เปิดข้อมูล "โอไมครอน" มีโอกาสสูงแพร่เชื้อทางอากาศมากกว่าการสัมผัส
https://www.tnnthailand.com/news/covid19/98442/
ดร.อนันต์ เปิดข้อมูล โควิดสายพันธุ์โอไมครอน มีโอกาสสูงที่จะแพร่เชื้อทางอากาศมากกว่าการสัมผัส หรือละอองฝอย
วันนี้ (4ธ.ค.64) ดร.
อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และนักไวรัสวิทยา โพสต์เฟซบุ๊ก Anan Jongkaewwattana โดยระบุว่า
รายละเอียดของผู้ป่วยติดเชื้อโอมิครอน 2 รายแรกของฮ่องกง ได้ถูกเผยแพร่โดยทีมวิจัยจาก University of Hong Kong
ผู้ป่วยรายแรก (Case A) เดินทางมาจากประเทศแอฟริกาใต้ ถึงฮ่องกงวันที่ 11 พฤศจิกายน และได้เข้ากักตัวในโรงแรมแห่งหนึ่ง
ผู้ป่วยรายนี้ได้ตรวจ RT-PCR ผลออกมาเป็นลบ 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง และ เป็นผู้ได้รับวัคซีน Pfizer ครบสองเข็มไปตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน ที่ผ่านมา
ผู้ป่วยรายที่สอง (Case B ) เดินทางมาจากประเทศแคนาดา ถึงฮ่องกงก่อนรายแรกคือวันที่ 10 พฤศจิกายน ได้รับการตรวจ RT-PCR ที่ต้นทางเป็นลบ และ รับ Pfizer เข็มสองไปตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม ทั้งคู่ได้กักตัวอยู่ในโรงแรมเดียวกัน โดยห้องอยู่ตรงข้ามกัน
Case A ตรวจพบผล RT-PCR เป็นบวกหลังกักตัวในโรงแรมเพียง 2 วัน โดยปริมาณไวรัสที่ตรวจได้ค่อนข้างสูง คือ Ct = 18 โดยหลังจากนั้นได้ถูกส่งไปที่โรงพยาบาลต่อ แต่ไม่มีรายงานว่าผู้ป่วยรายนี้มีอาการใดๆ ส่วน Case B ตรวจผลออกมาเป็นบวกหลังกักตัวนานถึง 8 วัน แต่เค้าเริ่มมีอาการป่วยเล็กน้อยตั้งแต่วันที่ 7 ของการกักตัว ก่อนส่งไปรักษาตัวต่อในโรงพยาบาล
ทีมวิจัยรายงานว่า การตรวจดูทีวีวงจรปิดตลอดเวลาที่ผู้ป่วยทั้งสองกักตัว ทั้งคู่ไม่เคยออกจากห้องกักตัวและมีปฏิสัมพันธ์ใดๆ ไม่มีการใช้สิ่งของร่วมกัน ตลอดจนไม่มีบุคคลที่สามที่เข้าไปในห้องของแต่ละคน จังหวะเดียวที่แต่ละคนจะเปิดประตูห้องออกมาพร้อมๆ กันคือ เพื่อรับอาหารที่วางไว้หน้าประตูห้องเท่านั้น ซึ่งใช้เวลาสั้นๆ
นอกจากนั้นก็อาจจะเป็นช่วงที่มีคนเข้าไปทำการเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจ RT-PCR ซึ่งทำทุก 3 วัน แต่เนื่องจากทั้งคู่มาพักไม่พร้อมกัน ทำให้การเก็บตัวอย่างดังกล่าวของแต่ละคนไม่ได้ทำวันเดียวกัน การถอดรหัสพันธุกรรมของไวรัสของทั้ง 2 คน ยืนยันว่าเป็นไวรัสโอมิครอน ที่มีรหัสพันธุกรรมเหมือนกันมากๆ แตกต่างกันเพียงแค่ 1 ตำแหน่ง
ซึ่งเชื่อว่าเป็นไวรัสตัวเดียวกัน และ เกิดการแพร่หากันจากการที่อยู่ในห้องพักตรงข้ามกันในช่วงเวลา 2 วันที่ Case A พำนักอยู่ในห้อง และ มีโอกาสสูงที่จะแพร่ทางอากาศมากกว่าการสัมผัส หรือ ละอองฝอย
