รับคำท้า(หัวใจ)ยัยตัวแสบ ตอนที่ 39 ถ้าอยากเป็นมากกว่าเพื่อน...

รับคำท้าฯ
ตอนที่ 39
 
รถตู้เลี้ยวโค้งขึ้นเขาเหวี่ยงคนที่นั่งหลับข้าง ๆ เธอ   เสียการทรงตัวเอียงเข้าไปหาสาวน้อย  ปริมาตกใจทำตัวลีบเบียดตัวเองจนติดกับกระจกหน้าต่างเท่าที่จะทำได้

‘ไอ้บ้าเอ๊ย!!’  เธอบ่นกับตัวเองในใจ  เมื่อลำตัวของชายหนุ่มเทน้ำหนักมากระแทกกับเธอเต็ม ๆ ศีรษะของเขาเอนมาค้างอยู่ที่ไหล่ของเธออีกต่างหาก  เธออยากจะร้องกรี๊ดดัง ๆ ก็ทำไม่ได้กลัวจะตื่นกันทั้งรถ  ให้ทุกคนตื่นมาเห็นเขาซบไหล่เธอแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด คิดอะไรไม่ออกเลย จะหนีไปไหนก็ไม่ได้ ทำได้แต่เบียดตัวเองกับกระจกรถตู้  สมองของเธออึ้งไปชั่วขณะจนทำอะไรไม่ถูก  ได้แต่มองศีรษะของหนุ่มจอมกวนพิงอยู่ที่หัวไหล่ของเธอ  ปล่อยให้เขาซบไหล่เธออยู่อย่างนั้น

หนุ่มผมยาวรู้สึกตัวเมื่อรถเหวี่ยงตัวเขาไปกระแทกกับเธออย่างไม่ทันตั้งตัว  ใบหน้านั้นอมยิ้มน้อย ๆ แกล้งซบไหล่เธออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อย ๆ ขยับตัวลุกขึ้นจากไหล่ของหญิงสาว

ยังไม่ทันที่สาวชาวสวนจะเรียกสติสตังค์กลับมาได้ครบ  รถตู้ก็เลี้ยวโค้งขึ้นเขาไปอีกด้านหนึ่งเหวี่ยงตัวเธอเอียงเข้าไปหาหนุ่มผมยาว  หน้าของเธอกระแทกกับต้นแขนของหนุ่มจอมกวนเต็ม ๆ จนเกือบจะตกเก้าอี้มือจึงคว้าตัวเขาเอาไว้อย่างไม่ตั้งใจ

ปฏิการรีบยกมือประคองตัวน้องสาวเพื่อนไว้กลัวว่าอีกฝ่ายจะตกเก้าอี้ 

ยัยตัวแสบรีบเงยหน้าขึ้นจากไหล่ของคนหนุ่ม  พบใบหน้าของเขาที่อยู่ใกล้กันนิดเดียว

 “อรุณสวัสดิ์ครับปริม   หลับสบายไหมเมื่อคืนนี้”  หนุ่มจอมกวนทักทายคนในอ้อมแขนด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ 

รถตู้กระดอนเล็กน้อยเมื่อเข้าสู่ถนนลูกรัง เนื่องจากพื้นถนนขรุขระ ทำให้จมูกของทั้งคู่ชนกัน  ต่างคนต่างอึ้งด้วยความตกใจ   แล้วรีบผละตัวออกจากกันไปคนละทิศละทาง

‘กรี๊ด...............................’  

ปริมายกสองมือปิดหน้าปิดตาตัวเองแน่น  หันไปซุกหน้ากับพนักเก้าอี้ติดกับหน้าต่างรถตู้  เธออยากจะกรีดร้องให้สุดเสียง 

‘โอ๊ย!!! ทำไม ๆ ๆ ต้องเป็นแบบนี้...................!!’ หญิงสาวได้แต่กรี๊ดลั่นอยู่ในใจ รับตัวเองไม่ได้   ที่จมูกของเธอไปชนกับจมูกของเขาได้อย่างไร

‘บ้า ๆๆๆๆๆๆ  ที่สุดเลย’

ปฏิการยกสองมือขึ้นปิดหน้าปิดตาตัวเองแน่นด้วยความเขินอายสุดขีด  รีบหันหลังให้เธอ  พิงศีรษะกับพนักเก้าอี้  หัวใจของเขาเต้นระรัวราวกลองรบ  ใบหน้านั้นแดงเป็นลูกตำลึงไปแล้ว

