จากกระทู้เก่า ๆ ที่ดูเหมือนจะเลี้ยงลูกเป็นมือปืน
https://pantip.com/topic/34127207
จริง ๆ แล้วลูกสาวทำกิจกรรมหลายอย่างนะครับ ไม่ได้คิดจะหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นมือสังหารเหมือนในหนังแน่นอนแม้มันจะดูเท่ดี แต่การฆ่าคนดูจะไม่ส่งเสริมให้สร้างบุญตามแนวทางพุทธเท่าไร สู้การรักษาชีวิตคนไม่ได้ ปัจจุบันจึงเปลี่ยนสถานภาพเป็นนิสิตแพทย์ไปเรียบร้อยแล้ว
แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ เจอทางเลือก เจอทางแยก เจอทางตันมามากมาย เลยอยากเล่าให้ฟังว่ากว่าที่เขาจะโตขึ้นมาจนมีวิจารณญาณ เลือกเส้นทางชีวิตได้ด้วยตัวเองนั้น พ่อแม่ อย่างเราต้องทำอะไรมาบ้าง
—เด็กเล็ก--
ผมไม่ได้ส่งลูกไปเนิร์ซเซอรี่ เพราะโชคดีมียายช่วยเลี้ยงครับ ทั้งผมและแฟนทำงานประจำทั้งคู่ จึงเลือกสร้างบ้านใกล้ ๆ บ้านแม่แฟน ซึ่งก็คือยายของลูก บางวันยายก็มาเลี้ยงที่บ้าน บางวันก็เอาไปส่งให้ยายช่วยเลี้ยง ถือว่าอยู่ในสายตาของคนในครอบครัวตลอด ดังนั้นถ้าเลือกได้และคนในครอบครัวมีความพร้อมมากพอ “เลี้ยงเอง” เถอะครับ
--อนุบาล--
เลือกโรงเรียนใกล้บ้านยาย เพราะต้องให้ยายไปรับ แล้วเราค่อยไปรับกลับบ้านตอนเย็นครับ ช่วงวัยนี้เน้น “เล่านิทาน” ให้ฟังทุกวัน ทุกครั้งที่มีโอกาส สอนให้ลูกจับประเด็น จับเนื้อหาของนิทานเพื่อให้เขาสรุปเรื่องได้ ของเล่นก็เหมือนเด็กทั่วไป แต่เน้นให้คิดว่ากำลังทำอะไร ทำแล้วเป็นอย่างไร เน้นที่เหตุและผล เพราะผมเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นพื้นฐานความคิดที่ดีให้กับลูก นั่นคือเรื่อง Logic ซึ่งโชคดีมากเพราะว่าลูกจะได้ใช้ไน Level ถัดไปคือการเลือกโรงเรียนชั้นประถมครับ
—ประถมศึกษา--
โรงเรียนที่ใกล้บ้านที่สุดดันเป็นโรงเรียนสาธิตมีชื่อแถวบางเขนใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีจากบ้าน ถ้าไม่งั้นก็ต้องเป็นโรงเรียนเอกชนที่ต้องขับรถไปอีก 30 นาที ผมพาลูกไปดูทุกโรงเรียน แน่นอนว่าสภาพแวดล้อมของโรงเรียนสาธิตมันดูน่าเรียนกว่า ดังนั้นจึงต้องให้ลูกเข้าใจว่าโรงเรียนนี้มีคนแข่งขันเยอะ หนูอาจผิดหวัง สอนให้ลูกเข้าใจธรรมชาติของการแข่งขัน
การเข้าโรงเรียนสาธิตโดยไม่มีเส้นสาย ไม่มีญาติเป็นศิษย์เก่า ทางเลือกเดียวคือความพร้อมของลูกครับ โชคดีว่าผมและแฟนสอนลูกในแนวนี้อยู่แล้ว จึงถือว่าเข้าทาง ที่สำคัญคือการเปิดโลกการเรียนรู้ด้วยการท่องเที่ยวในที่ต่าง ๆ ให้มากที่สุด และพ่อแม่ต้องหมั่นคุยกับลูกถึงสื่งที่อยู่ตรงหน้า ว่ามันคืออะไร เกิดมาทำไม มีความเป็นมาอย่างไร
