.
ในวันที่เงียบเหงา ไม่มีทั้งลูกค้าและไม่มีทั้งเพื่อนคุย เคลียร์งานที่ค้างอะไรเรียบร้อยแล้ว พรนภาก็นั่งนึกอะไรเพลิน ๆ คนเดียว นึกไปถึงกับข้าวเย็นนี้ สามีคราวพ่อจะทำอะไรไว้รอ นึกถึงการสวอบ เย็นนี้ต้องกลับไปสวอบอีกรอบที่สอง ผลจะออกมาเป็นเช่นไร แต่ที่แน่ ๆ แสบจมูกน้ำตาไหลชัวร์ นึกถึงเรื่องราวของวันพรุ่งนี้ นึกถึงอดีตตอนเด็ก ๆ แล้วก็ยิ้มกับความสุขนั้น
ช่วงนี้เมธียังไม่เลิกงานรีบไลน์ไปบอกดีกว่าว่า ไม่ต้องทำกับข้าว เธออยากทานก๋วยเตี๋ยว พอนึกได้อย่างนั้นจึงรีบส่งข้อความหาเลย สามีจะได้ไม่ต้องทำกับข้าวให้เสียของ เพราะหากเมธีทำแล้วเธอจะต้องทาน ก็เพราะไม่อยากให้เสียความตั้งใจ ไม่อยากให้เสียความรู้สึกนั่นเอง
“พี่เมธีตัวเองไม่ต้องทำกับข้าวนะ นภาอยากกินก๋วยเตี๋ยว” ฝากข้อความไว้ พร้อมส่งสติ๊กเกอร์ส่งจุ๊บให้ด้วย
“ค้าบ” ทันใดนั้นเขาก็รีบตอบกลับมา พรนภายิ้มกับข้อความที่ได้อ่าน ทีแรกว่าจะฝากข้อความหาเฉย ๆ ไป ๆ มา ๆ ก็แช็ตคุยกันยาวเลยทีนี้ “รีบกลับมานะคะ เค้าคิดถึง” เขาพิมพ์มาอีกประโยค
“ค่ะ” จากนั้นเธอก็รีบไปจัดการเคลียร์เอกสาร ปิดงาน เลิกงานกลับบ้านเพื่อไปหาคนที่รักเธอ ก่อนกลับก็ไม่ลืมซื้อเอ็นทีเคกลับไปด้วย เพื่อนำไปสวอบตรวจหาเชื้อโควิดรอบที่สอง
ไม่นานเธอก็ขับรถมาถึงคอนโด เคาะประตูห้องสองสามครั้งคนในห้องก็เปิดประตูให้ เมธีผายมือรับอย่างรู้งาน และ เธอก็ยอมให้กอดได้เต็มที่ด้วย เนื่องจากมั่นใจตนเองว่าไม่ติดโควิดแน่นอน ที่ต้องการสวอบรอบที่สองก็เพื่อความสบายใจของทุกคน
เธอชูเอ็นทีเคให้เขาดูพร้อมหัวเราะแบบรู้ชะตากรรมของตนเอง มั่นใจว่าไม่ติดแต่เจ็บจมูกร้อยเปอร์เซนต์ เขาเองก็หัวเราะตาม เนื่องจากเข้าใจแววตาและเสียงหัวเราะของเธอดี
“มาค่ะเตรียมตัวนะ! ฮะฮ่า มาให้แหย่ซะดี ๆ” เขาพูดปนหัวเราะ จากนั้นก็เดินตามเธอมาติด ๆ รับกล่องเอ็นทีเคไปจากเธอ พร้อมแกะอุปกรณ์เตรียมตรวจหาเชื้อให้เธอเลย คล่องแคล่วมาก ตนเองก็ตรวจอยู่เป็นประจำ จึงไม่เก้ ๆ กัง ๆ อะไรนัก
“เดี๋ยวสิ! ฮ่วย! นภายังไม่พร้อมเลย” เธอกล่าว ก่อนจะเดินไปล้างมือและล้างจมูก จากนั้นก็เปลี่ยนชุดทำงานออก สวมชุดลำลองไม่ยอมอาบน้ำและไม่ออกกำลังกายด้วยสำหรับวันนี้
“พร้อมยังคะ! มามะ มาซะดี ๆ “ เขาพูดยั่วยวนเธอ แกว่งก้านเอ็นทีเคยั่วไปอีก แค่คิดก็เจ็บจะแย่แล้ว “เร็ว ๆ เราจะได้ไปทานก๋วยเตี๋ยวกันค่ะ”
“อือ… พี่เมธีค่อย ๆ นะ เบา ๆ ด้วย เค้ากลัว” ทำหน้ามุ่ยให้สามีจะร้องไห้ให้ได้เลย มันทรมานสิ้นดีเหลือเกิน
“ค่ะ! เดี๋ยวพี่ทำเบา ๆ พร้อมนา ตัวเองอย่าผลักอย่าถีบเค้าด้วย” เมธีพูดกลั้วหัวเราะ ยังจะมีหน้ามาเล่นอีก เล่นไม่เลิกเธอเหวี่ยงค้อนให้เสียเลย
“พี่เมธี! ฮ่วย… ทำ ๆ สักทีเหอะ เบา ๆ นะ นภาเจ็บนภาถีบไม่รู้จริงด้วย” ค่อนขอดให้เสียเลย ชอบเล่นดีนัก