ถ้าวิเคราะห์ตามข้อมูลนี้ Case B อาจจะสัมผัสเชื้อครั้งแรกวันที่ 11 และ เริ่มมีอาการป่วยวันที่ 17 ทำให้อนุมานคร่าวๆได้ว่า ระยะฟักตัวของโอมิครอนคงใช้เวลาประมาณ 6 วัน หรือ น้อยกว่านั้นขึ้นอยู่กับว่าการสัมผัสเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ปริมาณไวรัสในตัวอย่างของทั้งสองคนมีปริมาณที่สูงทั้งคู่ ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะมีภูมิจากวัคซีน Pfizer มาแล้ว 2 เข็ม
แต่เนื่องจากได้รับวัคซีนมาแล้วประมาณ 5 เดือน ซึ่งอาจจะอนุมานได้ว่าระดับภูมิคุ้มกันที่เหลืออยู่คงไม่พอที่จะป้องกันโอมิครอนได้ หรือ โอมิครอนต้องการระดับภูมิคุ้มกันสูงกว่านั้นมาก
แต่ประเด็นที่สำคัญคือ ทั้งคู่อาการไม่หนักซึ่งอาจจะเป็นผลจากภูมิจากวัคซีนที่ยังช่วยได้ ทั้งนี้ข้อมูลยังมาจากแค่ 2 เคส คงต้องมีตัวอย่างมาเพิ่มกว่านี้ก่อนที่จะสรุปตัวเลขต่างๆอย่างเป็นทางการได้
ที่มา
https://wwwnc.cdc.gov/eid/article/28/2/21-2422_article
https://www.facebook.com/anan.jongkaewwattana/posts/5052703994769482
สธ.ยอมรับ! 5 ธ.ค.ฉีดวัคซีนโควิดไม่ถึง 100 ล้านโดสตามเป้า ยันไม่ได้บังคับฉีด
https://www.khaosod.co.th/covid-19/news_6766579
สธ.ยอมรับ! 5 ธ.ค.ฉีดวัคซีนโควิดไม่ถึง 100 ล้านโดสตามเป้า ยันไม่ได้บังคับฉีด เป็นความสมัครใจ จ่อทำความเข้าใจกลุ่มเรียกร้องสิทธิ
เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.64 นพ.
เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ครบ 100 ล้านโดสภายในวันที่ 5 ธ.ค.นี้ว่า ขณะนี้ยอดฉีดวัคซีนโควิดของไทยสะสมที่ 94 ล้านโดส คาดว่าวันพรุ่งนี้ (5 ธ.ค.) จะถึง 95 ล้านโดส แม้จะไม่ถึงเป้าหมาย แต่ก็ถือว่าเป็นจำนวนที่สูงมาก
เมื่อถามถึงการนัดรวมตัวเรียกร้องสิทธิกรณีบังคับฉีดวัคซีน นพ.
เกียรติภูมิ กล่าวว่า ตนทราบแล้ว จะต้องเข้าไปสร้างความเข้าใจ ยืนยันว่าการฉีดวัคซีนไม่ได้บังคับ เป็นความสมัครใจ แต่ขอให้ทุกคนเข้ามารับเพื่อสร้างความปลอดภัยให้ตัวเองและคนรอบข้าง ทั้งนี้ ประเทศไทยมีวัคซีนหลายแพลตฟอร์ม ดังนั้นการฉีดวัคซีนในแต่ละหน่วยบริการสามารถเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนเลือกรับวัคซีนได้ตามความเหมาะสมของวัคซีนที่มี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อมูลฉีดวัคซีนล่าสุดวันที่ 3 ธ.ค.64 เพิ่มขึ้น 250,909 โดส สะสม 94,531,157 โดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 จำนวน 48.8 ล้านโดส คิดเป็น 67.8% ของจำนวนประชากร เข็มที่ 2 จำนวน 42.08 ล้านโดส คิดเป็น 58.4% ของจำนวนประชากร และ เข็มที่ 3 อีก 3.6 ล้านโดส คิดเป็น 5% ของจำนวนประชากร
หม่อมโจ้ ลั่น ‘มันเหมือนสงครามโลก’ นำม็อบแสดงพลัง ‘ไม่เอาวัคซีนโควิด’ หน้าสถานทูตออสเตรเลีย
https://www.matichon.co.th/politics/news_3072495
หม่อมโจ้ ลั่น ‘มันเหมือนสงครามโลก’ นำม็อบแสดงพลัง ‘ไม่เอาวัคซีนโควิด’ หน้าสถานทูตออสเตรเลีย