นิทานเป็นเรื่องสำคัญที่สุด การเล่านิทานให้ฟังตั้งแต่อนุบาลเป็นพื้นฐานดีที่สุดที่ทำให้ลูกรักการอ่าน ผมเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็น “คะแนน” ที่ทำให้ลูกเข้าโรงเรียนนี้ได้ครับ
--มัธยมต้น--
เรียนที่เดิมครับ แม้จะมีเพื่อนแห่ไปสอบเข้ามัธยมตันโรงเรียนดัง ๆ แต่ผมกับลูกยังเอ็นจอยกับโรงเรียนใกล้บ้าน และเชื่อว่ากิจกรรมของโรงเรียนเดิมสนุกกว่า เพราะไม่เน้นวิชาการ แต่เป็นความรู้กว้าง ๆ เพื่อให้ลูกรู้จักศาสตร์ในด้านต่าง ๆ จะได้เลือกเส้นทางของตัวเองได้ ช่วงนี้จึงเรียนวิชาแปลก ๆ เต็มไปหมดทั้งเครื่องปั้นดินเผา ช่างยนต์ และที่ชอบเป็นพิเศษคือศิลปะที่ทำคะแนนได้ค่อนข้างดี
เรื่องภาษาอังกฤษ เป็นจุดอ่อนของการเรียนในระบบของไทยครับ แต่ชดเชยได้ด้วยการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ช่วงนี้จึงให้ลูกเสนอตัวเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนซึ่งมีหลายโครงการให้เลือก เน้นเลือกของโรงเรียนซึ่งค่าใช้จ่ายไม่สูงเพราะมีทางสมาคมผู้ปกครองช่วยสนับสนุนอยู่
และด้วยความที่ไม่เน้นวิชาการ เลยหันมาเอาดีด้วยการเป็นนักกรีฑา ตระเวนแข่งทุกสนามจนได้เหรียญจากกรมพละศึกษามาเต็มบ้าน ทำให้ลูกมีเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นนักกีฬาเพิ่มเข้ามาด้วยสังคมก็เริ่มกว้างขึ้น
--มัธยมปลาย--
ชั้นนี้เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของลูกเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ใช่แค่เรื่องโรงเรียนแต่มันคือการเลือกเส้นทางในอนาคตของลูก ถ้าเป็นเรียนโรงเรียนเดิมแน่นอนว่าสะดวกที่สุดเพราะเดินทางแค่ 10 นาที และดูลูกก็มีความถนัดทางศิลปะ อาจารย์ก็พร้อมส่งเสริมให้เรียนความถนัดสถาปัตย์ที่ดูแล้วเหมาะกับลูกมาก แต่ในอีกมุมหนึ่งของลูก ก็คิดว่าตัวเองมีศักยภาพที่อยากลองไปลองสอบเข้าโรงเรียนที่เน้นวิชาการแถวสามย่านดู
ถึงตรงนี้ก็ต้องเปิดใจคุยกับลูกให้ชัดเจน ประเมินข้อดีข้อเสีย โอกาสและอุปสรรค เพราะถ้ารักด้านสถาปัตย์จริง เรียนที่เดิมดูจะเติมเต็มขีวิตได้ดีกว่า แต่พ่อแม่อย่างเราก็มีหน้าที่ในการส่งเสริมลูกให้เต็มศักยภาพ ถ้าเขาอยากลองก็ต้องบอกเขาตรง ๆ ว่าชีวิตจะเปลี่ยนไป เรียนหนักขึ้น เดินทางยากกว่าเดิม และลองใจเขาว่า “ไม่ไปส่งนะ มันไกล ต้องนั่งรถไฟฟ้าไปเรียนเอง” ซึ่งเขาอยากลอง
สิ่งสำคัญที่ต้องคุยกับลูกคือถ้าเลือกโรงเรียนนี้ เส้นทางสายสถาปัตย์ที่เคยวางไว้อาจเปลี่ยนไปแน่เพราะค่านิยมของเด็กโรงเรียนนี้รู้กันดีว่าไปทางแพทย์ เภสัช ทันตะ มากกว่า ซึ่งลูกคิดแล้วก็ตอบมาว่าศิลปะที่ชอบ มันเป็นงานอดิเรกได้ อาชีพที่ชอบจริง ๆ น่าจะเป็นสัตวแพทย์มากกว่า... ฟังดูมีแนวทางแล้ว โอเค ไปสอบได้