“ฮ่วย! ถีบกันจังใด มา ๆ เงยหน้าขึ้นนิดนึงค่ะ ถอดมั้ยแว่นอ่ะ เดี๋ยวเจ็บเดี๋ยวก็เผลอเขิกหล่นแตกหรอก” เขายังพูดตลกกับเธอไม่เลิกอีกรอบ ไม่เคยสักครั้งจะซีเรียสให้
“ถอดก็ได้! มันเกี่ยวอะไรกับถอดไม่ถอด แต่ถอดก็ได้ เผื่อเจ็บเผื่อเผลอเขิกมือคนหล่นตกแตก ลำบากตัดให้ใหม่อีก” พูดแล้วเธอก็ถอดแว่นวางไว้ใกล้ ๆ จากนั้นก็เงยหน้าให้สามีสวอบให้
เธอเหงยหน้าขึ้นนิดหน่อย ให้เมธีแหย่ก้านเอ็นทีเคเข้าไปในโพรงจมูกทีละข้าง มันแสบ ๆ คัน ๆ รู้สึกว่ารอบนี้มันจะแสบจะคันกว่ารอบแรกมาก แหย่เข้าไปแล้วก็หมุน ๆ ห้ารอบ มันลงไปถึงคอหอยกันเลย เธออ้วกแทบพุ่ง ทั้งจะอ้วก ทั้งแสบ ทั้งคัน น้ำตาก็ไหลโดยไม่รู้ตัว
“ฮื้อ…. พี่เมธี! ” เธอคางเบา ๆ เพราะเจ็บแสบคันรวมในอาการเดียวกัน น้ำตาไหลด้วย รอบนี้มันลงลึกถึงคอ แสบและคันกว่ารอบแรกแปลก ๆ
“เสร็จแล้วค่ะ! เสร็จแล้ว ๆ “ เมธีรีบปั่นให้ครบห้ารอบ แล้วรีบดึงออก ไม่อย่างนั้นตนเองคงเจ็บตัวแน่ ไม่โดนหมัดภรรยาก็คงจะโดนเท้าแทน “มาข้างซ้ายบาดหนิ”
“เดี๋ยว! นภาขอทำใจก่อน ทำไมรอบนี้มันแสบกว่ารอบแรกอ่า ฮื้อ” พรนภาทั้งพูดทั้งร้องไห้ จากนั้นก็ไอแล้วอ้วกเลย วิ่งเข้าห้องน้ำแทบไม่ทัน ก่อนจะกลับออกมาสวอบอีก
“นั่น! เป็นไรมากปะคะ” เขาถามพร้อมทำสีหน้าเป็นห่วงเธอ
“โอเค! นภาโอเค มาข้างซ้าย เบา ๆ นะตัวเอง” พูดทั้งน้ำตา ไม่ได้ร้องไห้มันไหลเอง จากนั้นเมธีก็แหย่ก้านเอ็นทีเคเข้าไปอีก รีบปั่นหมุนให้ครบห้ารอบ จากนั้นก็รีบดึงออก แล้วเธอก็ไอพร้อมอ้วกแตกอีกรอบ เนื่องจากน้ำมูกมันลงไปที่คอแล้ว รอบนี้ไม่สบายจมูกเลย
เมธีเอาก้านเอ็นทีเคจุ่มลงไปในน้ำยา จากนั้นก็หยดใส่ที่ตรวจ รอสิบห้าถึงยี่สิบนาทีให้เครื่องอ่านผลตรวจ “เป็นไง เจ็บมั้ยคะ” เมธีเดินมาหาเธอ เมื่อเธอเดินออกมาจากห้องน้ำ ดันเธอมากอดไว้ด้วยความอ่อนโยน สัมผัสนี้ที่เธอโหยหา ดมปอยผมของเธอเบา ๆ ถามถึงอาการของเธอ กระนั้นก็ยังทำหัวเราะเยาะเธอ
“ลงไปยันคอเลยพี่เมธีรอบนี้ แสบด้วย คันด้วย เหมือนที่ก้านเอ็นทีเคมันชุบน้ำยาอ่ะ แสบ คัน” เธอบ่น
“สบายใจแล้วนะคะ ขึ้นขีดเดียวนะ” เขาพูดพร้อมจุ๊บหน้าผากของเธอ ๆ พยักหน้าทั้งน้ำตา แสบตาน้ำตาไหลไม่หยุด “ปะไปทานก๋วยเตี๋ยวกัน ร้านประจำเราน้อ” เธอพยักหน้าอีก มันก็ต้องแน่นอนอยู่แล้วล่ะ ก็ต้องเป็นร้านประจำอยู่แล้ว ก่อนจะเช็ดน้ำตาออกเติมแป้งฝุ่นให้ทั่วหน้า
“เอามอเตอร์ไซค์ไปนะคะพี่เมธี รถยนต์กลัวไม่มีที่จอด” เธอแกว่งกุญแจมอเตอร์ไซค์โชว์สามีไปอีก ทั้งที่เมธีกำลังจะเดินไปหยิบกุญแจรถยนต์
“หนาวนะ แต่ก็ได้ค่ะ มอเตอร์ไซค์ก็มอเตอร์ไซค์ ปะ! เมธีพาแว้นเอง หึหึ” เขาพูดกลั้วหัวเราะ จากนั้นพวกเธอก็ออกไปข้างนอกกัน เพื่อไปทานก๋วยเตี๋ยว เสร็จภารกิจที่ต้องทำแล้ว เธอสอบผ่าน ไม่ติดโควิด
