คิดยังไงกับคนที่ต้องมีการสูญเสียเหตุนักเรียนตีกัน แต่เชิดชูผู้ก่อเหตุอยู่บนโปสเตอร์หนัง

ผมเป็นผู้ได้รับผลกระทบเล็กน้อย แต่มันฝังใจมากกับประสบการณ์การอยู่ในสถาบันอาชีวะ 5 ปี
1.อายุ 15 นั่งรถเมล์ไปเรียน ตื่นตี5 แต่หลับบนรถไม่ได้
2.เคยโดนทำร้าย ปากแตกเลือกกลบปากตอนอายุ17
3.โดนคนร้ายเข้ามากอดคอจากด้านหลังแล้วขอหัวเข็มขัดตอนข้ามสะพานลอย
4.โดน 1 สถาบันใน 4king (king นี่นับจากระดับความยิ้มขึ้นมาใช่ไหม ต่ำแหน่งที่ยกหางตัวเอง) ขึ้นมาปิดล้อมผมบนรถเมล์ ป้ายวัดศรีเอี่ยมฯ
5. กลับบ้านตั้งแต่บ่าย3 และเข้าบ้านให้ไวที่สุด เพราะที่วิทยาลัย มีเรียน 2 รอบ เช้า-บ่าย(ไม่มีรอบค่ำนะ ไม่ใช่ภาคสมทบ) โชคดีมากที่ 2 ปีแรกไม่ได้เรียนรอบบ่ายเลย
6. เทอมสุดท้ายปี3 เรียนรอบบ่าย นั่งแท็กซี่กลับ จะกระทั้งได้อาศัยรถพ่อเพื่อนที่มารับกลับด้วย

มีเพื่อนโดนฟันเย็บนอก-เย็บใน 30 เข็ม, เพื่อนโดนขอเสื้อ,ขอหัวเข็มขัด แต่โชคดียังไม่มีเพื่อนเสียชีวิต แต่ถ้าเพื่อนร่วมสถาบันก็ไม่รู้จัก ไม่ได้มีค่านิยมเพื่อนเจ็บไม่ได้ ส่วนใหญ่ที่คบๆก็ไม่ได้โดดเด่นในทางด้านนั้น

ปล. เรียนช่างไม่ได้อยากมีเรื่อง เรียนในวิทยาฯลัยที่ต้องสอบคัดเลือกเข้าไปแล้ว นักเรียนส่วนใหญ่ไม่ได้ทำตัวเป็นนักเลง เหมือนในหนัง สถาบันในหนังไม่รู้ว่าสอนหนังสือหรือสอนให้ไปเป็นโจร
ปล.2 เดินทางอันตราย เพราะไม่ได้เรียนไกล้บ้าน ต้องหาวิทยาลัยที่ค่าเทอมไม่แพงกว่าเรียน ม.ปลาย เพราะฐานะทางบ้านไม่ดี แต่ต้องไปผ่านป้ายรถเมล์ที่มีพวกไม่รู้จักไปทำหน้าที่ของตัวเอง

สุดท้ายจะบอกว่าหนังบอกนู่น บอกนี่ ไม่ได้ส่งเสริมให้ตีกัน แต่ก็หวังจะได้คนดูแบบนี้เป็นฐานรายได้ เห็นตั้งแต่หนังสั้นแล้วก็คลิปใน youtube แล้ว คุยกันไม่ได้สำนึกถึงความเดือดร้อนที่ก่อไว้ให้คนอื่นเขาเลย หน้าระรื่นไม่ได้ละอายความความเลวที่ตัวเองก่อกันเลย ผมถามหน่อยตัวอย่าง เช่น คนเข้าไปดูหนังจันดาราหวังดูอะไร หวังดูคติสอนใจเรื่องความเจ้าชู้เหรอ รู้ๆกันอยู่ แล้วคนไปดูหนัง 4king ต้องการอะไร นอกจากโอ้อวด พฤติกรรมเยี่ยงโจรในสมัยวัยรุ่น ผกก.ยังมาแถ ไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคม เห็นแก่ตัว
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
ตลก ตรงที่ตั้งชื่อหนังว่า 4 Kings

