กำจัด
ล. วิลิศมาหรา
ฉันจำเป็นต้องลืม...
ผู้ชายสวมเสื้อกาวน์คนนั่งประจันหน้ากับฉันในตอนนี้ ตอกย้ำความรู้สึกเจ็บปวดของฉัน ด้วยคำพูดซ้ำเดิมของเขา ที่ทุกคำราวกับเป็นน้ำกรดราดรดลงบนก้อนเนื้อใต้หน้าอกข้างซ้าย จนกลายเป็นเศษเนื้อยุ่ย ค่อย ๆ หลุดรุ่งริ่ง ร่วงหายไปทีละน้อย ทุกครั้งที่เขาเอ่ยปาก
“ความจริงคุณโชคดีกว่าผมมาก เพราะคุณได้...ลืม ส่วนผมยังต้องทนทรมานจากความทรงจำระหว่างเราไปอีกนานแสนนาน ตราบเท่าที่ชีวิตของผมยังคงหลงเหลืออยู่”
“ไม่มีใครโชคดีหรอกค่ะ ฉันไม่ถือเอาอาการลบเลือนคนรักออกจากความทรงจำเป็นความโชคดีของตัวเอง”
ฉันย้อนเขาทันควัน ส่งความเจ็บปวดให้เขารับรู้ทางสายตาเจ็บช้ำ น้ำตาเริ่มหล่อจางในเบ้าตา ทำให้ดวงหน้าของผู้ชายคนที่ฉันแสนรักพร่ามัวไป ฉันพูดเรื่องจริง จะมีใครหน้าไหนยินดีกับการลืมความรักครั้งแรก ที่อาจเป็นเพียงแค่ครั้งเดียวของตัวเองกันเล่า นอกจากคนจิตใจวิปลาส
“คุณอาจพูดถูก....”
เขาก้มหน้าหลบตาลงจ้องมองอุปกรณ์แยกเราสองคนให้ออกจากกัน ในมือตัวเอง รู้ว่าเขากำลังพยายามซ่อนความอ่อนแอไว้ภายใต้ท่าทีเข้มแข็งของบุรุษเพศ....ตามแบบฉบับของเขาที่ฉันคุ้นเคยดี ก้มหน้านิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเงยหน้าขึ้นสบตาด้วย ใบหน้าคมเข้มดูหม่นหมองโศกสลด ดวงตาสองข้างแดงก่ำ ท่าทีของเขาเต็มไปด้วยอาการทอดอาลัยในชีวิต ซึ่งคงไม่ต่างกันกับฉัน วินาทีนั้นฉันอยากสลัดเครื่องผูกรัดให้ตัวฉันผูกมัดติดแน่นอยู่กับพนักเก้าอี้ออก แล้ววิ่งหนีไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เพื่อหลบหลีกการถูกลบล้างความทรงจำ...ถ้าเพียงแต่ฉันจะทำได้
“ตอนเราสองคนได้พบกัน ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดีมาก...โชคดีที่สุดในโลก ผมปลื้มใจจนร้องไชโยลั่นบ้าน ที่ได้ตัวคุณมาครอบครอง ผมรู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เมื่อมีคุณ คิดว่าคุณคือของขวัญจากพระเจ้าที่ประทานลงมาเป็นรางวัล”
เขาบอกซ้ำประโยคเดิมที่เคยบอกกับฉันนับครั้งไม่ถ้วน ก่อนทอดถอนหายใจยาว
“โอ้...แต่แท้จริงแล้ว เรื่องของเราไม่มีใครโชคดีอย่างที่คุณว่ามาจริง”
“ฉันรู้ค่ะ เข้าใจดีทุกอย่าง มั่นใจว่าคุณรักฉัน และฉันก็รักคุณไม่แพ้กันเลย บ้านหลังน้อยในเมืองนี้คือวิมานของเรา แต่เสาเอกวิมานเรามันไม่แน่นหนาพอจะต้านทานพายุขนบธรรมเนียมเดิมของเมืองได้ พอโดนพายุใหญ่พัดถล่มใส่ วิมานรักของเราก็พังทลายลง มันถึงคราวอับปางลงแล้วล่ะค่ะ”
“ยกโทษให้ผมด้วยที่ดูแลคุณไม่ดีพอ...”