อันนี้เป็นเพื่อนในห้องลูกตอนสอบติดมหาวิทยาลัยแล้ว... บอกแล้วว่าอยู่ที่นี่คงหนีไม่พ้นต้องเรียนสายนี้
สุดท้ายก็ฝ่าฟันเข้ามาจนได้ โดยมีเพื่อนจากโรงเรียนเก่าตามเข้ามาด้วยราว ๆ 30 คนจึงไม่เหงาเท่าไร ช่วงนี้ลูกมุ่งเป้าไปที่สัตวแพทย์ แต่ “มันใช่จริงหรือ?” จึงติดต่อโรงพยาบาลสัตว์แห่งหนึ่งเพื่อให้ลูกลองไปฝึกงานสัก 2 เดือน ก่อนจะได้คำตอบกลับมาว่า “ไม่ใช่อ่ะพ่อ” เพราะสัตว์ในโรงพยาบาลที่เจอไม่ได้มีแต่หมา แมว น่ารัก ๆ แต่มีทั้งวัว ควาย ม้า ที่สำคัญมันเรียนตั้ง 6 ปี เรียนแพทย์ไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ... นั่นสิ
เป้าหมายจึงเปลี่ยนไปเป็นแพทย์ ก็เป็นบทบาทของพ่อกับแม่อีกครั้งที่ให้ลูกได้สัมผัสประสบการณ์ในอาชีพนี้ ซึ่งลูกดูจะชอบและยิ่งรู้ว่ามีด้านชีวะวิศวกรรมทางการแพทย์ก็ยิ่งสนใจมากขึ้น ลงตัวกับการเลือกแผนการเรียนในชั้น ม. 5 ที่ต้องเลือกสาย “วิทย์-คุณภาพชีวิต” ซึ่งก็คือการเน้นสอบเรียนต่อในสายแพทย์ ทุกอย่างจึงดูลงตัว
--มหาวิทยาลัย--
บอกตรง ๆ แบบโลกไม่สวยว่ากว่าจะเข้าได้ต้องอาศัยการติว การอ่านหนังสือ การท่องตำราขั้นสุด ถ้าลูกไม่มีใจรักคงไม่มีทางทำได้ขนาดนี้ ใครอยากดันลูกมาสายนี้โดยที่ลูกไม่มีความชอบจริง ๆ ผมว่าฝืนชีวิตเขามากเกินไป
แต่ถ้าลูกมีใจรัก เขาจะทุ่มเททุกอย่าง และเมื่อฝ่าด่านเข้ามาได้แล้ว เขาจะพร้อมติวและเขียนถ่ายทอดแนงทางให้รุ่นน้องอย่างเป็นสุข จนอยู่ปี 2 แล้วผมก็ยังเห็นลูกไปแนะแนวให้รุ่นน้องที่อยากสอบเข้าแพทย์ในโรงเรียนต่าง ๆ ผ่าน Zoom อยู่เป็นประจำ
แต่การสอบเข้าเรียนในคณะที่ต้องการได้จึงไม่ใช่ความสุขปลายทางของคนเป็นพ่อเป็นแม่นะครับ เราจะมีความสุขใจจริง ๆ เมื่อเห็นเขาเข้ามาเรียนด้วยความสนุกและเต็มไปด้วยกิจกรรมจิตอาสา จึงลงพื้นที่ไปตามชุมชนต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างสุขอนามัยที่ดี รวมถึงเป็นประธานชมรมต่าง ๆ ในกิจกรรมที่ลูกชอบ ซึ่งแค่นี้เราก็รู้สึกว่าที่ทุ่มเทให้เขามาเกือบ 20 ปีมันคุ้มค่าจริง ๆ
ลูกชายคนเล็ก มีสเต็ปคล้าย ๆ พี่สาว แต่บุคลิกไม่เหมือนกันจึงไม่ได้ให้เรียนมัธยมปลายที่เดียวกันแม้จะสอบได้ แต่เจ้าตัวสนใจเรียนต่อที่ต่างประเทศมากกว่า แต่การเห็นแต่ความเจริญในต่างแดนอาจทำให้ลูกเห็น "โลกแคบ" เกินไป ช่วงปิดเทอมที่ผ่านมาผมส่งไปเป็นครูดอยมาพักหนึ่งเพื่อให้ได้ประสบการณ์ที่ต้องพึ่งพาตัวเอง กินนอนอยู่กับชาวบ้านที่ต้องล่าสัตว์กินเอง การให้ลูกได้เห็นโลกที่แตกต่างจะทำให้เขาตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตได้ถูกต้องเสมอครับ
