JJNY : มาเลเซียเจอผู้ติดโอไมครอนรายแรก│สตาร์ทอัพไทยน้อยกว่าเพื่อนบ้าน│แม่เผยลูกเครียดตกงาน บุกปล้นธ.│สวิสสั่งกัก2พันคน

“มาเลเซีย” เจอแล้ว! ผู้ติดเชื้อโควิด-19 “โอไมครอน” รายแรกของประเทศ
https://www.pptvhd36.com/news/ต่างประเทศ/161804
  
 
 มาเลเซียตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 โอไมครอน รายแรกของประเทศ พบในนักเรียนต่างชาติที่เดินทางมาจากแอฟริกาใต้เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน
 
วันนี้ (3 ธ.ค.) กระทรวงสาธารณสุขมาเลเซีย รายงานว่า มาเลเซียตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่โอไมครอนรายแรกของประเทศแล้ว โดยพบในนักศึกษาต่างชาติขณะกำลังกักตัว หลังจากเดินทางมาจากแอฟริกาใต้เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน
 
ไครี จามาลุดดิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขมาเลเซีย กล่าวว่า เจ้าหน้าที่สาธารณสุขมาเลเซียได้ทดสอบตัวอย่างเชื้อของนักศึกษารายดังกล่าวอีกครั้ง หลังจากที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศว่า โอไมครอนเป็นสายพันธุ์ที่ต้องกังวล (VOC) เมื่อวันที่ 24 พ.ย.
 
สำหรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 โอไมครอนรายแรกของอินโดนีเซียนี้ เป็นนักศึกษาหญิงอายุ 19 ปี ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 แล้ว ไม่แสดงอาการใดเลย เธอมีผลตรวจโควิด-19 เป็นบวกเมื่อเดินทางมาถึงมาเลเซีย ผ่านทางสิงคโปร์ และถูกกักตัวเป็นเวลา 10 วันก่อนได้รับการปล่อยตัวในวันที่ 29 พ.ย. ที่ผ่านมา
 
ส่วนผู้ที่ใกล้ชิดกับเธออีก 5 คนที่แชร์รถกับเธอ ทุกคนมีผลตรวจออกมาเป็นลบ
 
“สิ่งสำคัญคือ เคสนี้มาถึงมาเลเซียเมื่อวันที่ 19 พ.ย. ก่อนที่แอฟริกาใต้จะรายงานเรื่องของโอไมครอนต่อองค์การอนามัยโลกเสียอีก ... จนหลังจากที่เราทราบข่าวเกี่ยวกับโอไมครอน เราจึงกลับไปทำการทดสอบตัวอย่างจากผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทุกรายที่มาถึงสนามบินนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ระหว่างวันที่ 11-28 พ.ย. นั่นคือวิธีที่เราเจอผู้ติดเชื้อรายนี้” จามาลุดดินกล่าว
 
ในสัปดาห์นี้ มาเลเซียสั่งห้ามการเดินทางเข้าประเทศชั่วคราวจาก 8 ประเทศในแอฟริกาตอนใต้ที่รายงานว่าพบเชื้อดังกล่าวหรือถือว่าเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง
  

 
สตาร์ทอัพไทยน้อยกว่าเพื่อนบ้าน ดาวรุ่งย้ายไปจดทะเบียนต่างชาติ
https://www.prachachat.net/breaking-news/news-814425
 
สภาดิจิทัลฯ เผย สตาร์ตอัพไทยน้อยกว่าเพื่อนบ้าน ส่วนที่กำลังโตย้ายไปจดทะเบียนต่างชาติ 80% ถูกเสนอเงื่อนไขให้ไปจดทะเบียนที่สิงคโปร์ 
 
วันที่ 3 ธันวาคม 2564 เวลา 09.30 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล มีการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ครั้งที่ 5/2564 ซึ่งทางสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทยรายงานว่า เมื่อเปรียบเทียบ 6 ประเทศในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย ในปี 2558 และ 2563
 
พบว่า ไทยมีการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยีจากต่างประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2558 เพิ่มขึ้น 14% แต่ปี 2563 เพิ่มขึ้นเพียง 5%

ขณะที่อินโดนีเซียมีอัตราการขยายตัวอย่างเห็นได้ชัด โดยปี 2558 เพิ่มขึ้น 36% และปี 2563 เพิ่มขึ้น 70% ส่วนสิงคโปร์ ปี 2558 เพิ่มขึ้น 33% และ ปี 2563 เพิ่มขึ้น 14%
 
