สวัสดีครับ ผมอยากแชร์ประสบการณ์ซ่อมมือถือกับ Samsung ในอเมริกา หวังว่าจะได้เห็นมุมมองใหม่ๆ และถือโอกาสเตือนเรื่องคุณภาพและบริการหลังการขายของ Samsung ด้วยครับ
เรื่องมีอยู่ว่า ผมซื้อ Galaxy Z Fold 3 มือ 1 มาได้ประมาณ 2 เดือน และทราบดีว่าจอพับได้มันบอบบาง เลยค่อยๆเปิดปิดทุกครั้ง คืนสุดท้ายที่ใช้ ผมพับจอแล้วก็นอน ตื่นมาเปิดจอพบว่ามีรอยแตกครับ คือยังไม่เข้าใจว่าแตกได้ยังไง แต่ก็ทำเรื่องเคลมแล้วอธิบายรายละเอียดไป
เวลาส่งซ่อม Samsung ในอเมริกามี 3 ทาง
1. ส่งพัสดุไปที่ Samsung Repair Center ใน Texas (ผมเลือกข้อนี้เพราะสะดวก และคิดว่าส่งไปศูนย์ใหญ่เลยดีกว่า)
2. ขับรถไปที่ Samsung Experience Store ซึ่งค่อนข้างไกลและต้องรอเป็นอาทิตย์
3. ซ่อมกับเจ้าอื่น เช่น UBreakiFix ผมเข้าใจว่ายังมีประกัน เลยไม่เลือกทางนี้ครับ
ส่งไปศูนย์ Samsung ได้อาทิตย์นึง มีอีเมลแจ้งมาว่าไม่มีประกันและเสียค่าซ่อม ~17,400 บาท ($479.99 + tax $39.6 = $519.59) ผมโทรไปก็โดนส่งไปมาระหว่าง Samsung Care, Repair Center, Case Management คร่าวๆคือ Samsung Care เป็นคนรับเรื่องทั่วไป แต่ทำไมเสียค่าซ่อมก็ไม่ทราบ มือถือควรจะมีประกัน 1 ปี เลยส่งต่อไป Repair Center ซึ่งศูนย์ซ่อมก็แจ้งว่าจะซ่อมหรือไม่ซ่อม ไม่จ่ายก็ไม่ซ่อม ไม่มีอำนาจแก้ไขอะไรได้ เลยส่งต่ออีกให้ Case Management ซึ่งมีอำนาจตัดสินใจมากกว่า แต่ Case Management บอกว่าทำอะไรไม่ได้ ต้องให้ Repair Center แจ้งว่าจะให้ลูกค้าเปลี่ยนเครื่อง หรือซ่อมฟรี เลยโดนโยนกลับไป Repair Center ใหม่ วนไปวนมา 2 ชม. สรุปว่าถ้าจอด้านในแตก ประกันจะถูกยกเลิกทันทีเพราะเป็น Physical Damage ผมเลยถามว่าเครื่องมี defect รึเปล่าเพราะพึ่งซื้อมาและไม่เคยทำตก ถ้า Samsung ขายโทรศัพท์ที่มีปัญหาก็ควรรับผิดชอบหรือไม่ Samsung ตอบว่าถ้าจอด้านในแตก ต่อให้ Samsung ผิด ลูกค้าก็ต้องจ่ายค่าซ่อม 17,400 บาท ผมถามว่าถ้าเครื่อง defect พอซ่อมแล้วก็มีโอกาสพังอีก ต้องจ่ายเกือบ 2 หมื่นบาทไปเรื่อยๆเหรอครับ พังทุกๆ 2 เดือน ผ่านไป 2 ปีต้องจ่ายค่าซ่อม 2 แสนเหรอ Samsung ตอบว่าถูกต้องแล้ว
สุดท้ายได้เครื่องกลับมาโดยไม่ได้ซ่อม ผมยอมขับไป Samsung Experience Store เพราะใน Reddit บอกว่าเค้าอาจจะเห็นใจ ดีกว่าคุยกับ Call Center ที่อยู่ห่างกับเราเป็นหมื่นกิโล แต่ก็ได้คำตอบเหมือนเดิมครับ เพิ่มให้อีกช้อยส์คือสมัครประกัน Samsung Care+ ($329.99) แล้วค่าซ่อมจะเหลือ $249 รวมภาษีเป็น $637 (21,000 บาท) สรุปแพงกว่าเดิม