ปริมารู้สึกอับอายสุด ๆ  อยากจะมุดหนีหายไปจากตรงนั้นถ้าทำได้  แล้วค่อย ๆ หันไปมองรอบตัว  โชคดีที่ยังไม่มีใครตื่นมาเห็น  ไม่งั้นต้องโดนล้อแน่ ๆ เลย  เพราะใครต่อใครต่างรู้เกี่ยวกับสัญญาของเขาและเธอกันหมดแล้ว  หญิงสาวได้แต่ปิดปากตัวเองเงียบกริบ  ไม่กล้าต่อว่าเขา  ไม่กล้าโวยวายเอากับพี่ชาย  เพราะกลัวทุกคนจะตื่นขึ้นมารับรู้

“อีตาบ้า  ยิ้มอยู่ได้!!”  ปริมาค่อย ๆ หันไปมองคู่อริ แล้วรีบหันหน้ากลับเข้าหาหน้าต่างมองออกไปข้างนอกตัวรถด้วยความรู้สึกขายหน้าสุดขีด  จนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน  เลยต้องจำใจต้องเอาหน้าไว้ที่เดิม

เมื่อหนุ่มนักดนตรีรู้สึกผ่อนคลายจากอาการตกใจและเขินหนักมาก  เขาหันกลับมานั่งตัวตรง  ค่อย ๆ หันไปแอบมองคนที่นั่งข้าง ๆ แต่ยังอดเขินเธอไม่ได้  ใบหน้านั้นยังเปื้อนยิ้มตลอดเวลา  ไออุ่นของตัวเธอที่ซบอยู่กับตักของเขามาตลอดคืน  ยังรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ  ให้ความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก   เขาบรรจงเก็บเกี่ยวความน่ารักของเธอขณะนี้เอาไว้  มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข  หลังจากที่มันห่างหายไปจากชีวิตของเขานานเหลือเกิน

เธอ…คือ…คนที่มาเปลี่ยน และพลิกผันชีวิตของเขาให้ดีกว่าเดิม…เธอคือส่วนเติมเต็มในชีวิตของเขาที่ขาดหายไป
 
*****************************
 
รองเท้าผ้าใบคลุกฝุ่นสีแดงขมุกขมัวก้าวช้าลง ๆ เนื่องจากความลาดชันของพื้นดิน  ทางเดินแคบลง   กว้างสำหรับพอเดินได้แค่สองคนเท่านั้น    ระยะทางที่ยาวไกล  ทำให้แต่ละคนเริ่มอ่อนล้า  กระเป๋าใบโตที่เธอเคยถือได้อย่างสบาย  แต่เมื่อต้องถือนานเข้า  น้ำหนักกลับเพิ่มขึ้นเนื่องจากความเมื่อยล้าของต้นแขน  เหงื่อเม็ดโป้งไหลจากศีรษะมาหยุดอยู่ที่ปลายคาง  ก่อนที่เจ้าของจะใช้แขนเสื้อซับไว้   การเดินเกาะกลุ่มไปเป็นทีม  ตอนนี้กลุ่มเริ่มแตกกระจายเป็นกลุ่มย่อย ๆ  ที่เหลือคนหรือสองคนแทน 

ปฏิการเดินตามปริมามาห่าง ๆ  เป้ใบใหญ่และอุปกรณ์เต้นท์แบกอยู่ด้านหลังทั้งหมด  มือซ้ายถือกระเป๋าหนังสีดำใส่กีตาร์ตัวโปรด  เขากำลังรอจังหวะทิ้งให้เธอเริ่มเหนื่อย  ก่อนที่จะเข้าไปช่วยยัยตัวแสบ  เพราะรู้ดีว่า  เธอคงไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากใครง่าย ๆ

เขาสาวเท้าเร็วขึ้น  เร่งฝีเท้าตามไปให้ทันคนที่เดินอยู่ข้างหน้า
“ปริมเหนื่อยหรือเปล่า  ฉันช่วยถือนะ” 

ปริมามองสัมภาระของเขาที่ดูเยอะกว่าของเธอเสียอีก
“ไม่เป็นไร…ฉันถือได้” 

“ไม่เป็นไรหรอก  มาให้ฉันช่วยนะ”  หนุ่มผมยาวยังยืนยันที่จะช่วยเป็นครั้งที่สอง  อดแปลกใจเล็กน้อยที่เธอยังไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากเขา  ซึ่งโดยปกติผู้หญิงมักจะดีใจที่มีผู้ชายมาช่วยถือข้าวของหนัก ๆ อย่างนี้  และบางทียังชอบชี้ใช้ด้วยซ้ำ

“ของนายเยอะกว่าฉันเสียอีก”  อีกฝ่ายยังยืนกรานปฏิเสธ 

ปฏิการอดยิ้มไม่ได้  ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด  เธอเป็นห่วงเขารึเปล่า?