นอกจากนี้ยังระบุว่า มีสตาร์ทอัพไทยประมาณ 1,000 ราย ซึ่งน้อยกว่าเพื่อนบ้าน โดยข้อมูลจากสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์ประเมินไว้ที่ 170 ราย ในขณะที่สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติประเมินไว้ที่ 1,538 ราย
 
ส่วนสิงคโปร์มีสตาร์ทอัพประมาณ 55,000 ราย ตามการประเมินของคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจ (EDB) ของสิงคโปร์
 
สภาดิจิทัลฯยังรายงานด้วยว่า สตาร์ทอัพไทยที่กำลังโตย้ายไปจดทะเบียนต่างชาติ โดย 80% ของสตาร์ทอัพไทยที่ “พร้อมโต” ถูกเสนอเงื่อนไขให้ไปจดทะเบียนที่สิงคโปร์
 
ทางสภาดิจิทัลฯเสนอว่า สิ่งที่จะทำให้ไทยมีการลงทุนเพิ่มและสตาร์ทอัพย้ายกลับไทย มากสุด 70% คือ กฎระเบียบต่าง ๆ เช่น การยกเว้นภาษีลงทุนในสตาร์ทอัพ รองลงมา 25% คือทักษะด้านดิจิทัล และ 5% คือ อื่น ๆ
 
นอกจากนี้ยังรายงานอัตราภาษีลงทุนในสตาร์ทอัพ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญ โดยเปรียบเทียบของไทยกับอีก 5 ประเทศ และอีก 1 เขตปกครองพิเศษ ได้แก่ สิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
 
โดยไทยคิดอัตราภาษีสำหรับบุคคลธรรมดา 0-35% และนิติบุคคล 15% ขณะที่ สิงคโปร์ ฮ่องกง และมาเลเซีย ไม่คิดอัตราภาษีสำหรับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ส่วนอินโดนีเซียคิดอัตราภาษีสำหรับบุคคลธรรมดา 5% นิติบุคคล 5% ฟิลิปปินส์คิดอัตราภาษีสำหรับบุคลธรรมดา 15% นิติบุคคล 5% และ เวียดนามคิดอัตราภาษีเท่ากันทั้งสองกลุ่มที่ 20%
  
ทั้งนี้ ปี 2569 ไทยตั้งเป้าเพิ่มสตาร์ทอัพจาก 1,000 ราย เป็น 10,000 ราย ซึ่งจะเกิดการจ้างงานเพิ่มจาก 40,000 ราย เป็น 400,000 ราย
 


แม่เผยปมก่อเหตุ ลูกเครียดตกงาน บุกเดี่ยวปล้นธนาคาร เจอ รปภ.ใจเด็ด ดวลมีดแทงดับ
https://ch3plus.com/news/category/268401
 
โจรบุกเดี่ยวจี้ชิงเงินธนาคาร แต่เจอ รปภ.ใจเด็ด เข้าขวางทั้งๆ ที่ถูกแทงบาดเจ็บ สุดท้ายเกิดการต่อสู้กัน โจรถูก รปภ.แทงสวนเสียชีวิต แม่เผยลูกชายก่อเหตุเพราะเครียดตกงาน
 
เหตุเกิดช่วงบ่าย 2 วานนี้ เหตุการณ์จากกล้องวงจรปิด จะเห็นคนร้ายเข้ามาที่ธนาคารออมสิน สาขาทียูโดม รังสิต ถ.เชียงราก-บางขัน ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ก่อนจะควักอาวุธมีดออกมาจากกระเป๋า แล้วเดินเข้าไปล็อคคอ รปภ.จากด้านหลัง แทงเข้าไปที่ลำคอ จากนั้นมีการกอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน และจ้วงแทง รปภ.อีกครั้ง จนต้องถอยหนี
 
จากนั้นคนร้ายเข้าไปจี้ชิงเงินธนาคาร ได้เงินสดไป 1 แสนกว่าบาท ขณะที่ด้านหน้าธนาคาร รปภ.ดักรออยู่ด้านหน้า โดยตัว รปภ.ก็มีมีด มีการชักมีดพับออกมาจากในกระเป๋ากางเกง และเข้าไปหยิบเก้าอี้ในธนาคาร รอฟาดใส่คนร้าย ทำให้คนร้ายลื่นเสียหลัก เงินจำนวนหนึ่งตกอยู่บนพื้น แล้วรีบวิ่งหนีออกไปด้านนอก
 