เขาพึมพำบอก น้ำตาหลั่งรินให้ฉันเห็นเป็นสาย บ่งบอกถึงความเจ็บช้ำข้างในที่แสนสาหัสครั้งหนึ่งในชีวิตของลูกผู้ชาย ฉันเอื้อมมือที่ยังเป็นอิสระไปจับมือเขาบีบเบา ๆ
“ฉันไม่มีโทษยกให้คุณหรอกค่ะ บอกแล้วไงคะว่าฉันเข้าใจคุณดี ฉันไม่เป็นไร ลงมือเถอะค่ะ”
เตือนเขาให้ทำตามหน้าที่ของตัวเอง เหมือนกับทุกครั้งที่ร่วมงานกัน แต่ครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วสำหรับเรา ฉันจะไม่ได้ติดตามเขาไปไหน ๆ ในฐานะเลขาฯ ส่วนตัวคนสนิทอีก หลังถูกลบความทรงจำจนหมดจด หน้าที่ของฉันต่อเขาจะเปลี่ยนไป
มือเขาในอุ้งมือฉันเย็นเฉียบและสั่นระริก แววตาหม่นเศร้าจับจ้องใบหน้าของฉันแน่วนิ่ง เขาคงลำบากใจมากทีเดียวสำหรับการตัดสินใจ แต่ในเมื่อเขาเป็นคนเลือกเอง ก็มีแต่ต้องลงมือให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
“ขอเวลาผมกับมิเกลสักครู่ครับ”
เขาหันไปบอกผู้ช่วยสาวที่ยืนเยื้องไปข้างหลัง หล่อนคนนั้นรับคำ ละมือจากอุปกรณ์ผูกรัดข้อมือเพื่อให้ยึดติดกับเท้าแขนเก้าอี้ แล้วเดินออกประตูห้องไป ปล่อยเราสองคนไว้ในห้องตามลำพัง
ทันทีที่ประตูห้องปิด เขาก็กดสวิทซ์เปิดเครื่องพันธนาการช่วงบนของร่างกายฉัน เราผวาเข้ากอดกันแน่น ความเข้มแข็งทั้งมวลพังทลายลง เขาจูบพรมไปจนทั่วใบหน้าฉัน ก่อนฉันจะซบหน้าลงกับบ่าแข็งแรงของเขา กระซิบถามแผ่วเบาอยู่กับอ้อมอกที่เคยซุกซบให้ความอบอุ่น
“จะเจ็บไหมคะ”
กลัวเจ็บอย่างนั้นหรือ...เปล่าเลย เจ็บตรงไหนของร่างกายก็ไม่เท่าเจ็บช้ำตรงที่หัวใจ น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงเปื้อนแก้ม ฉันใช้ปลายนิ้วเกลี่ยมัน...นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเสียน้ำตาให้กับความรักของเรา
“เจ็บนิดเดียวตรงท้ายทอย ไม่ต้องกลัวนะ ผมจะทำให้เบามือที่สุด”
เขาตั้งใจปลอบประโลมฉัน ให้คลายจากอาการหวาดหวั่น ทว่าปลายเสียงของเขากลับสั่นเครือ อาจเป็นเขาเสียเองที่กำลังหวาดหวั่นกับการลงมือบั่นเส้นทางรักของเรา ด้วยมือของเขาเอง
ฉันเงยหน้าจากบ่าเขา เพ่งมองใบหน้าที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำทั้งยามหลับและยามตื่น ผ่านม่านน้ำตา เลื่อนมามองผ้าพันคอสีหวานที่พันอยู่รอบคอเขา
“ดีใจที่ยังทันได้ถักผ้าพันคอเป็นของขวัญวันเกิดให้คุณจนเสร็จ เข้าหน้าหนาวแล้ว รักษาสุขภาพด้วยนะคะ”
เขาพึมพำรับคำเสียงแห้งในลำคอ ยกผ้าพันคอไหมพรมลายตารางสีขาวสลับชมพูขึ้นมาจูบ
“มันจะไม่อยู่ห่างผมเลยตลอดชีวิตนี้” ฉันมองดูของขวัญชิ้นสวยรอบลำคอของคนที่ฉันรัก แล้วจึงยิ้มให้ทั้งน้ำตา
“ขออะไรเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหมคะ บอกว่ารักฉันให้ฟังอีกครั้งสิคะ”
“ผมรักคุณ มิเกลยอดรัก และจะรักอย่างนี้ตลอดไป ไม่ว่าหลังจากนี้คุณจะเป็นใคร ผมอาจต้องกำจัดความทรงจำของคุณ แต่จะเก็บมันไว้ในใจของผมตลอดไป” เขาบอกทันที น้ำตาของฉันร่วงพรูให้กับคำพูดของชายคนรัก กักเก็บเสียงสะอื้นเอาไว้ในลำคอ กลั้นใจบอกคำพูดสุดท้ายกับเขา
“จัดการกับฉันได้เลยค่ะ บิลลี่ที่รัก”
ทำอย่างไรได้ ในเมื่อกฎหมายของเมืองนี้ไม่อนุญาตให้หุ่นยนต์สมองกล ที่เหมือนมนุษย์ทุกกระเบียดนิ้วอย่างฉัน มารักกันกับมนุษย์ผู้ประดิษฐ์ตัวฉันขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อภรรยาของเขากำลังจะให้กำเนิดบุตร และฉันจะต้องเป็นหุ่นยนต์เลี้ยงเด็กให้กับหล่อน พวกมนุษย์หวาดกลัวเกินกว่าจะยอมให้หุ่นยนต์ที่มีความรักกับพ่อของเด็กเป็นคนเลี้ยงลูกให้ ฉันจึงกลายเป็นตัวอันตรายที่ต้องถูกกำจัด
เมื่อผู้ช่วยของเขาเปิดประตูเข้ามาอีกครั้ง เวลาแห่งความรักของฉันกับเขาก็หมดลง...
หน้าหนาวมาเยือนอีกครั้ง ในบ้านพักหลังเดิม ศาสตราจารย์บิลลี่ ฮอดเด็น ยืนทอดสายตามองไกลออกไปข้างนอกหน้าต่างห้องทำงาน ที่ยังเปิดกว้างอยู่ อย่างไม่สะทกสะท้านกับความหนาวเย็นของอากาศ และละอองหิมะที่เริ่มโปรยปรายลงมาด้านนอก ลมหนาวพัดหอบเอากระไอเยือกเย็นวูบหนึ่ง มาปะทะกับร่างสูงที่ยืนสงบนิ่ง คล้ายตกอยู่ในภวังค์ครุ่นคิด
หน้าหนาวปีนี้เขามีภรรยาและลูกน้อยวัยขวบเศษ...แต่ไม่มีมิเกล
เสียงเคาะประตูดังขึ้น แล้วใครคนหนึ่งก็เปิดประตูห้องทำงานเข้ามา เขาหันไปมอง เห็นมิเกล อดีตหุ่นยนต์อัจฉริยะที่ถูกโปรแกรมขึ้นใหม่ ให้เป็นเพียงหุ่นยนต์รับใช้ภายในบ้าน คอยทำงานบ้านและเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้กับลูกสาวของเขา หล่อนประคองถาดชาเข้ามาวางบนโต๊ะ พลางบอกเขาว่า
“คุณผู้หญิงให้เอาชามาเสิร์ฟให้คุณผู้ชายค่ะ”
บิลลี่พยักหน้ารับรู้ อดเหลือบมองดูใบหน้าเฉยเมยว่างเปล่าของหุ่นยนต์สาวไม่ได้ แววรันทดฉายแวบในหน่วยตาเขา ก่อนจะหันกลับไปทอดสายตามองนอกหน้าต่างใหม่
อากาศหนาวเย็นทำให้ระคายเคืองในลำคอ ชายหนุ่มกระแอม แล้วไอออกมาติด ๆ กัน ฉับพลัน สัมผัสนุ่มของผ้าไหมพรมก็โอบรอบลำคอของเขาแผ่วเบา พร้อมเสียงกระซิบข้างหู
“อย่าลืมสิคะ...เข้าหน้าหนาวแล้ว รักษาสุขภาพด้วยนะคะ”
บิลลี่ยืนนิ่งขึง ตัวเกร็งแข็ง เขาก้มลงมองผ้าพันคอไหมพรมลายตารางสีขาวสลับชมพูบนลำคอตัวเอง ก่อนหันไปจ้องหน้าหุ่นยนต์รับใช้มิเกล ที่กำลังส่งยิ้มให้!!!
จบบริบูรณ์
กำจัด
ล. วิลิศมาหรา
ฉันจำเป็นต้องลืม...
