HUAWEI ยังคงเดินหน้าทำ Ultrabook ของตัวเองพร้อมกับสานต่อ Ecosystem ของตัวเองไปในตัวแน่นอนว่าเป็นจุดหลักๆที่ทางค่ายนั้นพยายามพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจริงๆ อีกทั้ง HUAWEI เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่มุ่งมั่นทำตลาดคอมพิวเตอร์มาอย่างจริงจังและมีความต่อเนื่อง ล่าสุดก็ได้เปิดตัว HUAWEI MateBook 14s แล็ปท็อประดับเรือธงรุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมกับดีไซน์และสเปก ล้ำๆเหมือนเช่นเคย มีการ Re-Design ใช้งานสะดวกขึ้น พร้อมหน้าจอ LTPS 90Hz แสดงผลอย่าง Smooth มากๆ แสดงผลคมชัด เหมาะกับทำงาน ดูหนัง เร็วแรงสมราคา มี Windows 10 Home มาให้ พร้อมรองรับอัปเกรดเป็น Windows 11 ครั้งนี้ถือว่ามาสู่ระดับพรีเมียมสุดๆ โดดเด่นในทั้งเรื่องดีไซน์และสเปกการใช้งาน ซึ่งตัวนี้ถือว่าลุยตลาดระดับสูงและคุณภาพแบบสูงชัดเจนกว่ารุ่นก่อนๆ
Huawei Matebook 14S เปิดตัวมาพร้อมกับจุดเด่นหลักๆเลยคือในเรื่องของการใช้งาน มาพร้อมโปรเซสเซอร์ Intel 11th Gen หน้าจอ LTPS 14.2 นิ้ว จอทัชสกรีน ความละเอียด 2.5K รองรับอัตรารีเฟรชภาพได้ถึง 90Hz ให้ภาพที่ลื่นไหลมากยิ่งขึ้น ขนาดเครื่อง 313.82 มม. x 229.76 มม. x 16.7 มม หนักราว 1.43 กิโลกรัม และมาพร้อมกับหน่วยความจำสูงสุด 16GB (LPDDR4x RAM) แบบ dual-channel และความจุข้อมูลแบบ SSD มากสุดถึง 1TB พร้อมแบตเตอรี่ 60Wh เล่นวิดีโอความละเอียด 1080p ได้ต่อเนื่อง 13 ชั่วโมง รองรับการชาร์จเร็วด้วยเทคโนโลยี HUAWEI SuperCharge 65W ผ่านสายชาร์จ Type-C พร้อมทั้งอัปเกรดในส่วนของการเชื่อมต่อและการถ่ายโอนข้อมูล รวมทั้งระบบเสียง HUAWEI Sound ลำโพงสเตอริโอ x4 + ไมโครโฟน x4 และในรุ่นนี้เราจะได้สเปก intel Core i5-11300H แกนประมวลผล 4 Cores/8 Threads ความเร็วเริ่มต้น 3.10 GHz – 4.40 GHz และแน่นอนว่าตัวนี้ยังเป็นการ์ดจอ iris Xe แบบ Onboard นะครับบรองรับการใช้งานทั่วไปได้แบบสบายๆ ซึ่งจริงๆจะมีทั้ง i7 และ i5 ให้เลือกใช้งานกัน และเรทราคาต่างๆก็มีความแตกต่างกันด้วยครับ
PRICE
HUAWEI MateBook 14s วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้นที่ 40,990 บาท ในสี Space Gray และ Spruce Green
DESIGN