ไปให้ท้าย ใส่ฉายา ให้ดูเท่ห์ ทำไมล่ะ

ไม่ตั้งว่า 4 อันธพาล สันดานถ่อย
ถ้าตั้งใจจะ ให้เกิดสำนึกจริงๆ

เห็นข่าวเมื่อวาน ที่กาฬสินธุ์ ดูหนังจบ ออกมาตีกันหน้าโรง

ทำไม มันไม่ออกมา แล้วแลกเสื้อชัอป แลกหัวเข็มขัด
กอดกัน น้ำตาไหล

คุกเข่าพนมมือ สาบานเป็นพี่น้องร่วมสายวิชาชีพ
มุ่งบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ แก่สังคมตลอดไป

ก็เนื้อหาหนังดี ขนาดนี้แล้ว
ความคิดเห็นที่ 30
หนังส่วนหนังก็ว่าไป

แต่ที่โปรโมทหนังจากการเอาตัวจริงมาสัมภาษณ์ ไม่มีสำนึกเลย เน้นความคูล เน้นศักดิ์ศรี คนสัมถาษณ์บางคนบอกว่า เป็นสุภาพบุรษ มีหลักการด้วยซ้ำ สยองมาก

คนที่โดนลูกหลง ทั้งเด็ก คนแก่ คนทั่วไป ทั้งกลัว ทั้งเจ็บ ทั้งตาย มันก็ยังพูดเรื่องความคูลกันต่อไป
ความคิดเห็นที่ 10
เรามองในฐานะของคนทำงานด้านสื่อสารมวลชนนะคะ  
ไม่ได้พูดถึงในกรณีหนังเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือกรณีใดโดยเฉพาะ
พูดถึงกรณีโดยรวมๆ  ทั้งในประเทศ และตปท.

การสื่อสารอะไรออกไปสู่สาธารณะ ผ่านทางช่องทางต่างๆ  ผ่านทางสื่อต่างๆ
ไม่ว่าจะหนัง ละคร เพลง คลิป ฯลฯ
มันส่งผลมากมายสารพัดเลยค่ะ  เยอะเกินกว่าที่คนเราจะคาดถึง

หากสรุปแบบสั้นๆ คือ มันส่งผลด้านลบก็ได้  ส่งผลด้านบวกก็ได้
ซึ่งมันขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยมากๆ เช่น  วิธีการนำเสนอ  จุดมุ่งหมายของผู้สร้างงาน
ทัศนคติต่อเรื่องต่างๆ  ฝีมือ ประสบการณ์ และอีกหลายปัจจัย
รวมทั้งปัจจัยในส่วนของคนเสพสื่อด้วย ซึ่งมีประสบการณ์ มีสติปัญญา มีวิจารณญาณไม่เหมือนกัน

มันเป็นปัญหาไม่ใช่เฉพาะในประเทศนี้ แต่ในประเทศใหญ่ๆ ก็มีปัญหาเหล่านี้ค่ะ
คือ  การนำเสนออะไรสักอย่างสู่สาธารณะ มีคนได้เห็น ได้เสพ ได้สัมผัสมากมาย
ผู้คนก็หลากหลายนิสัย หลากหลายระดับของสติปัญญา
มันจะเกิดคุณประโยชน์ก็ได้กับบางคน และเกิดโทษก็ได้กับบางคน
ซึ่งผู้เกี่ยวข้องต้อง sensitive มากๆๆ    ซึ่งมันก็ยากไม่น้อยค่ะ

เรื่องมันยาวและมีความละเอียดอ่อนลึกซึ้งมากพอสมควร
เราขอเขียนสั้นๆ ประมาณว่า  
ตราบใดที่จุดมุ่งหมายหลักของการสร้างงาน เป็นการสร้างเพื่อตอบโจทย์ทางธุรกิจ
เช่น รายได้ ชื่อเสียง ความนิยม อะไรประมาณนี้  
เค้าก็ต้องคำนึงถึงว่า ทำอะไร ทำอย่างไร แล้วคนจะอยากดู  ดูแล้วชอบ

ส่วนเรื่องสะท้อนปัญหาสังคม หรือนำเสนอสาระอะไรสู่สังคมนั้น
เป็นประเด็นรองๆ ลงไป

ถ้าคนมีฝีมือ หาความลงตัวได้ดี  ก็จะผสานเรื่องทางธุรกิจให้ลงตัวกับแก่นหลักที่ต้องการสื่อได้ดี
แต่อย่างที่บอกว่า มันก็ไม่ง่ายค่ะ  