[CR] รีวิวชีวิตคนเลี้ยงลูกจากอนุบาลถึงมหาวิทยาลัย ต้องใส่ใจให้ลูกเรียนแบบไหนถึงจะให้ลูกได้ดี
จริง ๆ แล้วลูกสาวทำกิจกรรมหลายอย่างนะครับ ไม่ได้คิดจะหาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นมือสังหารเหมือนในหนังแน่นอนแม้มันจะดูเท่ดี แต่การฆ่าคนดูจะไม่ส่งเสริมให้สร้างบุญตามแนวทางพุทธเท่าไร สู้การรักษาชีวิตคนไม่ได้ ปัจจุบันจึงเปลี่ยนสถานภาพเป็นนิสิตแพทย์ไปเรียบร้อยแล้ว
แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ เจอทางเลือก เจอทางแยก เจอทางตันมามากมาย เลยอยากเล่าให้ฟังว่ากว่าที่เขาจะโตขึ้นมาจนมีวิจารณญาณ เลือกเส้นทางชีวิตได้ด้วยตัวเองนั้น พ่อแม่ อย่างเราต้องทำอะไรมาบ้าง
—เด็กเล็ก--
ผมไม่ได้ส่งลูกไปเนิร์ซเซอรี่ เพราะโชคดีมียายช่วยเลี้ยงครับ ทั้งผมและแฟนทำงานประจำทั้งคู่ จึงเลือกสร้างบ้านใกล้ ๆ บ้านแม่แฟน ซึ่งก็คือยายของลูก บางวันยายก็มาเลี้ยงที่บ้าน บางวันก็เอาไปส่งให้ยายช่วยเลี้ยง ถือว่าอยู่ในสายตาของคนในครอบครัวตลอด ดังนั้นถ้าเลือกได้และคนในครอบครัวมีความพร้อมมากพอ “เลี้ยงเอง” เถอะครับ
--อนุบาล--
เลือกโรงเรียนใกล้บ้านยาย เพราะต้องให้ยายไปรับ แล้วเราค่อยไปรับกลับบ้านตอนเย็นครับ ช่วงวัยนี้เน้น “เล่านิทาน” ให้ฟังทุกวัน ทุกครั้งที่มีโอกาส สอนให้ลูกจับประเด็น จับเนื้อหาของนิทานเพื่อให้เขาสรุปเรื่องได้ ของเล่นก็เหมือนเด็กทั่วไป แต่เน้นให้คิดว่ากำลังทำอะไร ทำแล้วเป็นอย่างไร เน้นที่เหตุและผล เพราะผมเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นพื้นฐานความคิดที่ดีให้กับลูก นั่นคือเรื่อง Logic ซึ่งโชคดีมากเพราะว่าลูกจะได้ใช้ไน Level ถัดไปคือการเลือกโรงเรียนชั้นประถมครับ
—ประถมศึกษา--
โรงเรียนที่ใกล้บ้านที่สุดดันเป็นโรงเรียนสาธิตมีชื่อแถวบางเขนใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีจากบ้าน ถ้าไม่งั้นก็ต้องเป็นโรงเรียนเอกชนที่ต้องขับรถไปอีก 30 นาที ผมพาลูกไปดูทุกโรงเรียน แน่นอนว่าสภาพแวดล้อมของโรงเรียนสาธิตมันดูน่าเรียนกว่า ดังนั้นจึงต้องให้ลูกเข้าใจว่าโรงเรียนนี้มีคนแข่งขันเยอะ หนูอาจผิดหวัง สอนให้ลูกเข้าใจธรรมชาติของการแข่งขัน
การเข้าโรงเรียนสาธิตโดยไม่มีเส้นสาย ไม่มีญาติเป็นศิษย์เก่า ทางเลือกเดียวคือความพร้อมของลูกครับ โชคดีว่าผมและแฟนสอนลูกในแนวนี้อยู่แล้ว จึงถือว่าเข้าทาง ที่สำคัญคือการเปิดโลกการเรียนรู้ด้วยการท่องเที่ยวในที่ต่าง ๆ ให้มากที่สุด และพ่อแม่ต้องหมั่นคุยกับลูกถึงสื่งที่อยู่ตรงหน้า ว่ามันคืออะไร เกิดมาทำไม มีความเป็นมาอย่างไร