งานออกแบบนั้นเน้นความเรียบง่ายโทนสีเทาสวยงามพร้อมกับฝาหลังวัสดุโลหะอลูมิเนียมทั้งเครื่อง โลโก้ HUAWEI ตรงกลาง แน่นอนว่าดีไซน์อะไรเรียบง่ายสวยงามเลยแหละงานประกอบความรู้สึกในการใช้งานนั้นดูแน่นหนาทีเดียวดีไซน์นั้นไม่ได้หนีจากรุ่นก่อนๆหรือว่าตระกูล D ของค่ายก่อนหน้านี้มากนักต้องบอกว่าหลายๆส่วนนั้นมีความคล้ายกันเลยทีเดียว ตัวเครื่องวัสดุอะลูมิเนียมขึ้นรูปแบบ Unibody เรื่องขนาดเครื่องก็บางเบา หนักแค่ 1.43 กิโลกรัม บาง 16.7 มม พกพาออกไปใช้งานตามที่ต่างๆ ได้สบาย สำหรับสีที่วางจำหน่ายก็มีทั้ง Space Gray และ Spruce Green แม้งานออกแบบอาจจะไม่ได้แตกต่างกับรุ่นก่อนหน้ามากนักแต่ก็มีความทันสมัยและกล้องเปลี่ยนตำแหน่ง
หน้าจอนั้นทำได้บางพอสมควรจะเห็นว่าทั้งขอบด้านบน และขอบด้านข้างนั้นมีขนาดใกล้ๆกัน เป็นหน้าจอดีไซน์ FullView Display แบบ LTPS ขนาด 14.2 นิ้ว ดีไซน์ตัวเครื่องรุ่นนี้ยังคงใช้งานหน้าจอแบบ 3:2 ซึ่งหน้าจออัตราส่วนแบบนี้จะค่อนข้างแปลกใหม่และไม่ค่อยเห็นเท่าไรนัก ถ้ามองในตลาดคอมพิวเตอร์ทั่วไปแต่เมื่อได้ลองใช้งานกันอาจจะมีหลายๆคนนั้นค่อนข้างชอบอัตราส่วนแบบนี้เพราะว่าในแง่ของการใช้งานนั้นจะเต็มตามากขึ้นเวลาเขียนงานหรือว่าทำงานที่ต้องใช้พื้นที่แนวตั้งมากหน่อยนั้นเอง ส่วนขอบหน้าจอนั้นรุ่นนี้ทำได้บางกว่าเดิม และการที่ไม่มีกล้องหน้าทำให้ขอบด้านบนนั้นมีความบางมากขึ้นไปอีก ส่วนบอดี้ฝาหลังนั้นเรียบๆขึ้นรูปชิ้นเดียวกันทั้งหมดพร้อมกับโลโก้ตรงกลาง ไม่ได้มีลวดลายหรือเส้นสายอะไรพิเศษ แต่เราจะเห็นโลโก้ที่ใหญ่มากกว่าเดิมชัดเจน
ขอบหน้าจอในส่วนขอบข้างๆนั้นจะถือว่าค่อนข้างบาง และทำให้สัดส่วนของตัวเครื่องนั้นมากถึง 90% เลยทีเดียว ในรุ่นนี้ส่วนช่องระบายนั้นจะยิงออกส่วนด้านล่างไม่ได้ยิงขึ้นมาบนขอบหน้าจอ จะทำงานคล้ายกับรุ่นอื่นๆของค่ายนี้ ส่วนการระบายแน่นอนว่าไม่ได้แตกต่างกันมาก แต่ถ้ามองในแง่ของระบายจากด้านบนนั้นจะแตกต่างกันอยู่นิดๆ และยังมาพร้อมกับสแกนนิ้วบนปุ่ม Power เช่นเดิมครับทำให้เรื่องของการใช้งานต่างๆนั้นทำได้ดี ส่วนกล้องหน้าย้ายไปตำแหน่งใหม่บนหน้าจอแล้วแน่นอนว่า มุมมองการใช้งานทำได้ดีขึ้น และไม่ต้องมากดปุ่มด้านล่างซึ่งหลายคนไม่ชอบ
ในด้านหลังการออกแบบการวางช่องระบายอากาศความร้อนในด้านหลังแบบแนวยาวพร้อมกับลำโพงซ้ายขวา รวมถึงยางรองเครื่องแนวยาวในด้านหลังที่ยกเครื่องขึ้นมานิดหน่อย และ ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง ในส่วนของช่องระบายข้างหลังนั้นจะเป็นซ้ายขวา ยิงออกมาตรงหลังคีย์บอร์ด และแน่นอนว่าตัวช่องด้านซ้ายนั้นจะใหญ่กว่าเพราะมันเป็นช่องสำหรับพัดลมที่อยู่ฝั่งนี้ และฝั่งขวาเลยเป็นช่องระบายอีกแบบนึง ในด้านหลังเมื่อเราส่องทะลุผ่านช่องเหล็กนั้นจะเป็นตัวพัดลมระบายความร้อนที่เห็นชัดเจนพอสมควรในการดูดลมเข้าไป และเป่าลมร้อนออกทางด้านหลัง ส่วนของตัวไมค์ 4 ตัวจะวางไว้ใต้เครื่องด้านหน้าทั้งหมด สำหรับรับเสียงคนใช้งานแบบเต็มที่เลย ส่วนด้านในเองก็รองรับได้ดี