“ไม่เป็นไรหรอก   สบายมาก  ส่งมาเลย” 

“ก็ได้”   เธอส่งกระเป๋าใบโตให้เขา พลางยิ้มอย่างมีเลสนัย

“งั้นถือให้หมดเลยนะ”   ว่าแล้วก็เอาทั้งกระเป๋าสะพาย  ทั้งเป้ใบเล็ก ๆ เข้าไปคล้องตัวเขาจนดูรุงรังเต็มตัวไปหมด

“เป็นไง”   ยัยตัวแสบยิ้มระรื่น  เดินตัวปลิวอย่างสบายใจ  ผมประบ่าถูกรวบไว้เป็นหางม้าแกว่งไกวไปมาตามจังหวะการก้าวเดิน

เมื่อโดนเธอแกล้งสุมสัมภาระให้ขนาดนี้  เล่นเอาหนักและเหน็ดเหนื่อยเหมือนกัน

“ปริม….รอกันด้วยสิ!”  เขาตะโกนเรียก  อยากจะพยายามวิ่งตามไป  แต่เรี่ยวแรงกลับถดถอยลงทุกที ๆ  ด้วยความลาดชันของหนทางขึ้นเขา  แถมแดดยามบ่ายยังร้อนระอุบั่นทอนกำลังให้ลดลงอีก

“ร้ายจริง ๆ เลย  ทิ้งกันได้ลงคอ”  หนุ่มหน้าหวานบ่นอยู่คนเดียว  หลังจากเธอเดินหายตัวไปไหนแล้วไม่รู้

“นินทาไร  ได้ยินนะ”

เขาเงยหน้ามองขึ้นไปข้างบนตามหาแหล่งกำเนิดเสียง  เห็นแม่ตัวดีนั่งเล่นอยู่บนต้นไม้  ปากกำลังอมอะไรบางอย่างอยู่ทำสีหน้าเปรี้ยวจี๊ดทีเดียว  ครู่หนึ่งเธอปีนลงมาอย่างคล่องแคล่ว

“หิวน้ำมั้ย”

ชายหนุ่มหอบข้าวของพะรุงพะรังเหมือนพวกไอ้บ้าหอบฟางพยักหน้าหงึก ๆ 

“มาก ๆ เลย”

“กินนี่ไปก่อนนะ  มะขามป้อม”  เธอล้วงเม็ดกลม ๆ แป้น ๆ สีเขียวอ่อนขนาดใหญ่กว่าหัวแม่มือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

หนุ่มผมยาวส่ายหน้า  “ไม่เอา ไม่ชอบนะ”

“นี่…!!  มันช่วยแก้กระหายน้ำได้นะ  ลองกินดู”  เธอยื่นส่งให้

“จริงหรอ”  เขามองหน้าคนถือมะขามป้อม เห็นเธออมไว้จนแก้มตุงเชียว

ปริมาพยักหน้าพยักพเยิดให้เขาลองกินดู

หนุ่มนักดนตรีจึงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ๆ  แล้วค่อย ๆ อ้าปากให้เธอป้อน เพราะมือของเขาไม่ว่าง ถือสัมภาระเต็มไปหมด  มองเธอยื่นมะขามป้อมเข้ามาใกล้  ดูเธอระมัดระวัง ไม่ให้มือมาสัมผัสโดนริมฝีปากของเขา  ทันทีที่ฟันกระทบกับผิวของมะขามป้อมและกดลึกลงไปในเนื้อ   รสเปรี้ยวอมหวานนิด ๆ ของมะขามป้อมก็แผ่ซ่านไปทั่วปาก  คิดไว้ว่าจะต้องเจอรสฝาดเข้าเต็ม ๆ เลย  แต่ไม่ใช่  เขาค่อย ๆ กัดมะขามป้อมไปทีละนิดเรื่อย ๆ  รู้สึกชุ่มคอ  และหายคอแห้งผากไปได้เยอะเลย

“อืม…อร่อยดีเหมือนกันนะ  ไม่เหมือนที่เคยกินเลย  ขออีกสิ”

“เห็นมั้ยล่ะ” เธอส่งมะขามป้อมใส่ปากให้เขาอีกหนึ่งเม็ด

หนุ่มนักร้องอมยิ้มน้อย ๆ เมื่อเธอป้อนมะขามป้อมให้อีก  เอาแต่มองหน้าเธอจนไม่ได้มองทางจนเดินชนต้นไม้ข้างทาง
“อุ้ย!”