สายลมปะทะตัวขณะรถวิ่ง เธอกอดเอวของเมธีไม่ยอมปล่อย นาน ๆ จะได้มีโมเมนต์แบบนี้ นาน ๆ จะได้นั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์กับเมธี ส่วนมากสามีก็มักจะใช้รถยนต์เป็นหลัก กอดพร้อมเอาใบหน้าแนบไปกับแผ่นหลังของสามีด้วย อากาศก็หนาวมาก ๆ ทว่าเธอก็ยังอยากนั่งมอเตอร์ไซค์อยู่ดี
“นภาหนาว” เธอบ่นอยู่ด้านหลังเขา
“เห็นมั้ยเค้าบอกแล้วก็ไม่เชื่อ ว่ามันหนาว” เขาขับรถมือเดียว อีกมือก็กุมมือของเธอเอาไว้ขณะกำลังกอดเอวเขาอยู่ เวลานี้รถไม่ค่อยเยอะ ขับมือเดียวได้ บางจังหวะก็ต้องบังคับสองมือ “ตะอยู่หนิกะซำหนิ กลับบ้านเฮาสิซำใดน้อน้อง” เขาพูดปนยิ้ม
“กลับบ้านนะ ถ้าหนาวนะ นภาไม่อาบน้ำเลยแหล่ว ฮา” เธอพูดกลั้วหัวเราะไปตามทาง ขณะขับรถไปทานก๋วยเตี๋ยวกัน
“เย้ย! เค้าไม่ให้นอนด้วยเด้อ” เขาเองก็พูดปนหัวเราะเช่นกัน
“กะซาง! มุดผ้าห่มนำคือเก่า” เธอพูดลอยหน้าลอยตา แถมกระชับอ้อมกอดให้แน่น ๆ เข้าไปอีก จากนั้นไม่นานพวกเธอก็ขับรถมาถึงร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำ
มาถึงภายในร้านมีลูกค้าบางตา มีโต๊ะว่างหลายโต๊ะมาก เมธีนำรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจของเธอมาจอดข้าง ๆ ร้าน พ่อค้าวัยกลางคนยิ้มให้พวกเธออย่างคุ้นเคย พ่อค้าจำพวกเธอสองคนได้ดี
เธอไม่กล้าเดาว่าระหว่างเมธีกับพ่อค้าใครอ่อนใครแก่กว่ากัน ต่างคนต่างก็เรียกกันว่าพี่ ทว่าก็ไม่ได้อะไร ดู ๆ แล้วน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันล่ะ
“น้องทานเหมือนเดิมปะคะ” เขาถาม เพราะจะเป็นคนไปสั่งเอง ส่วนเธอนั่งรอที่โต๊ะ
“ไม่อ่ะ นภาอยากกินเล็กเนื้อ ธรรมดานะ” เธอตอบ เหมือนเดิมที่เมธีพูดถึงคือวุ้นเส้นเนื้อที่เธอชอบทานเป็นประจำ รอบนี้วันนี้ขอเปลี่ยนเป็นเส้นเล็ก
เขาเดินไปสั่งพร้อมเดินไปหยิบน้ำเปล่ามาเสิร์ฟ จากนั้นก็ไปหยิบผักใส่ถาดมาเสิร์ฟให้ โดยที่เธอไม่ต้องทำอะไรเลย นั่งรอทานเฉย ๆ คราวนี้ก็มีลูกค้าเข้าร้านมากขึ้น โต๊ะที่ว่างก็เริ่มมีคนมานั่งเกือบเต็มร้าน
“เป็นไงบ้างคะ หายเคืองจมูกยัง” เขาถาม แววตามองมายังเธอด้วยความห่วงใย พวกเธอไม่สนใจสายตาของคนในร้านเลย แล้วแต่พวกเขาจะมองและคิดกันไป “ทำไมคนเยอะจัง ตอนมายังน้อย ๆ อยู่เลยเนอะน้องว่ามั้ย”
“เนอะ! นภาก็ว่างั้นแหละ หายเคืองจมูกแล้วค่ะ แต่เหมือนน้ำมูกลงคออ่ะ แต่ก็ไม่เป็นไรแล้ว” เธอตอบปนยิ้ม มองหน้าคนตรงหน้าอย่างมีความสุข ที่ได้อยู่ด้วยกัน ในเวลาหลังจากเลิกงานเป็นต้นไป คือเวลาของพวกเธอที่จะได้ใช้ร่วมกันล่ะ
“ทำใจค่ะ! ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาหรอก” เขาพูดออกบ่น ๆ
“อือ… ช่างเถอะ” เธอเข้าใจความห่วงใยของสามีดี ไม่นานพ่อค้าก็ยกก๋วยเตี๋ยวมาเสิร์ฟให้พวกเธอ พร้อมยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง พ่อค้าทราบและเข้าใจในความรักต่างวัยของพวกเธอดี เพราะมาทานบ่อยจนกลายเป็นลูกค้าประจำไปแล้ว มาถึงแทบไม่ต้องสั่ง พ่อค้าก็ทราบว่าทานอะไร