ข้างในจะมีการออกแบบพัดลมใหม่ การระบายความร้อนได้ดีขึ้นและแน่นอนว่ายิงลมต่างๆทำได้เงียบแต่ระบายได้ดีขึ้นเช่นกัน ส่วนการอัปเกรดจริงๆนั้นจะได้แค่ SSD M.2 เปลี่ยนแทนของเดิมเท่านั้นรองรับแค่อันเดียว จะไม่สามารถเพิ่มเติมได้อีก รวมถึง RAM 8GB เป็นแบบ Onboard ทั้งหมดทำให้เรื่องการอัปเกรดอาจจะไม่ได้เป็นจุดเด่นเท่าไร
SPEC
- ขนาดเครื่อง 313.82 มม. x 229.76 มม. x 16.7 มม หนัก 1.43 กิโลกรัม
- หน้าจอ LTPS 14.2 นิ้ว, ความละเอียด 2.5K (2520 x 1680 พิกเซล) , 213PPI, sRGB 100% color gamut อัตราส่วน 3:2
- หน้าจอสัมผัสทำ Multi-touch ได้ 10 จุด
- โปรเซสเซอร์ 11th Gen Intel Core (i7H และ i5H)
- GPU Intel Iris Xe Graphics
- แรม 8GB/16GB LPDDR4
- ความจุ 512GB/1TB (NVMe PCIe SSD)
- แบตเตอรี่ 60W
- ติดกล้อง 720p HD
- มีลำโพง 4 ตัว+ไมโครโฟน 4 ตัว
- ระบบเซนเซอร์ เซนเซอร์วัดแสง / เซนเซอร์ลายนิ้วมือ / Hall sensor
- ระบบ Windows 10 Home รองรับอัพเกรดเป็น Windows 11
- รองรับ WiFi 6 ax, Bluetooth 5.1
- เชื่อมต่อ USB-A 3.2 x1, Type-C 3.2 Gen1 x2
- พอร์ตหูฟังและไมโครโฟนขนาด 3.5 มม.x 1
PERFORMANCE
ในรุ่นนี้จะใช้งาน โปรเซสเซอร์ Intel® Core™ i5-11300H Processor 1 GHz (8M Cache, up to 4.4 GHz, 4 cores/ 8 Threads ) บนสถาปัตยกรรม 10nm Tiger Lake เช่นเดิม และรุ่นนี้จะมาด้วยการ์ดจอในตัว Intel Iris Xe Graphics พร้อมกับใช้งาน RAM 8GB DDR4 on board ส่วนทางด้าน SSD ให้มา 512GB รองรับการใช้งานทั่วไปได้สบาย และ รองรับ Windows 11 ได้เช่นกัน ถือว่าเรื่องสเปกรองรับการใช้งานระดับกลางไปสูงได้สบายแต่ RAM อาจจะน้อยไปนิดเทียบกับราคาอาจจะเสียดายเรื่องการ์ดจอแยก แต่ได้เรื่องความบางเบามาแทนนั้นเอง แต่ถือว่า i5 ที่ใส่เข้ามาให้นั้นรองรับการทำงานระดับเริ่มต้น และ ใช้งานระดับกลางได้ดีมาก
PCMARK คะแนนทำได้ 4796 ถือว่าตามระดับของ CPU เป็นการเรนเดอร์ในหลายๆอย่างที่เสมือนกับทำงานจริงๆในแง่ของการใช้งานทั้งหมดเวลาใช้งานคอมพิวเตอร์คะแนนเอาจริงๆถือว่าเอาเรื่องเนื่องจากใช้งานตัว i5 Gen 11 ทำให้รองรับการ ทำงานทั่วไปสบายๆไม่ต้องกังวลอะไร และทำคะแนนรวมๆนั้นถือว่ารองรับการทำงานทั้งหมดได้หลากหลาย และเต็มประสิทธิภาพกว่าแบบชัดเจน ทางด้านความร้อนนั้น CPU 75 และ GPU 74 สำหรับการทดสอบนี้ให้สภาพอากาศปกติ ถือว่าเรื่องความร้อนแอบสูงกว่าตัวก่อนหน้าอาจจะด้วยการปรับมาใช้งานตระกูล H