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม สืบเนื่อง
ม.ล.รุ่งคุณ กิติยากร หรือ
หม่อมโจ้ บุตรชายของ “
อาภัสรา หงสกุล” นางงามจักรวาลคนแรกของไทย พร้อมด้วยประชาชนกว่า 100 คน รวมตัวชูป้ายภาพข่าวและข้อความ ที่หน้าสีลมคอมเพล็กซ์ ก่อนเดินขบวนไปปราศรัยหน้าทางเข้าสวนลุมพินี เพื่อคัดค้านการบังคับฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยเริ่มกิจกรรมตั้งแต่เวลาประมาณ 12.50 น. นั้น
ต่อมา เวลา 16.37 น. ภายหลังผู้ร่วมกิจกรรมสลับขึ้นกล่าวปราศรัยถึงอันตรายของการฉีดวัคซีน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า
ม.ล.รุ่งคุณ กล่าวว่า เราจะไปสถานทูตออสเตรเลียฯ ต่อ เนื่องจากเป็นประเทศที่โดนหนักในเรื่องบีบบังคับ คนที่ไม่รับ (วัคซีน) ตอนนี้ ก็กลายเป็นเหมือนอาชญากร ถูกปฏิบัติอย่างอาชญากร นอกจากออสเตรเลีย ยังเกิดขึ้นหลายประเทศทั่วโลก ที่บังคับทางกฎหมาย ล่าสุด ประธานสหภาพยุโรปก็ออกมาบอกว่า สนับสนุนให้สหภาพยุโรปบังคับฉีดวัคซีน ซึ่งมีกว่า 50 ล้านคนที่ไม่ยอมฉีด
“มันเหมือน ‘สงครามโลก’ ที่เป็นแค่กลุ่มข้างบน ไม่ได้สู้ระหว่างประเทศ แต่สู้ระหว่างคนข้างบนกับคนทั่วไป ที่เอา (เชื้อ) ออกมาปล่อยพร้อมๆ กัน เราจึงจัดกิจกรรมวันนี้และที่ต้องดำเนินต่อไปคือ มาตรการเหล่านี้ ถ้าหากเราไม่ลุกขึ้นมายืนหยัดว่า ‘เรามีสิทธิในร่างกายตัวเอง’ ถ้าเราไม่ลุกขึ้นมา เราเงียบอยู่เฉยๆ เราจะโดน ต้องมีมากกว่านั้นเพื่อเป็นการแสดงออกว่า เราถูกลิดรอน มีคนที่รู้สิ่งที่เกิดขึ้นและไม่ยอมอีกต่อไป” ม.ล.รุ่งคุณกล่าว
โดยก่อนเดินเท้าไปยังสถานทูตออสเตรเลีย
ม.ล.รุ่งคุณกล่าวอีกด้วยว่า เราแค่ออกไปแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับชาวโลก เพราะไม่ใช่แค่เราประเทศเดียว แต่ยังมีเพื่อนประเทศอื่นอีกทั่วโลก
จากนั้น
ม.ล.รุ่งคุณ นำขบวนเดินชูป้ายภาพข่าว โดยข้ามถนนจากหน้าสวนลุมพินี ไปฝั่งถนนวิทยุ ก่อนมุ่งหน้าไปยังสถานทูตออสเตรเลีย โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินี คอยดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกตลอดการชุมนุม
กระทั่ง เวลา 16.48 น. ขบวนเดินเท้าถึงหน้า สถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย ถนนวิทยุ เขตปทุมวัน ผู้ร่วมกิจกรรมได้รวมกลุ่มหน้าป้ายสถานทูตออสเตรเลีย ก่อนชูป้ายข้อความและร่วมบันทึกภาพ เพื่อแสดงพลังเชิงสัญลักษณ์
จากนั้น นักกิจกรรมชาย 2 ราย เดินไปยืนชูแผ่นกระดาษที่มีภาพใบหน้าบุคคล และข้อความว่า “
Wanted Crime against Humanity” ต่อหน้าเจ้าหน้าที่สถานทูตเพื่อคัดค้านการฉีดวัดซีน ก่อนแยกย้ายเดินทางกลับ ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นวันที่สถานทูตปิดทำการ