“เค้าขอสองถ้วยนะคะ” เมธีถามเธอ ๆ พยักหน้าให้เป็นการอนุญาต อยากทานกี่ถ้วยก็ตามใจเถอะ “ผมเอาเล็กเนื้อธรรมดาเพิ่มอีกถ้วยครับ ทำมาเลย”
“ครับผม!” พ่อค้าพูดปนยิ้ม จากนั้นก็เดินกลับไป พ่อค้าจะทราบดีว่าเมธีจะทานแบบนี้ประจำ แค่ขออนุญาตไปอย่างนั้น ชามแรกพิเศษ ชามที่สองธรรมดาแบบนี้ทุกครั้งประจำ ส่วนเธอธรรมดาชามเดียวก็จะทานไม่หมดอยู่แล้ว
“เบิ่งอ้าย! อ้ายกินเทือละสองถ้วย อ้ายยังหุ่นดีบ่ออ้วนเลย เบิ่งจะของออกกำลังกายซุมื้อ ยังอ้วนคือเก่า ฮา” เมธีล้อเธอไปอีก แววตาและรอยยิ้มที่คุ้นเคย อยากเห็นแบบนี้แหละ อยากเห็นสามียิ้มและมีความสุขแบบนี้ทุกวัน พูดพร้อมปรุงก๋วยเตี๋ยวไปด้วย
“พี่เมธีพูดแบบนี้กลับไปห้องอยากใส่เดี่ยวกับนภามากใช่มั้ย” แกล้งค่อนขอดสามีไปอย่างนั้น ตนเองก็ปรุงเครื่องปรุงไปด้วยเช่นกัน
“อย่าใส่หลาย ๆ เด้อน้ำส้มเพิ่นน่ะ เพิ่นจะขาดทุนเด้ อืมม์! ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วพี่ขอลองชิมหน่อยค่ะ” หลังจากเธอปรุงก๋วยเตี๋ยวไปแล้ว เขาก็ตักน้ำชุปของเธอมาชิม ทำหน้าเหเกไปอีก “น้องนภาพี่บอกว่าอย่ากินเปรี้ยวมากไงคะ ลด ๆ ลงบ้าง มันไม่ดีต่อสุขภาพ” ชิมเสร็จก็บ่นไปอีก
“เอ๋า! ก็นภาชอบกินรสเปรี้ยวอ่ะ” เธอขมวดคิ้วหน้าบึ้งใส่เขาเบา ๆ
“ก็เปรี้ยวได้ แต่ไม่ต้องถึงขนาดนี้ค่ะ ไม่ต้องปรุงอย่างอื่นแล้วมั้งเนี่ย ใส่แค่น้ำส้มอย่างเดียวมั้งหนิ” เขาก็ยังบ่นไม่หยุด
“ใครบอก! นภาก็ใส่ทุกอย่างแหละ แต่ใส่น้อย ๆ หนักน้ำส้มสายชูอย่างเดียว” เธอก็ยังทำหน้าบึ้งให้เขาไม่เลิก พร้อมอธิบายไปด้วย
“พี่เป็นห่วงสุขภาพน้องค่ะ เพา ๆ ลงบ้าง มันไม่ดีเท่าไหร่หรอกนะคะ เนี่ยแหละพี่ไม่อยากพาน้องมากินก็เพราะแบบนี้” เขาก็ยังบ่นไม่หยุด มือก็ใช้ตะเกียบคีบลูกชิ้นจากชามของตนเอง มาใส่ในชามของเธอ พร้อมหัวไชเท้าด้วย ถึงจะโดนบ่นแต่ก็ยิ้มได้ เพราะได้ลูกชิ้นกับหัวไชเท้าชดเชยแล้ว
แบบนี้เสมอเวลาที่พวกเธอมาทานก๋วยเตี๋ยวกัน “พี่เมธีพอแล้ว เหลือให้ตัวเองกินด้วยลูกชิ้นน่ะ” เธอพูด
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ยังมีอีกชามแหนะ” เขาพูด จากนั้นพวกเธอก็ลงมือทานข้าวกัน เธอก็สูดน้ำมูกไปทานไป ตั้งแต่สวอบน้ำมูกก็ไหลไม่หยุดเลย
ทั้งเสียงรถที่วิ่งผ่าน ทั้งผู้คนเดินผ่านหน้าร้าน ทั้งเสียงพูดคุยของคนในร้าน วุ่นวายกันไปหมด ทว่าก็ไม่สามารถกลบความหวาน ความรัก ความเอาใจใส่กันและกันของพวกเธอได้ พวกเธอไม่แคร์สายตาของคนทั้งโลก พวกเธอแคร์แค่ความรู้สึกของตนเองก็พอ
พอชามแรกของเมธีหมดไป ก็ต่อด้วยชามที่สอง ในขณะที่ชามของเธอยังไม่หมดเลย คนอะไรทานเก่งชะมัด แต่ก็ยังไม่อ้วน
“นภาไม่ได้หยุดเลย นภาอยากไปทะเล ถ้าพี่ออร์ดี้กลับมา พี่เมธีพานภาไปทะเลนะคะ ไปร้านกาแฟริมเลอ่ะ” เธอพูด วางช้อนวางตะเกียบลง เนื่องจากอิ่มแล้ว นั่งคุยเป็นเพื่อนสามีขณะที่ตอนนี้ยังไม่อิ่มเลย
ฝันหวาน (Sweet Dream) 81
.