3D MARK เราทดสอบแบบพื้นฐานกันในส่วนของ Time SPY / Firestrike / Night Raid ถือว่าทำคะแนนได้ดีเอาเรื่องเลยคะแนนในส่วนของ Night Raid ตัวนี้ทำได้ 1+6334คะแนนดี การประมวลผลของรุ่นนี้ในแบบ 3 มิติ ทำได้ดีมากๆแม้จะไม่มีการ์ดจอแยกเข้ามาช่วยด้วยแต่ทำคะแนนได้เท่ากับพวก MX เลยครับ และ ใช้งานได้ในแง่ของการเรนเดอร์พวก 3 มิติทั้งหลาย ถือว่าสบายๆไม่ต้องกังวลทำให้การทำงานต่างเรนเดอร์เริ่มต้นอะไรสบาย ส่วนเรื่องคะแนน Sky Driver นั้นแตะ 1553 ได้เลย และในตัว FIRE STRIKE นั้นทำไปได้ 4078 คะแนน และสำหรับตัว ความร้อนที่ทดสอบนั้น CPU 79 และ GPU 78 ถือว่าเป็นการ์ดจอติด CPU ที่ทำได้ดีมากๆ และประหยัดพลังงาน
CINEBENCH R20 -15 ตัวนี้คะแนนวัดที่ CPU ล้วนๆเลยแหละทำไปได้ 977 ถือว่าแรงขึ้นกว่ารุ่นก่อนชัดเจน และทำไปได้ 95.59 FPS และในคะแนนของตัว R20 ที่โหดกว่าเดิมนั้นทำไปได้ 2366 cb ถือว่าคะแนนดีเลยแหละในแง่การประมวลผลของ CPU ส่วนตัวนี้มาพร้อมกับ SSD ทำคะแนนการอ่านไปได้ 3552 ส่วนเขียนที่ 2799 คะแนน จากทดลองหลายๆรอบ ถือว่าการอ่านเขียนนั้นไวมากและใช้งานได้ดีจริงๆ และ ครั้งนี้ให้มา 512GB ครับ ถือว่าเพียงพอและความเร็วความจุนั้นสบายๆในการใช้งานทั่วไปจะไม่สามารถอัปเกรดอะไรได้นะครับเปลี่ยนได้เท่านั้น
SCREEN
หน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ 14.2 นิ้ว ที่ได้รับการดีไซน์ให้ภาพดูใหญ่ขึ้นไปอีกด้วยสไตล์การออกแบบ HUAWEI FullView Display ขอบจอบางเฉียบ (พื้นที่หน้าจอแสดงผลกินพื้นที่ถึง 90% จากทั้งจอ) 2.5K หรือ 2520 x 1680 พิกเซล รองรับรีเฟรชเรตสูงสุดที่ 90Hz สามารถสลับรีเฟรชเรต FN+R เหลือ 60Hz สามารถแสดงเฉดสีได้ 1.07 พันล้านสี เป็นหน้าจอสัมผัสที่รองรับระบบสัมผัส Multi-touch 10 จุด ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก TÜV Rheinland ในด้านการลดแสงสีฟ้า และใช้เทคโนโลยีการแสดงผลที่ไร้การสั่นไหว และการกระพริบของภาพ และมาตรฐาน sRGB100% ที่รองรับความสว่างสูงสุด 400Nits มากกว่ารุ่น 14 ก่อนหน้าพอสมควรทำให้หน้าจอถือว่าโหดมากขึ้น รวมถึงมีค่า อัตราส่วนความคมชัด 1500:1 เลยทีเดียวถือว่าเป็นหน้าจอที่ทำงานได้แม่นยำ และสู้แสงได้ดีรวมถึงความสวยงามที่มากกว่าเดิม แต่กระจกเงาเองนั้นอาจจะลำบากเวลาเจอแสงสะท้อนอยู่บ้างเหมือนกัน
[SR] รีวิว Huawei Matebook 14S จอ 2.5K 90Hz ใช้งาน i5 Gen11 พร้อม Mobile App ในตัว !