JJNY : "โอไมครอน"มีโอกาสสูงแพร่เชื้อทางอากาศ│สธ.รับ!5ธ.ค.ฉีดไม่ถึง100ล.โดส│หม่อมโจ้นำม็อบ ไม่เอาวัคซีน│หมูแพง-ไก่ถูก
https://www.tnnthailand.com/news/covid19/98442/
ดร.อนันต์ เปิดข้อมูล โควิดสายพันธุ์โอไมครอน มีโอกาสสูงที่จะแพร่เชื้อทางอากาศมากกว่าการสัมผัส หรือละอองฝอย
วันนี้ (4ธ.ค.64) ดร.อนันต์ จงแก้ววัฒนา ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยนวัตกรรมสุขภาพสัตว์และการจัดการ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (ไบโอเทค) และนักไวรัสวิทยา โพสต์เฟซบุ๊ก Anan Jongkaewwattana โดยระบุว่า
รายละเอียดของผู้ป่วยติดเชื้อโอมิครอน 2 รายแรกของฮ่องกง ได้ถูกเผยแพร่โดยทีมวิจัยจาก University of Hong Kong
ผู้ป่วยรายแรก (Case A) เดินทางมาจากประเทศแอฟริกาใต้ ถึงฮ่องกงวันที่ 11 พฤศจิกายน และได้เข้ากักตัวในโรงแรมแห่งหนึ่ง
ผู้ป่วยรายนี้ได้ตรวจ RT-PCR ผลออกมาเป็นลบ 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง และ เป็นผู้ได้รับวัคซีน Pfizer ครบสองเข็มไปตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน ที่ผ่านมา
ผู้ป่วยรายที่สอง (Case B ) เดินทางมาจากประเทศแคนาดา ถึงฮ่องกงก่อนรายแรกคือวันที่ 10 พฤศจิกายน ได้รับการตรวจ RT-PCR ที่ต้นทางเป็นลบ และ รับ Pfizer เข็มสองไปตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม ทั้งคู่ได้กักตัวอยู่ในโรงแรมเดียวกัน โดยห้องอยู่ตรงข้ามกัน
Case A ตรวจพบผล RT-PCR เป็นบวกหลังกักตัวในโรงแรมเพียง 2 วัน โดยปริมาณไวรัสที่ตรวจได้ค่อนข้างสูง คือ Ct = 18 โดยหลังจากนั้นได้ถูกส่งไปที่โรงพยาบาลต่อ แต่ไม่มีรายงานว่าผู้ป่วยรายนี้มีอาการใดๆ ส่วน Case B ตรวจผลออกมาเป็นบวกหลังกักตัวนานถึง 8 วัน แต่เค้าเริ่มมีอาการป่วยเล็กน้อยตั้งแต่วันที่ 7 ของการกักตัว ก่อนส่งไปรักษาตัวต่อในโรงพยาบาล
ทีมวิจัยรายงานว่า การตรวจดูทีวีวงจรปิดตลอดเวลาที่ผู้ป่วยทั้งสองกักตัว ทั้งคู่ไม่เคยออกจากห้องกักตัวและมีปฏิสัมพันธ์ใดๆ ไม่มีการใช้สิ่งของร่วมกัน ตลอดจนไม่มีบุคคลที่สามที่เข้าไปในห้องของแต่ละคน จังหวะเดียวที่แต่ละคนจะเปิดประตูห้องออกมาพร้อมๆ กันคือ เพื่อรับอาหารที่วางไว้หน้าประตูห้องเท่านั้น ซึ่งใช้เวลาสั้นๆ
นอกจากนั้นก็อาจจะเป็นช่วงที่มีคนเข้าไปทำการเก็บตัวอย่างเพื่อตรวจ RT-PCR ซึ่งทำทุก 3 วัน แต่เนื่องจากทั้งคู่มาพักไม่พร้อมกัน ทำให้การเก็บตัวอย่างดังกล่าวของแต่ละคนไม่ได้ทำวันเดียวกัน การถอดรหัสพันธุกรรมของไวรัสของทั้ง 2 คน ยืนยันว่าเป็นไวรัสโอมิครอน ที่มีรหัสพันธุกรรมเหมือนกันมากๆ แตกต่างกันเพียงแค่ 1 ตำแหน่ง
ซึ่งเชื่อว่าเป็นไวรัสตัวเดียวกัน และ เกิดการแพร่หากันจากการที่อยู่ในห้องพักตรงข้ามกันในช่วงเวลา 2 วันที่ Case A พำนักอยู่ในห้อง และ มีโอกาสสูงที่จะแพร่ทางอากาศมากกว่าการสัมผัส หรือ ละอองฝอย