เพราะถ้าทำหนัง ไม่ใช่เพื่อการกุศล  หรือมีจิตอุทิศตนเพื่อประโยชน์สาธารณะจริงๆ
เค้าก็ต้องการผลตอบรับทางธุรกิจ  ต้องการกระแส  ต้องการให้คนชอบ
ก็จะมีคนหน้าตาดีๆ มาเล่น   มีฉากที่ดูแล้วสนุก  มีการดำเนินเรื่องที่เร้าอารมณ์ ฯลฯ
นี่เป็นการปรุงแต่งรสตามปกติของหนังทั่วไป

ทีนี้ พอเอา "ด้านมืด" หรือ ด้านสีเทา มานำเสนอ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับคน อาชีพ หรือพฤติกรรมใดๆ
แม้สิ่งที่ทำจะเป็นสิ่งที่ไม่ดี  ตัวละครจะได้รับผลกรรม หรืออะไรก็แล้วแต่
แต่มันจะมีความน่าสนใจ น่าดึงดูด  พูดง่ายๆ คือ  ถึงรู้ว่าไม่ดี  แต่มันมีความเท่แฝงอยู่
นี่คือ เรื่องยากค่ะ เพราะการสื่อสารสู่ผู้คนมากมาย  ก็ต้องมีคนเห็นอะไรที่ไม่ดี แล้วกลัว ไม่อยากทำ
และก็ต้องมีอีกไม่น้อย ที่รู้ว่า มันไม่ดี  แต่มันเท่อ่ะ

ซึ่งมันเป็นมานานแล้ว ไม่ว่าจะหนัง hollywood  หนังชาติอื่นๆ  หนังไทย
ไล่มาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายของพวกเรา เช่น การสูบบุหรี่ในหนัง hollywood
ความรุนแรงต่างๆ ในหนัง   ตัวละครที่ติดยา  พฤติกรรมเสี่ยงๆ ของตัวแสดงในหนัง ฯลฯ
เรื่องพวกนี้ มันเป็นดาบสองคม ทั้งนั้นค่ะ  มันคุมยากจริงๆ  

แต่... แต่  บางคนก็มีทางออกอื่นๆ เช่น ถ้าคนที่นำเสนอในลักษณะสารคดี หรือ realistic มากๆ
แล้วคุมการนำเสนอให้มันสะท้อนภาพความจริงที่มันโหดร้าย ที่มันน่าหดหู่
คือ ไม่พยายามปรุงแต่งรสชาติให้มันดูเท่ ดูดี ดูน่าเร้าอารมณ์
มันก็จะช่วยลดการสื่อสารที่ทำให้คนเสพสื่อ ตีความผิดๆ ไปได้

แต่อย่างว่าค่ะว่า  ถ้าเน้นตอบโจทย์ทางธุรกิจ  ก็ต้องเอาคนหน้าดี  คนดัง  มาแสดง
ต่อให้ตัวแสดงได้รับผลกรรมอย่างสาสมยังไง
แต่ภาพความเท่  มันก็จะไปโดนใจคนบางกลุ่มจนได้

ว่าจะเขียนสั้นๆ  นี่แค่แตะๆ ประเด็นแรก ก็ยาวซะแล้ว 55

เอาเป็นว่า การนำเสนออะไรที่เป็นด้านมืด  มันมีเรื่องที่ sensitive มากๆ ค่ะ
ที่คนในแวดวงสร้างสรรค์เอง หลายคนก็ยังไม่เข้าใจถึงผลกระทบของมันมากพอ
แล้วก็จะมีคนพูดว่า  เพราะฉะนั้น ตัวละคร ตัวแสดงในหนัง ในละคร ก็ต้องมีคนดี ประเสริฐล้วนๆ
character แบนๆ  มีด้านเดียวเสมอไป   ทำให้เรื่องมันดูไม่สมจริง จืดชืด  555

ถึงว่าแหละค่ะ   เราจะทำอะไร เพื่อวัถตุประสงค์อะไร  คนสร้างงานก็ต้องชัดเจนในเป้าหมาย
ถ้าจะทำเพื่อผลทางธุรกิจ ชื่อเสียง รายได้  ความนิยม  ก็ต้องใส่ใจเรื่องพวกนี้มากกว่าเรื่องอื่นๆ
แต่ถ้าจะทำเพื่อผลประโยชน์อื่นๆ  ก็จะมีวิธีต่างออกไป

หรือถ้าจะผสมทั้งธุรกิจและประโยชน์ต่อสังคม  ก็ต้องหาทางผสมให้ลงตัว
เหมือนทำอาหารมั้งคะ   ถ้าจะให้มันอร่อยและมีประโยชน์ด้วย  มันก็มีคนพยายามทำให้ลงตัวได้น่าชื่นชมมากมายค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่