...หนึ่งสลึง...

กระทู้คำถาม
แม้วันนี้ อากาศจะหนาว
มากกว่าทุกวันด้วยเป็นเดือนธันวาคมแล้ว  
แต่สำหรับผมกลับรู้สึกว่า
อยากให้อากาศเป็นแบบนี้
นานๆ  ผมชอบหน้าหนาว
ชอบหมอกยามเช้า  ชอบ
ฟังเสียงน้ำค้างที่เกาะใบไม้
หยดลงดินดังเปาะแปะ
ชอบฟังเสียงค้างคาวกัดกัน
เพราะแย่งมะขามหวาน
ต้นข้างบ้าน   ชอบกระทั่ง
เสียงร้องของนกแสก
เพราะทั้งหมดนี้ คือสัญลักษณ์ของฤดูหนาว

ในนิยายผีหรือหนังผี
เขาจะชอบกล่าวถึงนกแสก
ว่า   เป็นลางบอกเหตุก่อน
คนจะตาย  ก่อนผีจะหลอก

เรื่องนี้ไม่เป็นความจริงเลย
ครับ  เพราะนกแสกคงไม่ได้ว่างขนาดมาโชว์เสียงร้องได้ทุกครั้งที่ผีเปิดการแสดงหรอกมั้ง

จากประสบการณ์ของเด็ก
ชนบทอย่างผม  เขาจะชอบร้องในฤดูหนาวครับ
ซึ่งข้อนี้พ่อผมบอกว่า
จากการคาดเดา  อาจเป็น
เพราะช่วงหน้าหนาวลมจะแรงเป็นพิเศษ บางครั้งพัด
อยู่ทั้งคืน  เขารำคาญลม
ที่พัดโกรกหู ตา และขน
ก็เลยร้องระบายอารมณ์

ผมว่า น่าจะจริงเหมือนกัน
ครับ  พ่อมักมีเหตุผลที่แปลกแยกกว่ามุมมองคน
อื่นเสมอ และเมื่อคิดตาม
ก็มีความเป็นไปได้ค่อนข้าง
มากอยู่

ครั้งหนึ่งนกแสกหรือเค้าแมวนี้เคยมากระโดดอยู่กับพื้นดินหน้าบัานผม
ผมตกใจจนรีบวิ่งไปเล่าให้พ่อฟังเพราะกลัวตามที่คน
โบราณบอก

แต่..พ่อกลับหัวเราะ แล้ว
บอกว่า

"มันคงบินต่ำเกินไป
แสงไฟก็เลยส่องตา จนตา
ฟางไปไม่ถูกน่ะ เพราะปกตินกพวกนี้ ตาจะไม่สู้แสง
มันถึงต้องหากินกลางคืนไง"

ฟังเหตุผลพ่อ ผมก็เบาใจไป
ได้มาก ก็เลยหายกลัว
และ ก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น
ครับ ก็แค่ ได้เห็นเค้าแมว
แบบใกล้ชิดมากๆเท่านั้นเอง

พ่อจะมีเหตุผลดีๆมาตอบ
ข้อข้องใจของลูกเสมอ
และส่วนมากคำตอบก็จะเป็นแนววิทยาศาสตร์
พ่อบอกว่าให้มองที่ความ
น่าจะเป็น อย่าไปมองว่า
เป็นสิ่งลึกลับ  นอกจากว่าจะพิสูจน์ไม่ได้จริงๆ


ดูสิจะเล่าถึงลมหนาว ดันยาวไปถึงนกและเรื่องลึกลับได้ไงก็ไม่รู้  ไม่เอาแล้วมา
เข้าเรื่องของเราดีกว่า😅


ปีนี้นอกจาก อากาศจะหนาวจัดแล้ว  ยังมีปรากฏการณ์ฝนดาวตกที่
ข่าวบอกว่า  จะมากถึง200-
1,000ดวง  ผมเห่อขนาด
ไปเตรียมที่ปูเสื่อนอนดูบน
ขอบสระ เพราะค่อนข้างสูง
มองเห็นได้รอบทิศ