ผู้ชายสวมเสื้อกาวน์คนนั่งประจันหน้ากับฉันในตอนนี้ ตอกย้ำความรู้สึกเจ็บปวดของฉัน ด้วยคำพูดซ้ำเดิมของเขา ที่ทุกคำราวกับเป็นน้ำกรดราดรดลงบนก้อนเนื้อใต้หน้าอกข้างซ้าย จนกลายเป็นเศษเนื้อยุ่ย ค่อย ๆ หลุดรุ่งริ่ง ร่วงหายไปทีละน้อย ทุกครั้งที่เขาเอ่ยปาก
“ความจริงคุณโชคดีกว่าผมมาก เพราะคุณได้...ลืม ส่วนผมยังต้องทนทรมานจากความทรงจำระหว่างเราไปอีกนานแสนนาน ตราบเท่าที่ชีวิตของผมยังคงหลงเหลืออยู่”
“ไม่มีใครโชคดีหรอกค่ะ ฉันไม่ถือเอาอาการลบเลือนคนรักออกจากความทรงจำเป็นความโชคดีของตัวเอง”
ฉันย้อนเขาทันควัน ส่งความเจ็บปวดให้เขารับรู้ทางสายตาเจ็บช้ำ น้ำตาเริ่มหล่อจางในเบ้าตา ทำให้ดวงหน้าของผู้ชายคนที่ฉันแสนรักพร่ามัวไป ฉันพูดเรื่องจริง จะมีใครหน้าไหนยินดีกับการลืมความรักครั้งแรก ที่อาจเป็นเพียงแค่ครั้งเดียวของตัวเองกันเล่า นอกจากคนจิตใจวิปลาส
“คุณอาจพูดถูก....”
เขาก้มหน้าหลบตาลงจ้องมองอุปกรณ์แยกเราสองคนให้ออกจากกัน ในมือตัวเอง รู้ว่าเขากำลังพยายามซ่อนความอ่อนแอไว้ภายใต้ท่าทีเข้มแข็งของบุรุษเพศ....ตามแบบฉบับของเขาที่ฉันคุ้นเคยดี ก้มหน้านิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเงยหน้าขึ้นสบตาด้วย ใบหน้าคมเข้มดูหม่นหมองโศกสลด ดวงตาสองข้างแดงก่ำ ท่าทีของเขาเต็มไปด้วยอาการทอดอาลัยในชีวิต ซึ่งคงไม่ต่างกันกับฉัน วินาทีนั้นฉันอยากสลัดเครื่องผูกรัดให้ตัวฉันผูกมัดติดแน่นอยู่กับพนักเก้าอี้ออก แล้ววิ่งหนีไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เพื่อหลบหลีกการถูกลบล้างความทรงจำ...ถ้าเพียงแต่ฉันจะทำได้
“ตอนเราสองคนได้พบกัน ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดีมาก...โชคดีที่สุดในโลก ผมปลื้มใจจนร้องไชโยลั่นบ้าน ที่ได้ตัวคุณมาครอบครอง ผมรู้สึกเหมือนได้ขึ้นสวรรค์เมื่อมีคุณ คิดว่าคุณคือของขวัญจากพระเจ้าที่ประทานลงมาเป็นรางวัล”
เขาบอกซ้ำประโยคเดิมที่เคยบอกกับฉันนับครั้งไม่ถ้วน ก่อนทอดถอนหายใจยาว
“โอ้...แต่แท้จริงแล้ว เรื่องของเราไม่มีใครโชคดีอย่างที่คุณว่ามาจริง”
“ฉันรู้ค่ะ เข้าใจดีทุกอย่าง มั่นใจว่าคุณรักฉัน และฉันก็รักคุณไม่แพ้กันเลย บ้านหลังน้อยในเมืองนี้คือวิมานของเรา แต่เสาเอกวิมานเรามันไม่แน่นหนาพอจะต้านทานพายุขนบธรรมเนียมเดิมของเมืองได้ พอโดนพายุใหญ่พัดถล่มใส่ วิมานรักของเราก็พังทลายลง มันถึงคราวอับปางลงแล้วล่ะค่ะ”
“ยกโทษให้ผมด้วยที่ดูแลคุณไม่ดีพอ...”