พอคุยกันไม่รู้เรื่อง ผมเลยแจ้ง Better Business Bureau (BBB) เป็นบริษัทเอกชนที่คอยให้เรตติ้งความน่าเชื่อถือของบริษัทต่างๆ บริษัทส่วนใหญ่จะรักษาเรตติ้งพอสมควรเพื่อรักษาภาพลักษณ์ แม้ BBB จะไม่มีอำนาจทางกฎหมาย แต่ก็ช่วยเหลือลูกค้าได้เยอะครับ พอแจ้งไปวันเดียว มีเจ้าหน้าที่ Samsung โทรมาว่าได้รับเรื่องจาก BBB จะดำเนินการขอยกเว้นค่าซ่อมเป็นพิเศษให้ คุยกันไปเป็นอาทิตย์ สรุปว่าซ่อมไม่ได้เพราะถ้าจอแตกก็ผิดเงื่อนไขประกัน และยืนยันคำเดิมว่าต่อให้เป็นความผิด Samsung ลูกค้าก็ต้องจ่าย ผมเดาว่าต่อให้เรทติ้ง BBB ตกก็ไม่แคร์ ยังไงก็ขายได้มั้ง
มาถึงขั้นนี้ ผมจึงปรึกษาทนายว่าคุ้มมั้ยที่จะฟ้อง Small Claim Court (ฟ้องศาลเล็กกรณีที่ค่าเสียหายไม่มาก) ทนายบอกว่าค่าใช้จ่ายคงไม่สูง แต่เสียเวลา ต้องเตรียมหลักฐานสู้คดี ส่งจดหมายเรียกร้องค่าเสียหาย และต่อให้ฟ้องชนะก็อาจจะโดนอุทธรณ์ยืดเยื้อ ผมเลยยอมแพ้ ประกาศขายซากโทรศัพท์ทิ้งครับ
เข็ดตลอดชีวิต ให้ฟรีก็ไม่กล้าใช้แล้ว เกิดพังตอนไปทำงานต่างประเทศคงแย่เลย คงเป็น Samsung เครื่องสุดท้ายในชีวิต อย่างที่ใน Reddit บอกว่า "They treat customers like trash" ครับ
แชร์ประสบการณ์ Samsung Galaxy Z Fold 3 จอแตกเองในอเมริกา และโดนค่าซ่อม 17,400 บาท
เรื่องมีอยู่ว่า ผมซื้อ Galaxy Z Fold 3 มือ 1 มาได้ประมาณ 2 เดือน และทราบดีว่าจอพับได้มันบอบบาง เลยค่อยๆเปิดปิดทุกครั้ง คืนสุดท้ายที่ใช้ ผมพับจอแล้วก็นอน ตื่นมาเปิดจอพบว่ามีรอยแตกครับ คือยังไม่เข้าใจว่าแตกได้ยังไง แต่ก็ทำเรื่องเคลมแล้วอธิบายรายละเอียดไป
เวลาส่งซ่อม Samsung ในอเมริกามี 3 ทาง
1. ส่งพัสดุไปที่ Samsung Repair Center ใน Texas (ผมเลือกข้อนี้เพราะสะดวก และคิดว่าส่งไปศูนย์ใหญ่เลยดีกว่า)
2. ขับรถไปที่ Samsung Experience Store ซึ่งค่อนข้างไกลและต้องรอเป็นอาทิตย์
3. ซ่อมกับเจ้าอื่น เช่น UBreakiFix ผมเข้าใจว่ายังมีประกัน เลยไม่เลือกทางนี้ครับ
ส่งไปศูนย์ Samsung ได้อาทิตย์นึง มีอีเมลแจ้งมาว่าไม่มีประกันและเสียค่าซ่อม ~17,400 บาท ($479.99 + tax $39.6 = $519.59) ผมโทรไปก็โดนส่งไปมาระหว่าง Samsung Care, Repair Center, Case Management คร่าวๆคือ Samsung Care เป็นคนรับเรื่องทั่วไป แต่ทำไมเสียค่าซ่อมก็ไม่ทราบ มือถือควรจะมีประกัน 1 ปี เลยส่งต่อไป Repair Center ซึ่งศูนย์ซ่อมก็แจ้งว่าจะซ่อมหรือไม่ซ่อม