ถ้าวิเคราะห์ตามข้อมูลนี้ Case B อาจจะสัมผัสเชื้อครั้งแรกวันที่ 11 และ เริ่มมีอาการป่วยวันที่ 17 ทำให้อนุมานคร่าวๆได้ว่า ระยะฟักตัวของโอมิครอนคงใช้เวลาประมาณ 6 วัน หรือ น้อยกว่านั้นขึ้นอยู่กับว่าการสัมผัสเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ปริมาณไวรัสในตัวอย่างของทั้งสองคนมีปริมาณที่สูงทั้งคู่ ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะมีภูมิจากวัคซีน Pfizer มาแล้ว 2 เข็ม
แต่เนื่องจากได้รับวัคซีนมาแล้วประมาณ 5 เดือน ซึ่งอาจจะอนุมานได้ว่าระดับภูมิคุ้มกันที่เหลืออยู่คงไม่พอที่จะป้องกันโอมิครอนได้ หรือ โอมิครอนต้องการระดับภูมิคุ้มกันสูงกว่านั้นมาก
แต่ประเด็นที่สำคัญคือ ทั้งคู่อาการไม่หนักซึ่งอาจจะเป็นผลจากภูมิจากวัคซีนที่ยังช่วยได้ ทั้งนี้ข้อมูลยังมาจากแค่ 2 เคส คงต้องมีตัวอย่างมาเพิ่มกว่านี้ก่อนที่จะสรุปตัวเลขต่างๆอย่างเป็นทางการได้
ที่มา
https://wwwnc.cdc.gov/eid/article/28/2/21-2422_article
https://www.facebook.com/anan.jongkaewwattana/posts/5052703994769482
สธ.ยอมรับ! 5 ธ.ค.ฉีดวัคซีนโควิดไม่ถึง 100 ล้านโดสตามเป้า ยันไม่ได้บังคับฉีด
https://www.khaosod.co.th/covid-19/news_6766579
สธ.ยอมรับ! 5 ธ.ค.ฉีดวัคซีนโควิดไม่ถึง 100 ล้านโดสตามเป้า ยันไม่ได้บังคับฉีด เป็นความสมัครใจ จ่อทำความเข้าใจกลุ่มเรียกร้องสิทธิ
เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.64 นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้ครบ 100 ล้านโดสภายในวันที่ 5 ธ.ค.นี้ว่า ขณะนี้ยอดฉีดวัคซีนโควิดของไทยสะสมที่ 94 ล้านโดส คาดว่าวันพรุ่งนี้ (5 ธ.ค.) จะถึง 95 ล้านโดส แม้จะไม่ถึงเป้าหมาย แต่ก็ถือว่าเป็นจำนวนที่สูงมาก
เมื่อถามถึงการนัดรวมตัวเรียกร้องสิทธิกรณีบังคับฉีดวัคซีน นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า ตนทราบแล้ว จะต้องเข้าไปสร้างความเข้าใจ ยืนยันว่าการฉีดวัคซีนไม่ได้บังคับ เป็นความสมัครใจ แต่ขอให้ทุกคนเข้ามารับเพื่อสร้างความปลอดภัยให้ตัวเองและคนรอบข้าง ทั้งนี้ ประเทศไทยมีวัคซีนหลายแพลตฟอร์ม ดังนั้นการฉีดวัคซีนในแต่ละหน่วยบริการสามารถเพิ่มทางเลือกให้ประชาชนเลือกรับวัคซีนได้ตามความเหมาะสมของวัคซีนที่มี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ข้อมูลฉีดวัคซีนล่าสุดวันที่ 3 ธ.ค.64 เพิ่มขึ้น 250,909 โดส สะสม 94,531,157 โดส แบ่งเป็นเข็มที่ 1 จำนวน 48.8 ล้านโดส คิดเป็น 67.8% ของจำนวนประชากร เข็มที่ 2 จำนวน 42.08 ล้านโดส คิดเป็น 58.4% ของจำนวนประชากร และ เข็มที่ 3 อีก 3.6 ล้านโดส คิดเป็น 5% ของจำนวนประชากร
หม่อมโจ้ ลั่น ‘มันเหมือนสงครามโลก’ นำม็อบแสดงพลัง ‘ไม่เอาวัคซีนโควิด’ หน้าสถานทูตออสเตรเลีย
https://www.matichon.co.th/politics/news_3072495
