักกับแก้มจะทำยังไงดี...นึกแล้วเกิดเขินอายขึ้นมา แล้วแก้มล่ะ เธอจะทำหน้าแบบไหนกัน หรือว่าต่างคนต่างอาย ไม่ได้สิ ถ้ามัวแต่อายก็อาจไม่มีโอกาสได้สารภาพรักกับเธออีก ฟุบนอนคิดเพลินไปหน่อยจนผล็อยหลับไปไม่ทันรู้ตัว
“เฮ้ย! พวกเรา อาจารย์ประนอมบอกให้ลงไปถ่ายรูปหมู่ตรงบันไดชั้นล่างแน่ะ ครูชูวิทย์จะเป็นคนถ่ายให้”
เด็กหนุ่มสะดุ้งตื่นจากเสียงดังลั่นห้องของยายน้ำฝนหัวหน้าห้อง ที่ตะโกนบอกเพื่อน ๆ เด็กนักเรียนในห้องต่างรีบกรูกันลงไปชั้นล่างทันที เต้ยงัวเงียลุกขึ้น เจ้าพวกนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วไม่ยักมีใครปลุก พวกเขาคงเกรงใจนึกว่าเต้ยเพลีย เพราะตัวเองชอบมาฟุบหลับในห้องเป็นประจำ...กวาดตามองไม่เห็นแก้ม แปลกจริงทำไมวันนี้แก้มถึงมาสาย เด็กหนุ่มรีบเดินแกมวิ่งตามเพื่อน ๆ ลงไป
พอไปถึงชั้นล่างของอาคารเรียน เห็นครูประจำชั้นทั้งสองยืนรออยู่ ครูผู้ชายเป็นคนถ่ายรูป ส่วนครูผู้หญิงกำลังจัดแถวนักเรียนให้เป็นสามแถว ลดหลั่นกันลงมา แถวยืนหลังสุดเป็นนักเรียนชาย อีกสองแถวเป็นนักเรียนหญิง แถวแรกได้นั่งเก้าอี้
“มากันครบไหม ขาดใครบ้าง” คุณครูผู้หญิงถามขึ้น น้ำฝนซึ่งอยู่แถวหน้าสุดเหลียวมองดูเพื่อน พลางนับจำนวน
“ยี่สิบแปดคน ไม่ครบนี่...ขาดใครนะ”
“ขาดเต้ยกับแก้ม” เสียงเพื่อนคนหนึ่งตอบ เต้ยซึ่งยืนแถวหลังสุดและอยู่ริมสุดรีบตะโกนบอก “เต้ยอยู่นี่”
(มีต่อ)