HUAWEI ยังคงเดินหน้าทำ Ultrabook ของตัวเองพร้อมกับสานต่อ Ecosystem ของตัวเองไปในตัวแน่นอนว่าเป็นจุดหลักๆที่ทางค่ายนั้นพยายามพัฒนามาอย่างต่อเนื่องจริงๆ อีกทั้ง HUAWEI เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่มุ่งมั่นทำตลาดคอมพิวเตอร์มาอย่างจริงจังและมีความต่อเนื่อง ล่าสุดก็ได้เปิดตัว HUAWEI MateBook 14s แล็ปท็อประดับเรือธงรุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมกับดีไซน์และสเปก ล้ำๆเหมือนเช่นเคย มีการ Re-Design ใช้งานสะดวกขึ้น พร้อมหน้าจอ LTPS 90Hz แสดงผลอย่าง Smooth มากๆ แสดงผลคมชัด เหมาะกับทำงาน ดูหนัง เร็วแรงสมราคา มี Windows 10 Home มาให้ พร้อมรองรับอัปเกรดเป็น Windows 11 ครั้งนี้ถือว่ามาสู่ระดับพรีเมียมสุดๆ โดดเด่นในทั้งเรื่องดีไซน์และสเปกการใช้งาน ซึ่งตัวนี้ถือว่าลุยตลาดระดับสูงและคุณภาพแบบสูงชัดเจนกว่ารุ่นก่อนๆ
Huawei Matebook 14S เปิดตัวมาพร้อมกับจุดเด่นหลักๆเลยคือในเรื่องของการใช้งาน มาพร้อมโปรเซสเซอร์ Intel 11th Gen หน้าจอ LTPS 14.2 นิ้ว จอทัชสกรีน ความละเอียด 2.5K รองรับอัตรารีเฟรชภาพได้ถึง 90Hz ให้ภาพที่ลื่นไหลมากยิ่งขึ้น ขนาดเครื่อง 313.82 มม. x 229.76 มม. x 16.7 มม หนักราว 1.43 กิโลกรัม และมาพร้อมกับหน่วยความจำสูงสุด 16GB (LPDDR4x RAM) แบบ dual-channel และความจุข้อมูลแบบ SSD มากสุดถึง 1TB พร้อมแบตเตอรี่ 60Wh เล่นวิดีโอความละเอียด 1080p ได้ต่อเนื่อง 13 ชั่วโมง รองรับการชาร์จเร็วด้วยเทคโนโลยี HUAWEI SuperCharge 65W ผ่านสายชาร์จ Type-C พร้อมทั้งอัปเกรดในส่วนของการเชื่อมต่อและการถ่ายโอนข้อมูล รวมทั้งระบบเสียง HUAWEI Sound ลำโพงสเตอริโอ x4 + ไมโครโฟน x4 และในรุ่นนี้เราจะได้สเปก intel Core i5-11300H แกนประมวลผล 4 Cores/8 Threads ความเร็วเริ่มต้น 3.10 GHz – 4.40 GHz และแน่นอนว่าตัวนี้ยังเป็นการ์ดจอ iris Xe แบบ Onboard นะครับบรองรับการใช้งานทั่วไปได้แบบสบายๆ ซึ่งจริงๆจะมีทั้ง i7 และ i5 ให้เลือกใช้งานกัน และเรทราคาต่างๆก็มีความแตกต่างกันด้วยครับ
PRICE
HUAWEI MateBook 14s วางจำหน่ายในราคาเริ่มต้นที่ 40,990 บาท ในสี Space Gray และ Spruce Green
DESIGN
