จากข่าวล่าสุดก็น่าจะมีโอกาสสูงที่ราล์ฟ รังนิค จะเข้ามาเป็นโค้ชชั่วคราวให้กับแมนยู โดยเจ้าตัวก็ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อบอล pressing ของเยอรมันเลยทีเดียว มาดูกันว่าแกมีแนวคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่อง pressing และ สไตล์การทำทีม
- เรื่อง pressing -
ในรายการหนึ่ง - ราล์ฟ รังนิค ให้สัมภาษณ์ว่า “เค้าจะมีนาฬิกาที่ทำแบบเฉพาะขึ้นมาเอง โดยให้ผู้ช่วยโค้ชเป็นคนจับเวลา โดยเค้าจะเรียกเกมส์นี้ว่า “กฎ 8 วิ” โดยที่เมื่อมีเสียงนาฬิกานับขึ้นเมื่อไร ผู้เล่นต้องรู้ในทันทีว่า พวกเขาต้องแย่งบอลกลับมาให้ได้ภายใน 8 วินาที ในทางกลับกัน เมื่อเป็นฝ่ายครองบอล พวกเขาต้องสร้างโอกาสยิงประตูให้ได้ภายใน 10 วินาที โดยเสียงจับเวลาพวกจะสร้างความหงุดหงิดให้พวกนักเตะตอนแรกสักหน่อย แต่เมื่อเวลาผ่านไป การซ้อมพวกนี้จะส่งผลให้ผู้เล่นเริ่มปรับการเล่นของตัวเอง จนกลายเป็น “สัญชาตญาณ”
และอีกรายการหนึ่ง เจ้าตัวได้เข้าไปร่วมงานสัมมนา Coach voice เป็น 1 ในผู้ร่วมพูดคุยในงาน ได้บอกเกี่ยวกับแนวทางการทำทีมของตัวเองว่า “พวกคุณต้องตระหนักถึงสไตล์การเล่นฟุตบอลที่คุณอยากให้เป็น ผมไม่ได้พูดถึงว่า ไอนั่นนิดนึง ไอนี่นิดนึง pressing อีกหน่อย –พอมาถึงจุดนี้แกก็เน้นว่า- “ไม่เอาน่า อะไรคือ pressing นิดหน่อย” “pressing นิดหน่อยก็เหมือนท้องนิดหน่อย” (แกเล่นคำระหว่าง pregnant กับ pressing) มันมีแต่ท้องหรือไม่ท้อง ก็เหมือนกับ คุณจะเล่น pressing หรือไม่นั่นแหละ แต่ขอร้อง ไม่เอาน่า กับ pressing นิดหน่อย”
- มาที่เรื่องเกมส์รุกกันบ้าง –
จากกฎ 8 วิ ข้างต้นเรารู้กันไปแล้วว่านักเตะต้องสร้างโอกาสยิงให้ได้ภายใน 10 วินาที บ่งบอกว่าต้องการให้นักเตะคิดเร็ว ทำเร็ว ลองมาอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องเกมส์รุกบ้าง
โดยเจ้าตัวให้สัมภาษณ์กับ ESPN แกบอกว่า “Very simple , Gegenpressing เป็นฟุตบอลสไตล์เชิงรุก (Very proactive) เหมือนกับสไตล์ฟุตบอลของดอร์ทมุนและลิเวอพูลภายใต้การคุมทีมของ เจอเก้น คลอปส์” “เราชอบที่จะเพรซสูงด้วยความเข้มข้น และเมื่อมีเรามีบอล เราไม่ชอบที่จะจ่ายบอลคืนหลัง หรือ จ่ายออกข้าง” ผู้รักษาประตู ควรที่จะสัมผัสบอลน้อยทีสุด เพราะว่าในเชิงเทคนิคแล้ว ผู้รักษาประตูเป็นผู้เล่นที่มีขีดจำกัดในการเล่นกับบอลที่สุดในสนาม ดังนั้น เราต้องแน่ใจว่าเขาจะสัมผัสบอลน้อยที่สุด” “มันจะเป็นฟุตบอลที่เร็ว เชิงรุก การเล่นเกมส์รุก การเล่นสวนกลับ น่าตื่นเต้น และ เอนเตอร์เทนฟุตบอล”