ขณะที่พลเมืองดีที่เห็นเหตุการณ์ได้ถ่ายคลิปด้านนอกริมถนน คนร้ายวิ่งหนีออกมาขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ริมถนน ส่วน รปภ.ใจเด็ด แข็งใจวิ่งไล่ตามคนร้ายในสภาพเลือดท่วม ก่อนที่พลเมืองเข้ามาช่วยกันล็อกตัวไว้กับพื้น สุดท้ายคนร้ายเสียชีวิต
 
ทราบชื่อต่อมาคือ นายปิยะพงษ์ อ่ำอ่อน อายุ 28 ปี ถูกแทงที่หน้าอกขวา 1 แผล ต้นแขนขวา 1 แผล และหัวไหล่ขวา 1 แผล
 
หลังเกิดเหตุตำรวจ สภ.คลองหลวง ตรวจสอบภายในธนาคาร พบรอยเลือดเป็นทางยาว ตั้งแต่หน้าเคาน์เตอร์จนถึงริมถนน ที่ริมถนนเชียงราก พบมีดปลายแหลมยาวเปื้อนเลือด ยาวประมาณ 20 เซนติเมตร ตกอยู่ 1 เล่ม
 
ส่วนผู้บาดเจ็บ ชื่อนายขุนทอง เป็น รปภ.ของธนาคาร ถูกแทงด้วยของมีคมเข้าที่หน้าอก และคอ อาการสาหัส ถูกนำตัวส่ง รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ
 
ต่อมาตำรวจได้เชิญแม่และภรรยาของผู้เสียชีวิต มาสอบปากคำเพื่อหาแรงจูงใจในการก่อเหตุ โดยแม่เปิดเผยว่า ที่บ้านอยู่ด้วยกันทั้งหมด 5 คน มีพ่อแม่ ลูกสะใภ้ ลูกชายและหลาน ที่ลูกชายไปก่อเหตุ น่าจะเกิดจากความเครียด เพราะต้องดูแลภรรยาและลูกน้อยวัย 1 ขวบ 6 เดือน ต้องการใช้เงิน และยังหาสมัครงานอยุ่ในขณะนี้
 
โดยก่อนหน้านี้ประมาณ 2 อาทิตย์ ลูกชายได้เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาล หลังมีอาการปอดอักเสบติดเชื้อ และเคยบ่นให้แม่ฟังว่าเครียด กลัวตนเองจะเสียชีวิต และวานนี้เพิ่งไปหาหมอเพื่อเอกซเรย์ปอดมา ช่วงเช้าก่อนเกิดเหตุ ตนเองและสามีออกไปทำงานตั้งแต่ตี 5 มารู้อีกทีก็ตอนเกิดเรื่องแล้ว ลูกสะใภ้โทรแจ้ง
 
ขณะที่ภรรยาผู้ตาย กล่าวว่า รถที่ใช้ก่อเหตุเป็นชื่อของตนเอง ซึ่งสามีพบกันครั้งสุดท้ายช่วงเที่ยงและบอกว่าจะออกไปสมัครงานที่ย่านคลองสาม  อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี และมาทราบอีกทีก็ตอนเกิดเหตุแล้ว
 
ด้านพันตำรวจโทสุชัย แสงส่อง รองผู้กำกับการสอบสวน สภ.คลองหลวง (รักษาการแทนผกก.สภ.คลองหลวง) กล่าวว่า ในทางสอบสวนได้มีการรับการร้องทุกข์เป็นคดีอาญาที่คนร้ายได้ก่อเหตุในครั้งนี้ แล้วทางเจ้าหน้าที่กำลังรวบรวมพยานหลักฐาน และรอฟังข้อมูลและการชี้แจ้งต่างๆ จากชุดสืบสวน
โดยส่วนอาการล่าสุดของนายขุนทอง เจ้าหน้าที่ รปภ. ตอนนี้อาการปลอดภัยแล้ว ทางผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี จะเดินทางเข้าเยี่ยมอาการที่ รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ ส่วนเรื่องทางคดี ตำรวจได้ดำเนินคดีชิงทรัพย์กับคนร้าย แต่ทางผู้ก่อเหตุเสียชีวิต ก็จะทำสำนวนเป็นการสั่งไม่ฟ้อง ส่วนเงินที่คนร้ายได้ไปทั้งหมดจำนวน 143,000 บาท ทางธนาคารได้คืนเกือบหมดแล้ว เหลือติดตัวคนร้ายอีกประมาณ 1,000 กว่าบาท ก็จะได้ส่งตรวจและนำคืนทางธนาคารต่อไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่