ปริมาหันมาหัวเราะเบา ๆ ที่เห็นเขาชนต้นไม้จนได้

“นายรู้มั้ย?  มะขามป้อมมีประโยชน์มากเลยนะ มีสารต้านอนุมูลอิสระและมีวิตามินซีสูงมากที่สุดกว่าพืชทุกชนิดในโลก หนึ่งเม็ดใหญ่ ๆ ขนาดนี้  เพิ่งเก็บสด ๆ มีวิตามินซีนสูงถึง 250 มิลลิกรัมเลยทีเดียว  วิตามินซีมีความสำคัญมากใช้ในการสร้างเม็ดเลือด  ใช้ในการสร้างคลอลาเจนบำรุงผิวพรรณ  เรียกว่าบำรุงตั้งแต่ผม สายตา  ผิวพรรณ  สมอง ยันตับไตไส้พุงเลยล่ะ เหมาะกับนาย ช่วยบำรุงเสียงด้วยนะ” 

เธอเคยไออยู่นานไม่หายซักที จึงนำมะขามป้อมมาฝานเป็นเสี้ยวเล็ก ๆ    อมไปเรื่อย ๆ  วันเดียวอาการไอหายไปเลย  จึงไปเสิร์ชดูประโยชน์ของมะขามป้อมมีอะไรบ้าง  มีมากมายจริง ๆ

วิตามินซีในน้ำคั้นจากผลของมะข้ามป้อมนั้น มีมากกว่าน้ำส้มคั้นประมาณ 20 เท่า ในผลมีสารป้องกันการเกิดออกซิไดซ์วิตามินซี ทำให้วิตามินซีคงตัวอยู่ได้นาน ผลแห้ง เก็บไว้ในที่เย็น เช่น ในตู้เย็น นาน 365 วัน จะเสียวิตามินซีไปร้อยละ 20  สรรพคุณมะขามป้อมนั้นมีมากมาย และยังใช้เป็นยารักษาโรคบางชนิดได้อีกด้วย เพราะมะข้ามป้อมนั้นอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิด ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น วิตามินเอ, วิตามินบี 3, วิตามินซี, ธาตุแคลเซียม, ธาตุฟอสฟอรัส, ธาตุเหล็ก และยังประกอบไปด้วย คาร์โบไฮเดรต, ใยอาหาร เป็นต้น 

“เอาอีก”  ชายหนุ่มอ้าปากให้เธอป้อมมะขามป้อมให้อีก

หญิงสาวจึงยื่นมะขามป้อมใส่ปากให้เขา  เธอผงะเล็กน้อยกับสายตาหวานของหนุ่มผมยาวที่สบตากับเธอ ก่อนจะรีบหลบสายตานั้น

 “มา…ฉันช่วยถือนะ”

หญิงสาวไม่รอให้เขาพูดอะไร  รีบเอาเป้เล็ก ๆ ที่เอาไปสุมไว้กับตัวเขาคืนมาสะพายเสียเอง ดึงสายของกระเป๋าในมือของชายหนุ่มขึ้นมาถือไว้ข้างหนึ่ง 

“นี่!”  หนุ่มนักร้องส่งเสียงเรียกสาวชาวสวน

คนถูกเรียกจึงหันหน้ามามองด้วยสายตาของคำถาม

“ฉันรู้สึก...ชอบเธอ...มากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ทำไงดี”  พูดจบก็อมยิ้มเขิน

“พูดมาก  หุบปากไปเลย”  เธอเอามะขามป้อมยัดใส่ปากเขาอีกจะได้เงียบ ๆ  แล้วปล่อยสายของกระเป๋าที่ช่วยถืออยู่ ให้เขาถือไปคนเดียว  รีบสาวเท้าเร็วขึ้นเดินนำไปข้างหน้า

“ปริมา...เธอ...ทิ้งฉันแบบนี้ไม่ได้นะ  รอด้วย....”