ไม่จ่ายก็ไม่ซ่อม ไม่มีอำนาจแก้ไขอะไรได้ เลยส่งต่ออีกให้ Case Management ซึ่งมีอำนาจตัดสินใจมากกว่า แต่ Case Management บอกว่าทำอะไรไม่ได้ ต้องให้ Repair Center แจ้งว่าจะให้ลูกค้าเปลี่ยนเครื่อง หรือซ่อมฟรี เลยโดนโยนกลับไป Repair Center ใหม่ วนไปวนมา 2 ชม. สรุปว่าถ้าจอด้านในแตก ประกันจะถูกยกเลิกทันทีเพราะเป็น Physical Damage ผมเลยถามว่าเครื่องมี defect รึเปล่าเพราะพึ่งซื้อมาและไม่เคยทำตก ถ้า Samsung ขายโทรศัพท์ที่มีปัญหาก็ควรรับผิดชอบหรือไม่ Samsung ตอบว่าถ้าจอด้านในแตก ต่อให้ Samsung ผิด ลูกค้าก็ต้องจ่ายค่าซ่อม 17,400 บาท ผมถามว่าถ้าเครื่อง defect พอซ่อมแล้วก็มีโอกาสพังอีก ต้องจ่ายเกือบ 2 หมื่นบาทไปเรื่อยๆเหรอครับ พังทุกๆ 2 เดือน ผ่านไป 2 ปีต้องจ่ายค่าซ่อม 2 แสนเหรอ Samsung ตอบว่าถูกต้องแล้ว
สุดท้ายได้เครื่องกลับมาโดยไม่ได้ซ่อม ผมยอมขับไป Samsung Experience Store เพราะใน Reddit บอกว่าเค้าอาจจะเห็นใจ ดีกว่าคุยกับ Call Center ที่อยู่ห่างกับเราเป็นหมื่นกิโล แต่ก็ได้คำตอบเหมือนเดิมครับ เพิ่มให้อีกช้อยส์คือสมัครประกัน Samsung Care+ ($329.99) แล้วค่าซ่อมจะเหลือ $249 รวมภาษีเป็น $637 (21,000 บาท) สรุปแพงกว่าเดิม
พอคุยกันไม่รู้เรื่อง ผมเลยแจ้ง Better Business Bureau (BBB) เป็นบริษัทเอกชนที่คอยให้เรตติ้งความน่าเชื่อถือของบริษัทต่างๆ บริษัทส่วนใหญ่จะรักษาเรตติ้งพอสมควรเพื่อรักษาภาพลักษณ์ แม้ BBB จะไม่มีอำนาจทางกฎหมาย แต่ก็ช่วยเหลือลูกค้าได้เยอะครับ พอแจ้งไปวันเดียว มีเจ้าหน้าที่ Samsung โทรมาว่าได้รับเรื่องจาก BBB จะดำเนินการขอยกเว้นค่าซ่อมเป็นพิเศษให้ คุยกันไปเป็นอาทิตย์ สรุปว่าซ่อมไม่ได้เพราะถ้าจอแตกก็ผิดเงื่อนไขประกัน และยืนยันคำเดิมว่าต่อให้เป็นความผิด Samsung ลูกค้าก็ต้องจ่าย ผมเดาว่าต่อให้เรทติ้ง BBB ตกก็ไม่แคร์ ยังไงก็ขายได้มั้ง
มาถึงขั้นนี้ ผมจึงปรึกษาทนายว่าคุ้มมั้ยที่จะฟ้อง Small Claim Court (ฟ้องศาลเล็กกรณีที่ค่าเสียหายไม่มาก) ทนายบอกว่าค่าใช้จ่ายคงไม่สูง แต่เสียเวลา ต้องเตรียมหลักฐานสู้คดี ส่งจดหมายเรียกร้องค่าเสียหาย และต่อให้ฟ้องชนะก็อาจจะโดนอุทธรณ์ยืดเยื้อ ผมเลยยอมแพ้ ประกาศขายซากโทรศัพท์ทิ้งครับ
เข็ดตลอดชีวิต ให้ฟรีก็ไม่กล้าใช้แล้ว เกิดพังตอนไปทำงานต่างประเทศคงแย่เลย คงเป็น Samsung เครื่องสุดท้ายในชีวิต อย่างที่ใน Reddit บอกว่า "They treat customers like trash" ครับ