ในวันที่เงียบเหงา ไม่มีทั้งลูกค้าและไม่มีทั้งเพื่อนคุย เคลียร์งานที่ค้างอะไรเรียบร้อยแล้ว พรนภาก็นั่งนึกอะไรเพลิน ๆ คนเดียว นึกไปถึงกับข้าวเย็นนี้ สามีคราวพ่อจะทำอะไรไว้รอ นึกถึงการสวอบ เย็นนี้ต้องกลับไปสวอบอีกรอบที่สอง ผลจะออกมาเป็นเช่นไร แต่ที่แน่ ๆ แสบจมูกน้ำตาไหลชัวร์ นึกถึงเรื่องราวของวันพรุ่งนี้ นึกถึงอดีตตอนเด็ก ๆ แล้วก็ยิ้มกับความสุขนั้น
ช่วงนี้เมธียังไม่เลิกงานรีบไลน์ไปบอกดีกว่าว่า ไม่ต้องทำกับข้าว เธออยากทานก๋วยเตี๋ยว พอนึกได้อย่างนั้นจึงรีบส่งข้อความหาเลย สามีจะได้ไม่ต้องทำกับข้าวให้เสียของ เพราะหากเมธีทำแล้วเธอจะต้องทาน ก็เพราะไม่อยากให้เสียความตั้งใจ ไม่อยากให้เสียความรู้สึกนั่นเอง
“พี่เมธีตัวเองไม่ต้องทำกับข้าวนะ นภาอยากกินก๋วยเตี๋ยว” ฝากข้อความไว้ พร้อมส่งสติ๊กเกอร์ส่งจุ๊บให้ด้วย
“ค้าบ” ทันใดนั้นเขาก็รีบตอบกลับมา พรนภายิ้มกับข้อความที่ได้อ่าน ทีแรกว่าจะฝากข้อความหาเฉย ๆ ไป ๆ มา ๆ ก็แช็ตคุยกันยาวเลยทีนี้ “รีบกลับมานะคะ เค้าคิดถึง” เขาพิมพ์มาอีกประโยค
“ค่ะ” จากนั้นเธอก็รีบไปจัดการเคลียร์เอกสาร ปิดงาน เลิกงานกลับบ้านเพื่อไปหาคนที่รักเธอ ก่อนกลับก็ไม่ลืมซื้อเอ็นทีเคกลับไปด้วย เพื่อนำไปสวอบตรวจหาเชื้อโควิดรอบที่สอง
ไม่นานเธอก็ขับรถมาถึงคอนโด เคาะประตูห้องสองสามครั้งคนในห้องก็เปิดประตูให้ เมธีผายมือรับอย่างรู้งาน และ เธอก็ยอมให้กอดได้เต็มที่ด้วย เนื่องจากมั่นใจตนเองว่าไม่ติดโควิดแน่นอน ที่ต้องการสวอบรอบที่สองก็เพื่อความสบายใจของทุกคน
เธอชูเอ็นทีเคให้เขาดูพร้อมหัวเราะแบบรู้ชะตากรรมของตนเอง มั่นใจว่าไม่ติดแต่เจ็บจมูกร้อยเปอร์เซนต์ เขาเองก็หัวเราะตาม เนื่องจากเข้าใจแววตาและเสียงหัวเราะของเธอดี
“มาค่ะเตรียมตัวนะ! ฮะฮ่า มาให้แหย่ซะดี ๆ” เขาพูดปนหัวเราะ จากนั้นก็เดินตามเธอมาติด ๆ รับกล่องเอ็นทีเคไปจากเธอ พร้อมแกะอุปกรณ์เตรียมตรวจหาเชื้อให้เธอเลย คล่องแคล่วมาก ตนเองก็ตรวจอยู่เป็นประจำ จึงไม่เก้ ๆ กัง ๆ อะไรนัก
“เดี๋ยวสิ! ฮ่วย! นภายังไม่พร้อมเลย” เธอกล่าว ก่อนจะเดินไปล้างมือและล้างจมูก จากนั้นก็เปลี่ยนชุดทำงานออก สวมชุดลำลองไม่ยอมอาบน้ำและไม่ออกกำลังกายด้วยสำหรับวันนี้
“พร้อมยังคะ! มามะ มาซะดี ๆ “ เขาพูดยั่วยวนเธอ แกว่งก้านเอ็นทีเคยั่วไปอีก แค่คิดก็เจ็บจะแย่แล้ว “เร็ว ๆ เราจะได้ไปทานก๋วยเตี๋ยวกันค่ะ”
“อือ… พี่เมธีค่อย ๆ นะ เบา ๆ ด้วย เค้ากลัว” ทำหน้ามุ่ยให้สามีจะร้องไห้ให้ได้เลย มันทรมานสิ้นดีเหลือเกิน
“ค่ะ! เดี๋ยวพี่ทำเบา ๆ พร้อมนา ตัวเองอย่าผลักอย่าถีบเค้าด้วย” เมธีพูดกลั้วหัวเราะ ยังจะมีหน้ามาเล่นอีก เล่นไม่เลิกเธอเหวี่ยงค้อนให้เสียเลย
“พี่เมธี! ฮ่วย… ทำ ๆ สักทีเหอะ เบา ๆ นะ นภาเจ็บนภาถีบไม่รู้จริงด้วย” ค่อนขอดให้เสียเลย ชอบเล่นดีนัก