งานออกแบบนั้นเน้นความเรียบง่ายโทนสีเทาสวยงามพร้อมกับฝาหลังวัสดุโลหะอลูมิเนียมทั้งเครื่อง โลโก้ HUAWEI ตรงกลาง แน่นอนว่าดีไซน์อะไรเรียบง่ายสวยงามเลยแหละงานประกอบความรู้สึกในการใช้งานนั้นดูแน่นหนาทีเดียวดีไซน์นั้นไม่ได้หนีจากรุ่นก่อนๆหรือว่าตระกูล D ของค่ายก่อนหน้านี้มากนักต้องบอกว่าหลายๆส่วนนั้นมีความคล้ายกันเลยทีเดียว ตัวเครื่องวัสดุอะลูมิเนียมขึ้นรูปแบบ Unibody เรื่องขนาดเครื่องก็บางเบา หนักแค่ 1.43 กิโลกรัม บาง 16.7 มม พกพาออกไปใช้งานตามที่ต่างๆ ได้สบาย สำหรับสีที่วางจำหน่ายก็มีทั้ง Space Gray และ Spruce Green แม้งานออกแบบอาจจะไม่ได้แตกต่างกับรุ่นก่อนหน้ามากนักแต่ก็มีความทันสมัยและกล้องเปลี่ยนตำแหน่ง
หน้าจอนั้นทำได้บางพอสมควรจะเห็นว่าทั้งขอบด้านบน และขอบด้านข้างนั้นมีขนาดใกล้ๆกัน เป็นหน้าจอดีไซน์ FullView Display แบบ LTPS ขนาด 14.2 นิ้ว ดีไซน์ตัวเครื่องรุ่นนี้ยังคงใช้งานหน้าจอแบบ 3:2 ซึ่งหน้าจออัตราส่วนแบบนี้จะค่อนข้างแปลกใหม่และไม่ค่อยเห็นเท่าไรนัก ถ้ามองในตลาดคอมพิวเตอร์ทั่วไปแต่เมื่อได้ลองใช้งานกันอาจจะมีหลายๆคนนั้นค่อนข้างชอบอัตราส่วนแบบนี้เพราะว่าในแง่ของการใช้งานนั้นจะเต็มตามากขึ้นเวลาเขียนงานหรือว่าทำงานที่ต้องใช้พื้นที่แนวตั้งมากหน่อยนั้นเอง ส่วนขอบหน้าจอนั้นรุ่นนี้ทำได้บางกว่าเดิม และการที่ไม่มีกล้องหน้าทำให้ขอบด้านบนนั้นมีความบางมากขึ้นไปอีก ส่วนบอดี้ฝาหลังนั้นเรียบๆขึ้นรูปชิ้นเดียวกันทั้งหมดพร้อมกับโลโก้ตรงกลาง ไม่ได้มีลวดลายหรือเส้นสายอะไรพิเศษ แต่เราจะเห็นโลโก้ที่ใหญ่มากกว่าเดิมชัดเจน
ขอบหน้าจอในส่วนขอบข้างๆนั้นจะถือว่าค่อนข้างบาง และทำให้สัดส่วนของตัวเครื่องนั้นมากถึง 90% เลยทีเดียว ในรุ่นนี้ส่วนช่องระบายนั้นจะยิงออกส่วนด้านล่างไม่ได้ยิงขึ้นมาบนขอบหน้าจอ จะทำงานคล้ายกับรุ่นอื่นๆของค่ายนี้ ส่วนการระบายแน่นอนว่าไม่ได้แตกต่างกันมาก แต่ถ้ามองในแง่ของระบายจากด้านบนนั้นจะแตกต่างกันอยู่นิดๆ และยังมาพร้อมกับสแกนนิ้วบนปุ่ม Power เช่นเดิมครับทำให้เรื่องของการใช้งานต่างๆนั้นทำได้ดี ส่วนกล้องหน้าย้ายไปตำแหน่งใหม่บนหน้าจอแล้วแน่นอนว่า มุมมองการใช้งานทำได้ดีขึ้น และไม่ต้องมากดปุ่มด้านล่างซึ่งหลายคนไม่ชอบ
ในด้านหลังการออกแบบการวางช่องระบายอากาศความร้อนในด้านหลังแบบแนวยาวพร้อมกับลำโพงซ้ายขวา รวมถึงยางรองเครื่องแนวยาวในด้านหลังที่ยกเครื่องขึ้นมานิดหน่อย และ ด้านหน้า 2 ตำแหน่ง ในส่วนของช่องระบายข้างหลังนั้นจะเป็นซ้ายขวา ยิงออกมาตรงหลังคีย์บอร์ด และแน่นอนว่าตัวช่องด้านซ้ายนั้นจะใหญ่กว่าเพราะมันเป็นช่องสำหรับพัดลมที่อยู่ฝั่งนี้ และฝั่งขวาเลยเป็นช่องระบายอีกแบบนึง ในด้านหลังเมื่อเราส่องทะลุผ่านช่องเหล็กนั้นจะเป็นตัวพัดลมระบายความร้อนที่เห็นชัดเจนพอสมควรในการดูดลมเข้าไป และเป่าลมร้อนออกทางด้านหลัง ส่วนของตัวไมค์ 4 ตัวจะวางไว้ใต้เครื่องด้านหน้าทั้งหมด สำหรับรับเสียงคนใช้งานแบบเต็มที่เลย ส่วนด้านในเองก็รองรับได้ดี
