เคยเปิดใจตักเตือนว่าให้เล่นให้น้อยๆหน่อยอย่าไลฟ์สดในเวลางาน นางสะอึกนะ สะอึกสู้นะ ไม่ได้สะอึกสาย แล้วตอบด้วยสายตาแข็งๆ มองด้วยหางตา
แล้วตอบว่า "ไลฟ์ก็ไม่เห็นเป็นไรก็ไม่ได้ออกท่าออกทางอะไรเสียงดัง ก็แค่เปิดไลฟ์ไว้จังหวะเหมาะก็กระซิบตอบแฟนๆบ้างแค่นั้น แล้วงานก็ทำปกติก็ไลฟ์ที่โต๊ะไลฟ์ด้วยทำงานด้วยไง"
ในมุมเรา ที่บอกคือ
1. เสียงพูดคุยกันของทุกคนมันเข้าไปทั้งเรื่องรับโทรศัพท์ลูกค้าและเรื่องคุยงานกะผู้บริหาร
2.คุณเล่นเยอะไปแล้ว จนแค่มาตอกบัตรเพื่อรอเวลาทำคลิปเรียกไลค์ และไลฟ์สดในเวลางาน2ครั้งต่อวันอย่างเป็นน้อย เพื่อจะขายของเพื่อนร่วมงานต้องช่วยเอางานนางมาเคลียร์ให้แทน เพื่อไม่ให้โดนผลกระทบกันทั้งแผนก
3. เวลาคุณไลฟ์สดที่โต๊ะทำงาน นั่นคือคุณจะไม่ลุกไปตรงอื่นถึงแม้ว่างานตรงอื่นจะด่วนกว่า เพราะคุณกลัวจะต้องหยุดไลฟ์ (เค้าหาเงินจากการไลฟ์สดอยู่ค่ะ) แปลว่างานไม่เดิน
ล่าสุดนางบอกว่าฝากไว้ให้คิด
"คนที่หัวเราะนางว่านางเล่นโซเชียลสามารถมีผู้ติดตามและมียอดไลค์ได้เท่านางไหม? และการที่นางเล่นโซเชียลในที่ทำงานเพราะนางต้องการโปรโมทบริษัทให้เป็นที่รู้จัก นางถึงเลือกเจาะจงที่จะเล่นที่บริษัทเท่านั้น ไม่เล่นที่บ้านเพราะต้องการโปรโมทบริษัท"
แล้วที่สำคัญคนแบบนี้ได้เงินเดือนเยอะซะด้วยสิ ล่าสุดเราเลยยื่นใบลาออกแล้วค่ะ เครียดค่ะเจอแบบนี้ ทำงานไม่มีความสุขเลยมาหลายปีแล้วค่ะจนหมดความอดทน ขอไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า อยู่ไปเราก็คงไม่โตและโดนเอาเปรียบแบบนี้ไปเรื่อยๆ
แต่พอมารู้ข่าวแบบนี้ ก็อดคิดไม่ได้ ว่าทำไมไม่ลาออกเร็วกว่านี้ รออะไร ที่คิดว่าเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกันคือเราหลงคิดไปเองทั้งนั้น เห็นเจตนาชัดแล้วว่าคนมันไม่ปรับปรุงขนาดนี้
ของที่เค้าซื้อให้ รอยยิ้มที่เค้าให้บทสนทนาที่ชวนคุยทุกอย่างคือการ "ซื้อคน" ก็เท่านั้น
รู้สึกดีใจที่เราออกมาได้ซักที แต่ก็มานึกโกรธตัวเองที่อดทนทำไมขนาดนี้ ยอมให้เค้าซื้อด้วยใจคิดว่าเค้ายังมีจิตใจที่ดีหลงเหลืออยู่เค้าแคร์เราและเรายังสำคัญอยู่
มาตอนนี้ถึงรู้ ก็พอเอะใจอยูนะ เพราะทุกครั้งที่เตือนนางยิ่งทำประชดมากขึ้นทำคลิปมากขึ้นไลฟ์สดมากขึ้นขายของเยอะขึ้น ไม่เหลือใจในการทำงานและมีแต่ทำลายมิตรภาพกับเพื่อนร่วมงานลงไปทุกวัน จนเรารู้เองว่าคงมีแต่ลิฟต์เท่านั้นแหละที่เอานางลงได้
ปล. นางเป็นหัวหน้างานของเรา เป็นตำแหน่งที่รองมาจากบอร์ดบริหารและมีหน้าที่ดูแลพนักงานและกฎระเบียบในบริษัทค่ะ แต่ทำแบบนี้ซะเองจนพนักงานไม่เคารพและมีปากเสียงกันประจำปกครองทั้งพนักงานและลูกน้องไม่ได้มีแต่ร้าวฉาน และเป็นคนพิเศษของผู้บริหารค่ะ