“ฮ่วย! ถีบกันจังใด มา ๆ เงยหน้าขึ้นนิดนึงค่ะ ถอดมั้ยแว่นอ่ะ เดี๋ยวเจ็บเดี๋ยวก็เผลอเขิกหล่นแตกหรอก” เขายังพูดตลกกับเธอไม่เลิกอีกรอบ ไม่เคยสักครั้งจะซีเรียสให้
“ถอดก็ได้! มันเกี่ยวอะไรกับถอดไม่ถอด แต่ถอดก็ได้ เผื่อเจ็บเผื่อเผลอเขิกมือคนหล่นตกแตก ลำบากตัดให้ใหม่อีก” พูดแล้วเธอก็ถอดแว่นวางไว้ใกล้ ๆ จากนั้นก็เงยหน้าให้สามีสวอบให้
เธอเหงยหน้าขึ้นนิดหน่อย ให้เมธีแหย่ก้านเอ็นทีเคเข้าไปในโพรงจมูกทีละข้าง มันแสบ ๆ คัน ๆ รู้สึกว่ารอบนี้มันจะแสบจะคันกว่ารอบแรกมาก แหย่เข้าไปแล้วก็หมุน ๆ ห้ารอบ มันลงไปถึงคอหอยกันเลย เธออ้วกแทบพุ่ง ทั้งจะอ้วก ทั้งแสบ ทั้งคัน น้ำตาก็ไหลโดยไม่รู้ตัว
“ฮื้อ…. พี่เมธี! ” เธอคางเบา ๆ เพราะเจ็บแสบคันรวมในอาการเดียวกัน น้ำตาไหลด้วย รอบนี้มันลงลึกถึงคอ แสบและคันกว่ารอบแรกแปลก ๆ
“เสร็จแล้วค่ะ! เสร็จแล้ว ๆ “ เมธีรีบปั่นให้ครบห้ารอบ แล้วรีบดึงออก ไม่อย่างนั้นตนเองคงเจ็บตัวแน่ ไม่โดนหมัดภรรยาก็คงจะโดนเท้าแทน “มาข้างซ้ายบาดหนิ”
“เดี๋ยว! นภาขอทำใจก่อน ทำไมรอบนี้มันแสบกว่ารอบแรกอ่า ฮื้อ” พรนภาทั้งพูดทั้งร้องไห้ จากนั้นก็ไอแล้วอ้วกเลย วิ่งเข้าห้องน้ำแทบไม่ทัน ก่อนจะกลับออกมาสวอบอีก
“นั่น! เป็นไรมากปะคะ” เขาถามพร้อมทำสีหน้าเป็นห่วงเธอ
“โอเค! นภาโอเค มาข้างซ้าย เบา ๆ นะตัวเอง” พูดทั้งน้ำตา ไม่ได้ร้องไห้มันไหลเอง จากนั้นเมธีก็แหย่ก้านเอ็นทีเคเข้าไปอีก รีบปั่นหมุนให้ครบห้ารอบ จากนั้นก็รีบดึงออก แล้วเธอก็ไอพร้อมอ้วกแตกอีกรอบ เนื่องจากน้ำมูกมันลงไปที่คอแล้ว รอบนี้ไม่สบายจมูกเลย
เมธีเอาก้านเอ็นทีเคจุ่มลงไปในน้ำยา จากนั้นก็หยดใส่ที่ตรวจ รอสิบห้าถึงยี่สิบนาทีให้เครื่องอ่านผลตรวจ “เป็นไง เจ็บมั้ยคะ” เมธีเดินมาหาเธอ เมื่อเธอเดินออกมาจากห้องน้ำ ดันเธอมากอดไว้ด้วยความอ่อนโยน สัมผัสนี้ที่เธอโหยหา ดมปอยผมของเธอเบา ๆ ถามถึงอาการของเธอ กระนั้นก็ยังทำหัวเราะเยาะเธอ
“ลงไปยันคอเลยพี่เมธีรอบนี้ แสบด้วย คันด้วย เหมือนที่ก้านเอ็นทีเคมันชุบน้ำยาอ่ะ แสบ คัน” เธอบ่น
“สบายใจแล้วนะคะ ขึ้นขีดเดียวนะ” เขาพูดพร้อมจุ๊บหน้าผากของเธอ ๆ พยักหน้าทั้งน้ำตา แสบตาน้ำตาไหลไม่หยุด “ปะไปทานก๋วยเตี๋ยวกัน ร้านประจำเราน้อ” เธอพยักหน้าอีก มันก็ต้องแน่นอนอยู่แล้วล่ะ ก็ต้องเป็นร้านประจำอยู่แล้ว ก่อนจะเช็ดน้ำตาออกเติมแป้งฝุ่นให้ทั่วหน้า
“เอามอเตอร์ไซค์ไปนะคะพี่เมธี รถยนต์กลัวไม่มีที่จอด” เธอแกว่งกุญแจมอเตอร์ไซค์โชว์สามีไปอีก ทั้งที่เมธีกำลังจะเดินไปหยิบกุญแจรถยนต์
“หนาวนะ แต่ก็ได้ค่ะ มอเตอร์ไซค์ก็มอเตอร์ไซค์ ปะ! เมธีพาแว้นเอง หึหึ” เขาพูดกลั้วหัวเราะ จากนั้นพวกเธอก็ออกไปข้างนอกกัน เพื่อไปทานก๋วยเตี๋ยว เสร็จภารกิจที่ต้องทำแล้ว เธอสอบผ่าน ไม่ติดโควิด