เขาพึมพำบอก น้ำตาหลั่งรินให้ฉันเห็นเป็นสาย บ่งบอกถึงความเจ็บช้ำข้างในที่แสนสาหัสครั้งหนึ่งในชีวิตของลูกผู้ชาย ฉันเอื้อมมือที่ยังเป็นอิสระไปจับมือเขาบีบเบา ๆ
“ฉันไม่มีโทษยกให้คุณหรอกค่ะ บอกแล้วไงคะว่าฉันเข้าใจคุณดี ฉันไม่เป็นไร ลงมือเถอะค่ะ”
เตือนเขาให้ทำตามหน้าที่ของตัวเอง เหมือนกับทุกครั้งที่ร่วมงานกัน แต่ครั้งนี้คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วสำหรับเรา ฉันจะไม่ได้ติดตามเขาไปไหน ๆ ในฐานะเลขาฯ ส่วนตัวคนสนิทอีก หลังถูกลบความทรงจำจนหมดจด หน้าที่ของฉันต่อเขาจะเปลี่ยนไป
มือเขาในอุ้งมือฉันเย็นเฉียบและสั่นระริก แววตาหม่นเศร้าจับจ้องใบหน้าของฉันแน่วนิ่ง เขาคงลำบากใจมากทีเดียวสำหรับการตัดสินใจ แต่ในเมื่อเขาเป็นคนเลือกเอง ก็มีแต่ต้องลงมือให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี
“ขอเวลาผมกับมิเกลสักครู่ครับ”
เขาหันไปบอกผู้ช่วยสาวที่ยืนเยื้องไปข้างหลัง หล่อนคนนั้นรับคำ ละมือจากอุปกรณ์ผูกรัดข้อมือเพื่อให้ยึดติดกับเท้าแขนเก้าอี้ แล้วเดินออกประตูห้องไป ปล่อยเราสองคนไว้ในห้องตามลำพัง
ทันทีที่ประตูห้องปิด เขาก็กดสวิทซ์เปิดเครื่องพันธนาการช่วงบนของร่างกายฉัน เราผวาเข้ากอดกันแน่น ความเข้มแข็งทั้งมวลพังทลายลง เขาจูบพรมไปจนทั่วใบหน้าฉัน ก่อนฉันจะซบหน้าลงกับบ่าแข็งแรงของเขา กระซิบถามแผ่วเบาอยู่กับอ้อมอกที่เคยซุกซบให้ความอบอุ่น
“จะเจ็บไหมคะ”
กลัวเจ็บอย่างนั้นหรือ...เปล่าเลย เจ็บตรงไหนของร่างกายก็ไม่เท่าเจ็บช้ำตรงที่หัวใจ น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงเปื้อนแก้ม ฉันใช้ปลายนิ้วเกลี่ยมัน...นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเสียน้ำตาให้กับความรักของเรา
“เจ็บนิดเดียวตรงท้ายทอย ไม่ต้องกลัวนะ ผมจะทำให้เบามือที่สุด”
เขาตั้งใจปลอบประโลมฉัน ให้คลายจากอาการหวาดหวั่น ทว่าปลายเสียงของเขากลับสั่นเครือ อาจเป็นเขาเสียเองที่กำลังหวาดหวั่นกับการลงมือบั่นเส้นทางรักของเรา ด้วยมือของเขาเอง
ฉันเงยหน้าจากบ่าเขา เพ่งมองใบหน้าที่ตราตรึงอยู่ในความทรงจำทั้งยามหลับและยามตื่น ผ่านม่านน้ำตา เลื่อนมามองผ้าพันคอสีหวานที่พันอยู่รอบคอเขา
“ดีใจที่ยังทันได้ถักผ้าพันคอเป็นของขวัญวันเกิดให้คุณจนเสร็จ เข้าหน้าหนาวแล้ว รักษาสุขภาพด้วยนะคะ”
เขาพึมพำรับคำเสียงแห้งในลำคอ ยกผ้าพันคอไหมพรมลายตารางสีขาวสลับชมพูขึ้นมาจูบ
“มันจะไม่อยู่ห่างผมเลยตลอดชีวิตนี้” ฉันมองดูของขวัญชิ้นสวยรอบลำคอของคนที่ฉันรัก แล้วจึงยิ้มให้ทั้งน้ำตา
“ขออะไรเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหมคะ บอกว่ารักฉันให้ฟังอีกครั้งสิคะ”
“ผมรักคุณ มิเกลยอดรัก และจะรักอย่างนี้ตลอดไป ไม่ว่าหลังจากนี้คุณจะเป็นใคร ผมอาจต้องกำจัดความทรงจำของคุณ แต่จะเก็บมันไว้ในใจของผมตลอดไป” เขาบอกทันที น้ำตาของฉันร่วงพรูให้กับคำพูดของชายคนรัก กักเก็บเสียงสะอื้นเอาไว้ในลำคอ กลั้นใจบอกคำพูดสุดท้ายกับเขา
“จัดการกับฉันได้เลยค่ะ บิลลี่ที่รัก”
ทำอย่างไรได้ ในเมื่อกฎหมายของเมืองนี้ไม่อนุญาตให้หุ่นยนต์สมองกล ที่เหมือนมนุษย์ทุกกระเบียดนิ้วอย่างฉัน มารักกันกับมนุษย์ผู้ประดิษฐ์ตัวฉันขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อภรรยาของเขากำลังจะให้กำเนิดบุตร และฉันจะต้องเป็นหุ่นยนต์เลี้ยงเด็กให้กับหล่อน พวกมนุษย์หวาดกลัวเกินกว่าจะยอมให้หุ่นยนต์ที่มีความรักกับพ่อของเด็กเป็นคนเลี้ยงลูกให้ ฉันจึงกลายเป็นตัวอันตรายที่ต้องถูกกำจัด
เมื่อผู้ช่วยของเขาเปิดประตูเข้ามาอีกครั้ง เวลาแห่งความรักของฉันกับเขาก็หมดลง...
หน้าหนาวมาเยือนอีกครั้ง ในบ้านพักหลังเดิม ศาสตราจารย์บิลลี่ ฮอดเด็น ยืนทอดสายตามองไกลออกไปข้างนอกหน้าต่างห้องทำงาน ที่ยังเปิดกว้างอยู่ อย่างไม่สะทกสะท้านกับความหนาวเย็นของอากาศ และละอองหิมะที่เริ่มโปรยปรายลงมาด้านนอก ลมหนาวพัดหอบเอากระไอเยือกเย็นวูบหนึ่ง มาปะทะกับร่างสูงที่ยืนสงบนิ่ง คล้ายตกอยู่ในภวังค์ครุ่นคิด
หน้าหนาวปีนี้เขามีภรรยาและลูกน้อยวัยขวบเศษ...แต่ไม่มีมิเกล
เสียงเคาะประตูดังขึ้น แล้วใครคนหนึ่งก็เปิดประตูห้องทำงานเข้ามา เขาหันไปมอง เห็นมิเกล อดีตหุ่นยนต์อัจฉริยะที่ถูกโปรแกรมขึ้นใหม่ ให้เป็นเพียงหุ่นยนต์รับใช้ภายในบ้าน คอยทำงานบ้านและเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้กับลูกสาวของเขา หล่อนประคองถาดชาเข้ามาวางบนโต๊ะ พลางบอกเขาว่า
“คุณผู้หญิงให้เอาชามาเสิร์ฟให้คุณผู้ชายค่ะ”
บิลลี่พยักหน้ารับรู้ อดเหลือบมองดูใบหน้าเฉยเมยว่างเปล่าของหุ่นยนต์สาวไม่ได้ แววรันทดฉายแวบในหน่วยตาเขา ก่อนจะหันกลับไปทอดสายตามองนอกหน้าต่างใหม่
อากาศหนาวเย็นทำให้ระคายเคืองในลำคอ ชายหนุ่มกระแอม แล้วไอออกมาติด ๆ กัน ฉับพลัน สัมผัสนุ่มของผ้าไหมพรมก็โอบรอบลำคอของเขาแผ่วเบา พร้อมเสียงกระซิบข้างหู
“อย่าลืมสิคะ...เข้าหน้าหนาวแล้ว รักษาสุขภาพด้วยนะคะ”
บิลลี่ยืนนิ่งขึง ตัวเกร็งแข็ง เขาก้มลงมองผ้าพันคอไหมพรมลายตารางสีขาวสลับชมพูบนลำคอตัวเอง ก่อนหันไปจ้องหน้าหุ่นยนต์รับใช้มิเกล ที่กำลังส่งยิ้มให้!!!