คิดยังไงกับคนที่เล่นโซเชียลในเวลางานประจำ และหาข้ออ้างให้สิ่งที่ตัวเองถูกต้องบ้างคะ
แล้วตอบว่า "ไลฟ์ก็ไม่เห็นเป็นไรก็ไม่ได้ออกท่าออกทางอะไรเสียงดัง ก็แค่เปิดไลฟ์ไว้จังหวะเหมาะก็กระซิบตอบแฟนๆบ้างแค่นั้น แล้วงานก็ทำปกติก็ไลฟ์ที่โต๊ะไลฟ์ด้วยทำงานด้วยไง"
ในมุมเรา ที่บอกคือ
1. เสียงพูดคุยกันของทุกคนมันเข้าไปทั้งเรื่องรับโทรศัพท์ลูกค้าและเรื่องคุยงานกะผู้บริหาร
2.คุณเล่นเยอะไปแล้ว จนแค่มาตอกบัตรเพื่อรอเวลาทำคลิปเรียกไลค์ และไลฟ์สดในเวลางาน2ครั้งต่อวันอย่างเป็นน้อย เพื่อจะขายของเพื่อนร่วมงานต้องช่วยเอางานนางมาเคลียร์ให้แทน เพื่อไม่ให้โดนผลกระทบกันทั้งแผนก
3. เวลาคุณไลฟ์สดที่โต๊ะทำงาน นั่นคือคุณจะไม่ลุกไปตรงอื่นถึงแม้ว่างานตรงอื่นจะด่วนกว่า เพราะคุณกลัวจะต้องหยุดไลฟ์ (เค้าหาเงินจากการไลฟ์สดอยู่ค่ะ) แปลว่างานไม่เดิน
ล่าสุดนางบอกว่าฝากไว้ให้คิด
"คนที่หัวเราะนางว่านางเล่นโซเชียลสามารถมีผู้ติดตามและมียอดไลค์ได้เท่านางไหม? และการที่นางเล่นโซเชียลในที่ทำงานเพราะนางต้องการโปรโมทบริษัทให้เป็นที่รู้จัก นางถึงเลือกเจาะจงที่จะเล่นที่บริษัทเท่านั้น ไม่เล่นที่บ้านเพราะต้องการโปรโมทบริษัท"
แล้วที่สำคัญคนแบบนี้ได้เงินเดือนเยอะซะด้วยสิ ล่าสุดเราเลยยื่นใบลาออกแล้วค่ะ เครียดค่ะเจอแบบนี้ ทำงานไม่มีความสุขเลยมาหลายปีแล้วค่ะจนหมดความอดทน ขอไปตายเอาดาบหน้าดีกว่า อยู่ไปเราก็คงไม่โตและโดนเอาเปรียบแบบนี้ไปเรื่อยๆ
แต่พอมารู้ข่าวแบบนี้ ก็อดคิดไม่ได้ ว่าทำไมไม่ลาออกเร็วกว่านี้ รออะไร ที่คิดว่าเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกันคือเราหลงคิดไปเองทั้งนั้น เห็นเจตนาชัดแล้วว่าคนมันไม่ปรับปรุงขนาดนี้
ของที่เค้าซื้อให้ รอยยิ้มที่เค้าให้บทสนทนาที่ชวนคุยทุกอย่างคือการ "ซื้อคน" ก็เท่านั้น
รู้สึกดีใจที่เราออกมาได้ซักที แต่ก็มานึกโกรธตัวเองที่อดทนทำไมขนาดนี้ ยอมให้เค้าซื้อด้วยใจคิดว่าเค้ายังมีจิตใจที่ดีหลงเหลืออยู่เค้าแคร์เราและเรายังสำคัญอยู่
มาตอนนี้ถึงรู้ ก็พอเอะใจอยูนะ เพราะทุกครั้งที่เตือนนางยิ่งทำประชดมากขึ้นทำคลิปมากขึ้นไลฟ์สดมากขึ้นขายของเยอะขึ้น ไม่เหลือใจในการทำงานและมีแต่ทำลายมิตรภาพกับเพื่อนร่วมงานลงไปทุกวัน จนเรารู้เองว่าคงมีแต่ลิฟต์เท่านั้นแหละที่เอานางลงได้
ปล. นางเป็นหัวหน้างานของเรา เป็นตำแหน่งที่รองมาจากบอร์ดบริหารและมีหน้าที่ดูแลพนักงานและกฎระเบียบในบริษัทค่ะ แต่ทำแบบนี้ซะเองจนพนักงานไม่เคารพและมีปากเสียงกันประจำปกครองทั้งพนักงานและลูกน้องไม่ได้มีแต่ร้าวฉาน และเป็นคนพิเศษของผู้บริหารค่ะ