สายลมปะทะตัวขณะรถวิ่ง เธอกอดเอวของเมธีไม่ยอมปล่อย นาน ๆ จะได้มีโมเมนต์แบบนี้ นาน ๆ จะได้นั่งซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์กับเมธี ส่วนมากสามีก็มักจะใช้รถยนต์เป็นหลัก กอดพร้อมเอาใบหน้าแนบไปกับแผ่นหลังของสามีด้วย อากาศก็หนาวมาก ๆ ทว่าเธอก็ยังอยากนั่งมอเตอร์ไซค์อยู่ดี
“นภาหนาว” เธอบ่นอยู่ด้านหลังเขา
“เห็นมั้ยเค้าบอกแล้วก็ไม่เชื่อ ว่ามันหนาว” เขาขับรถมือเดียว อีกมือก็กุมมือของเธอเอาไว้ขณะกำลังกอดเอวเขาอยู่ เวลานี้รถไม่ค่อยเยอะ ขับมือเดียวได้ บางจังหวะก็ต้องบังคับสองมือ “ตะอยู่หนิกะซำหนิ กลับบ้านเฮาสิซำใดน้อน้อง” เขาพูดปนยิ้ม
“กลับบ้านนะ ถ้าหนาวนะ นภาไม่อาบน้ำเลยแหล่ว ฮา” เธอพูดกลั้วหัวเราะไปตามทาง ขณะขับรถไปทานก๋วยเตี๋ยวกัน
“เย้ย! เค้าไม่ให้นอนด้วยเด้อ” เขาเองก็พูดปนหัวเราะเช่นกัน
“กะซาง! มุดผ้าห่มนำคือเก่า” เธอพูดลอยหน้าลอยตา แถมกระชับอ้อมกอดให้แน่น ๆ เข้าไปอีก จากนั้นไม่นานพวกเธอก็ขับรถมาถึงร้านก๋วยเตี๋ยวเจ้าประจำ
มาถึงภายในร้านมีลูกค้าบางตา มีโต๊ะว่างหลายโต๊ะมาก เมธีนำรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจของเธอมาจอดข้าง ๆ ร้าน พ่อค้าวัยกลางคนยิ้มให้พวกเธออย่างคุ้นเคย พ่อค้าจำพวกเธอสองคนได้ดี
เธอไม่กล้าเดาว่าระหว่างเมธีกับพ่อค้าใครอ่อนใครแก่กว่ากัน ต่างคนต่างก็เรียกกันว่าพี่ ทว่าก็ไม่ได้อะไร ดู ๆ แล้วน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกันล่ะ
“น้องทานเหมือนเดิมปะคะ” เขาถาม เพราะจะเป็นคนไปสั่งเอง ส่วนเธอนั่งรอที่โต๊ะ
“ไม่อ่ะ นภาอยากกินเล็กเนื้อ ธรรมดานะ” เธอตอบ เหมือนเดิมที่เมธีพูดถึงคือวุ้นเส้นเนื้อที่เธอชอบทานเป็นประจำ รอบนี้วันนี้ขอเปลี่ยนเป็นเส้นเล็ก
เขาเดินไปสั่งพร้อมเดินไปหยิบน้ำเปล่ามาเสิร์ฟ จากนั้นก็ไปหยิบผักใส่ถาดมาเสิร์ฟให้ โดยที่เธอไม่ต้องทำอะไรเลย นั่งรอทานเฉย ๆ คราวนี้ก็มีลูกค้าเข้าร้านมากขึ้น โต๊ะที่ว่างก็เริ่มมีคนมานั่งเกือบเต็มร้าน
“เป็นไงบ้างคะ หายเคืองจมูกยัง” เขาถาม แววตามองมายังเธอด้วยความห่วงใย พวกเธอไม่สนใจสายตาของคนในร้านเลย แล้วแต่พวกเขาจะมองและคิดกันไป “ทำไมคนเยอะจัง ตอนมายังน้อย ๆ อยู่เลยเนอะน้องว่ามั้ย”
“เนอะ! นภาก็ว่างั้นแหละ หายเคืองจมูกแล้วค่ะ แต่เหมือนน้ำมูกลงคออ่ะ แต่ก็ไม่เป็นไรแล้ว” เธอตอบปนยิ้ม มองหน้าคนตรงหน้าอย่างมีความสุข ที่ได้อยู่ด้วยกัน ในเวลาหลังจากเลิกงานเป็นต้นไป คือเวลาของพวกเธอที่จะได้ใช้ร่วมกันล่ะ
“ทำใจค่ะ! ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาหรอก” เขาพูดออกบ่น ๆ
“อือ… ช่างเถอะ” เธอเข้าใจความห่วงใยของสามีดี ไม่นานพ่อค้าก็ยกก๋วยเตี๋ยวมาเสิร์ฟให้พวกเธอ พร้อมยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง พ่อค้าทราบและเข้าใจในความรักต่างวัยของพวกเธอดี เพราะมาทานบ่อยจนกลายเป็นลูกค้าประจำไปแล้ว มาถึงแทบไม่ต้องสั่ง พ่อค้าก็ทราบว่าทานอะไร