ตอนเช้าผมไปถ่ายบัตรประชาชนรอบสอง
โดยพ่อไปเซ็นรับรอง  ในฐานะเจ้าบ้าน และเป็นพยานความมีตัวตน
ให้(อันนี้เรื่องจริงครับ  อำเภอที่ผมอยู่ ถ่ายบัตรประชาชนทีไหน พ่อแม่เดือดร้อนทีนั้น ที่อื่นไม่น่าจะมีแบบนี้หรอก)

ช่วงรอคิวเรียก(คนเยอะทุกครั้ง) พ่อก็ออกไปหากาแฟ
กิน(จริงๆพ่อชอบโอเลี้ยง
มีร้านหน้าอำเภอร้านหนึ่ง
ชงอร่อย  แต่เจ้าของร้านปากจัดมาก)

ผมนั่งรอพักหนึ่ง พ่อก็กลับมา  สรุปเราใช้เวลาครึ่งวัน
เต็มๆ แต่ก็ เพื่อผลประโยชน์ของเราเอง
ยังไงก็ต้องทนครับ

กลับมาถึงบ้านแม่ทำขนม
หม้อแกงไข่ไว้ให้ถาดใหญ่
จริงๆ ผมไม่ค่อยชอบของ
หวานนักหรอกครับ  ได้ไปชิ้นหนึ่งก็อิ่มไปเจ็ดปีโน่น

พอมืดเราก็เตรียมเสื่อ เตรียมหมอน.  กะจะนอนดูกันให้ตาแฉะไปเลย  
แต่..ดาวยังไม่ทันตกเลย
ครับ  พ่อผมก็ลุกขึ้นมาประกาศว่า  

"วันนี้มีใครทำตังค์หายไหม
พ่อเจอตังค์ร้อยนึง"

พวกเราก็พร้อมใจกันตอบว่า ไม่หาย  พ่อจึงกล่าวต่อ
ว่า

"งั้น..พ่อให้แม่ก็แล้วกันนะ"

แล้วพ่อก็ส่งถุงผ้าใบเล็กที่พ่อชอบใช้ให้แม่
เรื่องเงินนี้แม่ผมจะงกเป็น
พิเศษ  อย่าว่าแต่เป็นร้อยเลยครับ ห้าบาท สิบบาท
ถ้าลูกให้แม่ก็รับหมด
แกบอกว่า อย่าหมิ่นเงินน้อย
ครับ
พอได้รับถุง แม่ก็ควานลงไปทันทีเหมือนกัน
แป๊บเดียวแม่ก็หยิบของ
สิ่งหนึ่งออกมา
มันเป็นต่างหูทองครับ

เราสามคนพี่น้องก็เลยโห่
กันขึ้น  โห..พ่อแอบไปซื้อ
ทองมาเซอร์ไพรส์แม่ครับ
แม้สองข้างรวมกันจะหนัก
แค่ "หนึ่งสลึง"
แต่สำหรับพ่อที่วันๆแทบไม่
มีเงินติดตัว  ทำงานมาเท่าไหร่ก็ให้แม่หมด
กว่าจะเก็บเงินจนซื้อทองได้
หนึ่งสลึงนี้ บอกเลยว่าไม่ใช่
เรื่องง่าย  พ่อคงแว่บไปซื้อ
ตอนบอกผมว่าจะไปกินกาแฟนั่นแหละ  แหม..จอม
วางแผนดีนัก

คืนนั้นฝนดาวตกเยอะมาก
จนเราโห่กันเสียงแห้ง
แต่ที่ไม่ได้ยินเสียงเลยก็
คือพ่อกับแม่นี่แหละ
แหม...ก็เล่นไปนอนเบียดกันอยู่สองคน ไม่สนใจลูกเต้า  

โธ่..ก็แค่ทองสลึงเดียว
อย่าคิดว่าลูกจะไม่อิจฉานะ
หึ......


......  ...... ...... ....... ..

                จบครับ


*แม่เล่าว่า ต่างหูคู่นี้เป็นของ
มีมูลค่าที่สุดที่พ่อมอบให้แม่
และแม่ก็เก็บรักษาอย่างดี
จนแทบไม่ได้ใส่
ผมว่า..ของรัก ไม่ได้ขึ้นกับ
มูลค่าหรือปริมาณหรอกมั้ง
อยู่ที่ใครเป็นคนให้มากกว่า

แล้วก็มาทำปากแข็งว่า
ไม่ได้รักพ่อ...จ้างให้ก็ไม่เชื่อ*
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่