หม่อมโจ้ ลั่น ‘มันเหมือนสงครามโลก’ นำม็อบแสดงพลัง ‘ไม่เอาวัคซีนโควิด’ หน้าสถานทูตออสเตรเลีย
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม สืบเนื่อง ม.ล.รุ่งคุณ กิติยากร หรือ หม่อมโจ้ บุตรชายของ “อาภัสรา หงสกุล” นางงามจักรวาลคนแรกของไทย พร้อมด้วยประชาชนกว่า 100 คน รวมตัวชูป้ายภาพข่าวและข้อความ ที่หน้าสีลมคอมเพล็กซ์ ก่อนเดินขบวนไปปราศรัยหน้าทางเข้าสวนลุมพินี เพื่อคัดค้านการบังคับฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 โดยเริ่มกิจกรรมตั้งแต่เวลาประมาณ 12.50 น. นั้น
ต่อมา เวลา 16.37 น. ภายหลังผู้ร่วมกิจกรรมสลับขึ้นกล่าวปราศรัยถึงอันตรายของการฉีดวัคซีน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ม.ล.รุ่งคุณ กล่าวว่า เราจะไปสถานทูตออสเตรเลียฯ ต่อ เนื่องจากเป็นประเทศที่โดนหนักในเรื่องบีบบังคับ คนที่ไม่รับ (วัคซีน) ตอนนี้ ก็กลายเป็นเหมือนอาชญากร ถูกปฏิบัติอย่างอาชญากร นอกจากออสเตรเลีย ยังเกิดขึ้นหลายประเทศทั่วโลก ที่บังคับทางกฎหมาย ล่าสุด ประธานสหภาพยุโรปก็ออกมาบอกว่า สนับสนุนให้สหภาพยุโรปบังคับฉีดวัคซีน ซึ่งมีกว่า 50 ล้านคนที่ไม่ยอมฉีด
“มันเหมือน ‘สงครามโลก’ ที่เป็นแค่กลุ่มข้างบน ไม่ได้สู้ระหว่างประเทศ แต่สู้ระหว่างคนข้างบนกับคนทั่วไป ที่เอา (เชื้อ) ออกมาปล่อยพร้อมๆ กัน เราจึงจัดกิจกรรมวันนี้และที่ต้องดำเนินต่อไปคือ มาตรการเหล่านี้ ถ้าหากเราไม่ลุกขึ้นมายืนหยัดว่า ‘เรามีสิทธิในร่างกายตัวเอง’ ถ้าเราไม่ลุกขึ้นมา เราเงียบอยู่เฉยๆ เราจะโดน ต้องมีมากกว่านั้นเพื่อเป็นการแสดงออกว่า เราถูกลิดรอน มีคนที่รู้สิ่งที่เกิดขึ้นและไม่ยอมอีกต่อไป” ม.ล.รุ่งคุณกล่าว
โดยก่อนเดินเท้าไปยังสถานทูตออสเตรเลีย ม.ล.รุ่งคุณกล่าวอีกด้วยว่า เราแค่ออกไปแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับชาวโลก เพราะไม่ใช่แค่เราประเทศเดียว แต่ยังมีเพื่อนประเทศอื่นอีกทั่วโลก
จากนั้น ม.ล.รุ่งคุณ นำขบวนเดินชูป้ายภาพข่าว โดยข้ามถนนจากหน้าสวนลุมพินี ไปฝั่งถนนวิทยุ ก่อนมุ่งหน้าไปยังสถานทูตออสเตรเลีย โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ลุมพินี คอยดูแลความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกตลอดการชุมนุม
กระทั่ง เวลา 16.48 น. ขบวนเดินเท้าถึงหน้า สถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย ถนนวิทยุ เขตปทุมวัน ผู้ร่วมกิจกรรมได้รวมกลุ่มหน้าป้ายสถานทูตออสเตรเลีย ก่อนชูป้ายข้อความและร่วมบันทึกภาพ เพื่อแสดงพลังเชิงสัญลักษณ์
จากนั้น นักกิจกรรมชาย 2 ราย เดินไปยืนชูแผ่นกระดาษที่มีภาพใบหน้าบุคคล และข้อความว่า “Wanted Crime against Humanity” ต่อหน้าเจ้าหน้าที่สถานทูตเพื่อคัดค้านการฉีดวัดซีน ก่อนแยกย้ายเดินทางกลับ ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นวันที่สถานทูตปิดทำการ