“เค้าขอสองถ้วยนะคะ” เมธีถามเธอ ๆ พยักหน้าให้เป็นการอนุญาต อยากทานกี่ถ้วยก็ตามใจเถอะ “ผมเอาเล็กเนื้อธรรมดาเพิ่มอีกถ้วยครับ ทำมาเลย”
“ครับผม!” พ่อค้าพูดปนยิ้ม จากนั้นก็เดินกลับไป พ่อค้าจะทราบดีว่าเมธีจะทานแบบนี้ประจำ แค่ขออนุญาตไปอย่างนั้น ชามแรกพิเศษ ชามที่สองธรรมดาแบบนี้ทุกครั้งประจำ ส่วนเธอธรรมดาชามเดียวก็จะทานไม่หมดอยู่แล้ว
“เบิ่งอ้าย! อ้ายกินเทือละสองถ้วย อ้ายยังหุ่นดีบ่ออ้วนเลย เบิ่งจะของออกกำลังกายซุมื้อ ยังอ้วนคือเก่า ฮา” เมธีล้อเธอไปอีก แววตาและรอยยิ้มที่คุ้นเคย อยากเห็นแบบนี้แหละ อยากเห็นสามียิ้มและมีความสุขแบบนี้ทุกวัน พูดพร้อมปรุงก๋วยเตี๋ยวไปด้วย
“พี่เมธีพูดแบบนี้กลับไปห้องอยากใส่เดี่ยวกับนภามากใช่มั้ย” แกล้งค่อนขอดสามีไปอย่างนั้น ตนเองก็ปรุงเครื่องปรุงไปด้วยเช่นกัน
“อย่าใส่หลาย ๆ เด้อน้ำส้มเพิ่นน่ะ เพิ่นจะขาดทุนเด้ อืมม์! ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้วพี่ขอลองชิมหน่อยค่ะ” หลังจากเธอปรุงก๋วยเตี๋ยวไปแล้ว เขาก็ตักน้ำชุปของเธอมาชิม ทำหน้าเหเกไปอีก “น้องนภาพี่บอกว่าอย่ากินเปรี้ยวมากไงคะ ลด ๆ ลงบ้าง มันไม่ดีต่อสุขภาพ” ชิมเสร็จก็บ่นไปอีก
“เอ๋า! ก็นภาชอบกินรสเปรี้ยวอ่ะ” เธอขมวดคิ้วหน้าบึ้งใส่เขาเบา ๆ
“ก็เปรี้ยวได้ แต่ไม่ต้องถึงขนาดนี้ค่ะ ไม่ต้องปรุงอย่างอื่นแล้วมั้งเนี่ย ใส่แค่น้ำส้มอย่างเดียวมั้งหนิ” เขาก็ยังบ่นไม่หยุด
“ใครบอก! นภาก็ใส่ทุกอย่างแหละ แต่ใส่น้อย ๆ หนักน้ำส้มสายชูอย่างเดียว” เธอก็ยังทำหน้าบึ้งให้เขาไม่เลิก พร้อมอธิบายไปด้วย
“พี่เป็นห่วงสุขภาพน้องค่ะ เพา ๆ ลงบ้าง มันไม่ดีเท่าไหร่หรอกนะคะ เนี่ยแหละพี่ไม่อยากพาน้องมากินก็เพราะแบบนี้” เขาก็ยังบ่นไม่หยุด มือก็ใช้ตะเกียบคีบลูกชิ้นจากชามของตนเอง มาใส่ในชามของเธอ พร้อมหัวไชเท้าด้วย ถึงจะโดนบ่นแต่ก็ยิ้มได้ เพราะได้ลูกชิ้นกับหัวไชเท้าชดเชยแล้ว
แบบนี้เสมอเวลาที่พวกเธอมาทานก๋วยเตี๋ยวกัน “พี่เมธีพอแล้ว เหลือให้ตัวเองกินด้วยลูกชิ้นน่ะ” เธอพูด
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ยังมีอีกชามแหนะ” เขาพูด จากนั้นพวกเธอก็ลงมือทานข้าวกัน เธอก็สูดน้ำมูกไปทานไป ตั้งแต่สวอบน้ำมูกก็ไหลไม่หยุดเลย
ทั้งเสียงรถที่วิ่งผ่าน ทั้งผู้คนเดินผ่านหน้าร้าน ทั้งเสียงพูดคุยของคนในร้าน วุ่นวายกันไปหมด ทว่าก็ไม่สามารถกลบความหวาน ความรัก ความเอาใจใส่กันและกันของพวกเธอได้ พวกเธอไม่แคร์สายตาของคนทั้งโลก พวกเธอแคร์แค่ความรู้สึกของตนเองก็พอ
พอชามแรกของเมธีหมดไป ก็ต่อด้วยชามที่สอง ในขณะที่ชามของเธอยังไม่หมดเลย คนอะไรทานเก่งชะมัด แต่ก็ยังไม่อ้วน
“นภาไม่ได้หยุดเลย นภาอยากไปทะเล ถ้าพี่ออร์ดี้กลับมา พี่เมธีพานภาไปทะเลนะคะ ไปร้านกาแฟริมเลอ่ะ” เธอพูด วางช้อนวางตะเกียบลง เนื่องจากอิ่มแล้ว นั่งคุยเป็นเพื่อนสามีขณะที่ตอนนี้ยังไม่อิ่มเลย