ข้างในจะมีการออกแบบพัดลมใหม่ การระบายความร้อนได้ดีขึ้นและแน่นอนว่ายิงลมต่างๆทำได้เงียบแต่ระบายได้ดีขึ้นเช่นกัน ส่วนการอัปเกรดจริงๆนั้นจะได้แค่ SSD M.2 เปลี่ยนแทนของเดิมเท่านั้นรองรับแค่อันเดียว จะไม่สามารถเพิ่มเติมได้อีก รวมถึง RAM 8GB เป็นแบบ Onboard ทั้งหมดทำให้เรื่องการอัปเกรดอาจจะไม่ได้เป็นจุดเด่นเท่าไร
SPEC
- ขนาดเครื่อง 313.82 มม. x 229.76 มม. x 16.7 มม หนัก 1.43 กิโลกรัม
- หน้าจอ LTPS 14.2 นิ้ว, ความละเอียด 2.5K (2520 x 1680 พิกเซล) , 213PPI, sRGB 100% color gamut อัตราส่วน 3:2
- หน้าจอสัมผัสทำ Multi-touch ได้ 10 จุด
- โปรเซสเซอร์ 11th Gen Intel Core (i7H และ i5H)
- GPU Intel Iris Xe Graphics
- แรม 8GB/16GB LPDDR4
- ความจุ 512GB/1TB (NVMe PCIe SSD)
- แบตเตอรี่ 60W
- ติดกล้อง 720p HD
- มีลำโพง 4 ตัว+ไมโครโฟน 4 ตัว
- ระบบเซนเซอร์ เซนเซอร์วัดแสง / เซนเซอร์ลายนิ้วมือ / Hall sensor
- ระบบ Windows 10 Home รองรับอัพเกรดเป็น Windows 11
- รองรับ WiFi 6 ax, Bluetooth 5.1
- เชื่อมต่อ USB-A 3.2 x1, Type-C 3.2 Gen1 x2
- พอร์ตหูฟังและไมโครโฟนขนาด 3.5 มม.x 1
PERFORMANCE
ในรุ่นนี้จะใช้งาน โปรเซสเซอร์ Intel® Core™ i5-11300H Processor 1 GHz (8M Cache, up to 4.4 GHz, 4 cores/ 8 Threads ) บนสถาปัตยกรรม 10nm Tiger Lake เช่นเดิม และรุ่นนี้จะมาด้วยการ์ดจอในตัว Intel Iris Xe Graphics พร้อมกับใช้งาน RAM 8GB DDR4 on board ส่วนทางด้าน SSD ให้มา 512GB รองรับการใช้งานทั่วไปได้สบาย และ รองรับ Windows 11 ได้เช่นกัน ถือว่าเรื่องสเปกรองรับการใช้งานระดับกลางไปสูงได้สบายแต่ RAM อาจจะน้อยไปนิดเทียบกับราคาอาจจะเสียดายเรื่องการ์ดจอแยก แต่ได้เรื่องความบางเบามาแทนนั้นเอง แต่ถือว่า i5 ที่ใส่เข้ามาให้นั้นรองรับการทำงานระดับเริ่มต้น และ ใช้งานระดับกลางได้ดีมาก
PCMARK คะแนนทำได้ 4796 ถือว่าตามระดับของ CPU เป็นการเรนเดอร์ในหลายๆอย่างที่เสมือนกับทำงานจริงๆในแง่ของการใช้งานทั้งหมดเวลาใช้งานคอมพิวเตอร์คะแนนเอาจริงๆถือว่าเอาเรื่องเนื่องจากใช้งานตัว i5 Gen 11 ทำให้รองรับการ ทำงานทั่วไปสบายๆไม่ต้องกังวลอะไร และทำคะแนนรวมๆนั้นถือว่ารองรับการทำงานทั้งหมดได้หลากหลาย และเต็มประสิทธิภาพกว่าแบบชัดเจน ทางด้านความร้อนนั้น CPU 75 และ GPU 74 สำหรับการทดสอบนี้ให้สภาพอากาศปกติ ถือว่าเรื่องความร้อนแอบสูงกว่าตัวก่อนหน้าอาจจะด้วยการปรับมาใช้งานตระกูล H