เขาตะโกนเรียกพลางอมยิ้ม  เขารู้ว่าเธอไม่ใช่คนที่จะคอยเอาเปรียบใคร  คะแนนความดีของเธอค่อย ๆ สะสมอยู่ในหัวใจเขาทีละน้อย  มันกำลังเพิ่มขึ้นตลอดเวลาที่ได้รู้จักเธอ
 
============== 
 
กองไฟถูกก่อขึ้นอย่างง่าย ๆ  เปลวไฟสีส้มแดงระริกไหวอยู่ท่ามกลางความมืดมิดของยามค่ำคืน  ไม่มีแสงไฟจากไฟฟ้า  มองไปทางไหนไม่อาจหลีกหนีความมืดไปได้  ต้นไม้ทุกต้นยืนสงบนิ่งในอ้อมกอดของเงาแห่งราตรีกาล   ผืนฟ้าสีน้ำเงินเข้มมีเพียงแสงดาววับวาววอมแวม  กับแสงจันทร์เสี้ยวที่ทอแสงสีขาวนวลตา  อากาศเริ่มเย็นขึ้นเรื่อย ๆ  หนุ่มสาวต่างนั่งล้อมรอบกองไฟ   กล้วยสุกลูกสวยสีเหลืองทองอวบอ้วน ข้าวโพด และมันเทศกำลังถูกย่างอยู่บนเปลวไฟ    ส่งกลิ่นหอมยั่วยวนน้ำย่อยในกระเพาะอาหารให้ออกมาวิ่งเต้นไปมา

เมื่อคมมีดถูกกดลงไปบนกล้วยย่างหรือมันเผา  เกิดควันกรุ่น ๆ ลอยคลุ้งออกมา  ปริมาเอามือจับชิ้นมันเผาที่ถูกพี่ชายตัดให้เป็นชิ้นเล็กพอประมาณ  แต่เมื่อจับแล้วต้องรีบโยนทิ้งทันทีเพราะความร้อน  รีบเอามือจับหูตัวเองแทบไม่ทัน

“มันร้อนนะปริม”  ปรามเตือนน้องสาว  แล้วเอาส้อมจิ้มชิ้นมันเผาขนาดกำลังพอดีส่งให้

“ขอบคุณค่ะ  พี่ปราม”  เธอรับส้อมมันเผามาทาน  พอกัดเข้าไปคำหนึ่งต้องรีบห่อปากเป่าลมออกจากปากเพื่อระบายความร้อน  พลางเอามือพัด ๆ ปากตัวเองถี่ยิบ

“ใจเย็นปริม  ค่อย ๆ กิน  มันมีอีกเยอะนะ  ไม่ต้องกลัวคนแย่งนะจ๊ะ”  เพื่อนพี่ชายต่างแซวด้วยความเอ็นดูแล้วพากันหัวเราะ
 
หนุ่มผมยาวเริ่มจับกีตาร์ขึ้นมาประคองไว้ในอ้อมแขน  ก่อนจะบรรจงดีดสายกีตาร์พริ้วไหวราวมีชีวิต นิ้วแต่ละนิ้วเคลื่อนไหวจับคอร์ดกีตาร์อย่างคล่องแคล่วและแม่นยำ  ราวกับเป็นเรื่องง่ายดายเหลือเกิน   บ่งบอกถึงฝีมือที่ฝึกฝนมานานเป็นอย่างดี   เทียบเท่ากับมืออาชีพได้เลย   บวกกับพรสวรรค์และพรแสวงในการร้องเพลงของเขา  ทำให้เพลงแต่ละเพลงเต็มไปด้วยอารมณ์และความรู้สึก   ราวกับนักร้องตัวจริงมาร้องให้ฟังเสียเอง  น้ำเสียงใส ๆ  นุ่ม ๆ  ทำให้เพลงแต่ละเพลงสะกดหัวใจของคนฟังเอาไว้   แต่ละคนต่างเพลิดเพลิน  มีความสุขสนุกสนาน  ไม่ว่าเขาจะร้องเพลงช้า  เพลงซึ้ง  เพลงเร็ว  เพลงสดใส  เพลงอะไรก็น่าฟังไพเราะไปหมด   น้ำเสียงของเขาเหมือนมีพลังพิเศษจนไม่อาจละสายตาไปจากลีลาท่าทางที่ชวนมองของเขาได้เลย  หนุ่มสาวต่างพากันโยกตัวไปมาช่วยกันร้องเพลงตามและปรบมืออย่างสนุกสนาน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่