นิทานเป็นเรื่องสำคัญที่สุด การเล่านิทานให้ฟังตั้งแต่อนุบาลเป็นพื้นฐานดีที่สุดที่ทำให้ลูกรักการอ่าน ผมเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็น “คะแนน” ที่ทำให้ลูกเข้าโรงเรียนนี้ได้ครับ
--มัธยมต้น--
เรียนที่เดิมครับ แม้จะมีเพื่อนแห่ไปสอบเข้ามัธยมตันโรงเรียนดัง ๆ แต่ผมกับลูกยังเอ็นจอยกับโรงเรียนใกล้บ้าน และเชื่อว่ากิจกรรมของโรงเรียนเดิมสนุกกว่า เพราะไม่เน้นวิชาการ แต่เป็นความรู้กว้าง ๆ เพื่อให้ลูกรู้จักศาสตร์ในด้านต่าง ๆ จะได้เลือกเส้นทางของตัวเองได้ ช่วงนี้จึงเรียนวิชาแปลก ๆ เต็มไปหมดทั้งเครื่องปั้นดินเผา ช่างยนต์ และที่ชอบเป็นพิเศษคือศิลปะที่ทำคะแนนได้ค่อนข้างดี
เรื่องภาษาอังกฤษ เป็นจุดอ่อนของการเรียนในระบบของไทยครับ แต่ชดเชยได้ด้วยการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ช่วงนี้จึงให้ลูกเสนอตัวเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนซึ่งมีหลายโครงการให้เลือก เน้นเลือกของโรงเรียนซึ่งค่าใช้จ่ายไม่สูงเพราะมีทางสมาคมผู้ปกครองช่วยสนับสนุนอยู่
และด้วยความที่ไม่เน้นวิชาการ เลยหันมาเอาดีด้วยการเป็นนักกรีฑา ตระเวนแข่งทุกสนามจนได้เหรียญจากกรมพละศึกษามาเต็มบ้าน ทำให้ลูกมีเพื่อนอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นนักกีฬาเพิ่มเข้ามาด้วยสังคมก็เริ่มกว้างขึ้น
--มัธยมปลาย--
ชั้นนี้เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของลูกเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ใช่แค่เรื่องโรงเรียนแต่มันคือการเลือกเส้นทางในอนาคตของลูก ถ้าเป็นเรียนโรงเรียนเดิมแน่นอนว่าสะดวกที่สุดเพราะเดินทางแค่ 10 นาที และดูลูกก็มีความถนัดทางศิลปะ อาจารย์ก็พร้อมส่งเสริมให้เรียนความถนัดสถาปัตย์ที่ดูแล้วเหมาะกับลูกมาก แต่ในอีกมุมหนึ่งของลูก ก็คิดว่าตัวเองมีศักยภาพที่อยากลองไปลองสอบเข้าโรงเรียนที่เน้นวิชาการแถวสามย่านดู
ถึงตรงนี้ก็ต้องเปิดใจคุยกับลูกให้ชัดเจน ประเมินข้อดีข้อเสีย โอกาสและอุปสรรค เพราะถ้ารักด้านสถาปัตย์จริง เรียนที่เดิมดูจะเติมเต็มขีวิตได้ดีกว่า แต่พ่อแม่อย่างเราก็มีหน้าที่ในการส่งเสริมลูกให้เต็มศักยภาพ ถ้าเขาอยากลองก็ต้องบอกเขาตรง ๆ ว่าชีวิตจะเปลี่ยนไป เรียนหนักขึ้น เดินทางยากกว่าเดิม และลองใจเขาว่า “ไม่ไปส่งนะ มันไกล ต้องนั่งรถไฟฟ้าไปเรียนเอง” ซึ่งเขาอยากลอง
สิ่งสำคัญที่ต้องคุยกับลูกคือถ้าเลือกโรงเรียนนี้ เส้นทางสายสถาปัตย์ที่เคยวางไว้อาจเปลี่ยนไปแน่เพราะค่านิยมของเด็กโรงเรียนนี้รู้กันดีว่าไปทางแพทย์ เภสัช ทันตะ มากกว่า ซึ่งลูกคิดแล้วก็ตอบมาว่าศิลปะที่ชอบ มันเป็นงานอดิเรกได้ อาชีพที่ชอบจริง ๆ น่าจะเป็นสัตวแพทย์มากกว่า... ฟังดูมีแนวทางแล้ว โอเค ไปสอบได้