3D MARK เราทดสอบแบบพื้นฐานกันในส่วนของ Time SPY / Firestrike / Night Raid ถือว่าทำคะแนนได้ดีเอาเรื่องเลยคะแนนในส่วนของ Night Raid ตัวนี้ทำได้ 1+6334คะแนนดี การประมวลผลของรุ่นนี้ในแบบ 3 มิติ ทำได้ดีมากๆแม้จะไม่มีการ์ดจอแยกเข้ามาช่วยด้วยแต่ทำคะแนนได้เท่ากับพวก MX เลยครับ และ ใช้งานได้ในแง่ของการเรนเดอร์พวก 3 มิติทั้งหลาย ถือว่าสบายๆไม่ต้องกังวลทำให้การทำงานต่างเรนเดอร์เริ่มต้นอะไรสบาย ส่วนเรื่องคะแนน Sky Driver นั้นแตะ 1553 ได้เลย และในตัว FIRE STRIKE นั้นทำไปได้ 4078 คะแนน และสำหรับตัว ความร้อนที่ทดสอบนั้น CPU 79 และ GPU 78 ถือว่าเป็นการ์ดจอติด CPU ที่ทำได้ดีมากๆ และประหยัดพลังงาน
CINEBENCH R20 -15 ตัวนี้คะแนนวัดที่ CPU ล้วนๆเลยแหละทำไปได้ 977 ถือว่าแรงขึ้นกว่ารุ่นก่อนชัดเจน และทำไปได้ 95.59 FPS และในคะแนนของตัว R20 ที่โหดกว่าเดิมนั้นทำไปได้ 2366 cb ถือว่าคะแนนดีเลยแหละในแง่การประมวลผลของ CPU ส่วนตัวนี้มาพร้อมกับ SSD ทำคะแนนการอ่านไปได้ 3552 ส่วนเขียนที่ 2799 คะแนน จากทดลองหลายๆรอบ ถือว่าการอ่านเขียนนั้นไวมากและใช้งานได้ดีจริงๆ และ ครั้งนี้ให้มา 512GB ครับ ถือว่าเพียงพอและความเร็วความจุนั้นสบายๆในการใช้งานทั่วไปจะไม่สามารถอัปเกรดอะไรได้นะครับเปลี่ยนได้เท่านั้น
SCREEN
หน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ 14.2 นิ้ว ที่ได้รับการดีไซน์ให้ภาพดูใหญ่ขึ้นไปอีกด้วยสไตล์การออกแบบ HUAWEI FullView Display ขอบจอบางเฉียบ (พื้นที่หน้าจอแสดงผลกินพื้นที่ถึง 90% จากทั้งจอ) 2.5K หรือ 2520 x 1680 พิกเซล รองรับรีเฟรชเรตสูงสุดที่ 90Hz สามารถสลับรีเฟรชเรต FN+R เหลือ 60Hz สามารถแสดงเฉดสีได้ 1.07 พันล้านสี เป็นหน้าจอสัมผัสที่รองรับระบบสัมผัส Multi-touch 10 จุด ได้รับการรับรองมาตรฐานจาก TÜV Rheinland ในด้านการลดแสงสีฟ้า และใช้เทคโนโลยีการแสดงผลที่ไร้การสั่นไหว และการกระพริบของภาพ และมาตรฐาน sRGB100% ที่รองรับความสว่างสูงสุด 400Nits มากกว่ารุ่น 14 ก่อนหน้าพอสมควรทำให้หน้าจอถือว่าโหดมากขึ้น รวมถึงมีค่า อัตราส่วนความคมชัด 1500:1 เลยทีเดียวถือว่าเป็นหน้าจอที่ทำงานได้แม่นยำ และสู้แสงได้ดีรวมถึงความสวยงามที่มากกว่าเดิม แต่กระจกเงาเองนั้นอาจจะลำบากเวลาเจอแสงสะท้อนอยู่บ้างเหมือนกัน
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้