อันนี้เป็นเพื่อนในห้องลูกตอนสอบติดมหาวิทยาลัยแล้ว... บอกแล้วว่าอยู่ที่นี่คงหนีไม่พ้นต้องเรียนสายนี้
สุดท้ายก็ฝ่าฟันเข้ามาจนได้ โดยมีเพื่อนจากโรงเรียนเก่าตามเข้ามาด้วยราว ๆ 30 คนจึงไม่เหงาเท่าไร ช่วงนี้ลูกมุ่งเป้าไปที่สัตวแพทย์ แต่ “มันใช่จริงหรือ?” จึงติดต่อโรงพยาบาลสัตว์แห่งหนึ่งเพื่อให้ลูกลองไปฝึกงานสัก 2 เดือน ก่อนจะได้คำตอบกลับมาว่า “ไม่ใช่อ่ะพ่อ” เพราะสัตว์ในโรงพยาบาลที่เจอไม่ได้มีแต่หมา แมว น่ารัก ๆ แต่มีทั้งวัว ควาย ม้า ที่สำคัญมันเรียนตั้ง 6 ปี เรียนแพทย์ไปเลยไม่ดีกว่าเหรอ... นั่นสิ
เป้าหมายจึงเปลี่ยนไปเป็นแพทย์ ก็เป็นบทบาทของพ่อกับแม่อีกครั้งที่ให้ลูกได้สัมผัสประสบการณ์ในอาชีพนี้ ซึ่งลูกดูจะชอบและยิ่งรู้ว่ามีด้านชีวะวิศวกรรมทางการแพทย์ก็ยิ่งสนใจมากขึ้น ลงตัวกับการเลือกแผนการเรียนในชั้น ม. 5 ที่ต้องเลือกสาย “วิทย์-คุณภาพชีวิต” ซึ่งก็คือการเน้นสอบเรียนต่อในสายแพทย์ ทุกอย่างจึงดูลงตัว
--มหาวิทยาลัย--
บอกตรง ๆ แบบโลกไม่สวยว่ากว่าจะเข้าได้ต้องอาศัยการติว การอ่านหนังสือ การท่องตำราขั้นสุด ถ้าลูกไม่มีใจรักคงไม่มีทางทำได้ขนาดนี้ ใครอยากดันลูกมาสายนี้โดยที่ลูกไม่มีความชอบจริง ๆ ผมว่าฝืนชีวิตเขามากเกินไป
แต่ถ้าลูกมีใจรัก เขาจะทุ่มเททุกอย่าง และเมื่อฝ่าด่านเข้ามาได้แล้ว เขาจะพร้อมติวและเขียนถ่ายทอดแนงทางให้รุ่นน้องอย่างเป็นสุข จนอยู่ปี 2 แล้วผมก็ยังเห็นลูกไปแนะแนวให้รุ่นน้องที่อยากสอบเข้าแพทย์ในโรงเรียนต่าง ๆ ผ่าน Zoom อยู่เป็นประจำ
แต่การสอบเข้าเรียนในคณะที่ต้องการได้จึงไม่ใช่ความสุขปลายทางของคนเป็นพ่อเป็นแม่นะครับ เราจะมีความสุขใจจริง ๆ เมื่อเห็นเขาเข้ามาเรียนด้วยความสนุกและเต็มไปด้วยกิจกรรมจิตอาสา จึงลงพื้นที่ไปตามชุมชนต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างสุขอนามัยที่ดี รวมถึงเป็นประธานชมรมต่าง ๆ ในกิจกรรมที่ลูกชอบ ซึ่งแค่นี้เราก็รู้สึกว่าที่ทุ่มเทให้เขามาเกือบ 20 ปีมันคุ้มค่าจริง ๆ
ลูกชายคนเล็ก มีสเต็ปคล้าย ๆ พี่สาว แต่บุคลิกไม่เหมือนกันจึงไม่ได้ให้เรียนมัธยมปลายที่เดียวกันแม้จะสอบได้ แต่เจ้าตัวสนใจเรียนต่อที่ต่างประเทศมากกว่า แต่การเห็นแต่ความเจริญในต่างแดนอาจทำให้ลูกเห็น "โลกแคบ" เกินไป ช่วงปิดเทอมที่ผ่านมาผมส่งไปเป็นครูดอยมาพักหนึ่งเพื่อให้ได้ประสบการณ์ที่ต้องพึ่งพาตัวเอง กินนอนอยู่กับชาวบ้านที่ต้องล่าสัตว์กินเอง การให้ลูกได้เห็นโลกที่แตกต่างจะทำให้เขาตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตได้ถูกต้องเสมอครับ
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้