- การพัฒนาการตัดสินใจของผู้เล่น –
เจ้าตัวให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการซ้อมเพื่อพัฒนาการตัดสินใจผู้เล่น จากช่อง Klinikk Johannessen ว่า “เราซ้อมกันภายใต้กฎ ที่บังคับให้ผู้เล่นอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากกว่าเกมส์สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นั่นคือสิ่งที่เราพยายามซ้อมกระตุ้นสมอง พยายามให้สมองทำงานหนักมากที่สุด พยายามให้สมองเกิดการเรียนรู้และปรับตัวในสถานการณ์ที่กดดัน ในเรื่องของ พื้นที่และเวลา (Space and Time) มันเป็นเรื่องของการแก้ปัญหาในสถานการณ์เหล่านั้นในการฝึกซ้อม แล้วจากนั้นผู้เล่นก็จะรู้สึกว่า “อ๊ะ เกมส์ตอนวันเสาร์มันง่ายกว่าตอนซ้อมนิหว่า” และนั่นคือ session การซ้อมของเรา ตอนที่เราซ้อมเรื่อง tactic
- สรุป - ถือว่าน่าสนใจมากกับบทบาทโค้ชชั่วคราวที่แมนยู ถ้าแมนยูตั้งเป้าหมายว่าอยากให้ทีม “เล่นฟุตบอลเกมส์รุก ฟุตบอลที่ไหลลื่น (fluid football) ฟุตบอลที่น่าตื่นเต้น” อย่างที่ ผอ.กีฬาฟุตบอล John murtough และ Ed woodward พูดบ่อยๆ ราล์ฟ รังนิคน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับช่วงเปลี่ยนถ่าย 6 เดือนนี้ ก่อนส่งไม้ต่อให้กับผู้จัดการทีมที่จะรับหน้าที่สานต่อ ปรัชญา เรื่องนี้ต่อไป เปลี่ยนปรัชญาสโมสรจาก United way ให้กลายเป็น Mondern United way
ส่วนตัวไม่ได้คาดหวังว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงฉับไว การจะไปเล่นฟุตบอลด้วยความเข้มข้นสูงแบบนี้ต้องใช้เวลา และ spec นักเตะก็มีส่วนสำคัญเช่นกันว่าจะสามารถปรับตัวเข้ากับเรื่องนี้ได้มั้ย ในแผงแนวรุกตอนนี้น่าจะมี ซานโช่ เดอเบค ลินการ์ด บรูโน่ และ อาหมัด ที่น่าจะสามารถตอบโจทย์เบื้องต้นกับการเล่นฟุตบอล pressing ได้ ส่วนคนที่เหลือต้อง step up ขึ้นมา ก็ต้องรอดูต่อไปว่า ราล์ฟ รังนิคจะบริหารทีมยังไงกับ spec นักเตะที่มีอยู่ และจะสามารถกระตุ้นนักเตะที่เหลือขึ้นมายังไงบ้าง แต่ต้องยอมรับว่าตื่นเต้นพอสมควรกับการแต่งตั้งครั้งนี้
ถ้าชอบบทความแนวนี้ ฝากติดตามด้วยนะค้าบ
https://bit.ly/3FPZn4i
ว่าด้วยกฎ 8 วิ และ แนวทางการทำทีมของ ราล์ฟ รังนิค
จากข่าวล่าสุดก็น่าจะมีโอกาสสูงที่ราล์ฟ รังนิค จะเข้ามาเป็นโค้ชชั่วคราวให้กับแมนยู โดยเจ้าตัวก็ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าพ่อบอล pressing ของเยอรมันเลยทีเดียว มาดูกันว่าแกมีแนวคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่อง pressing และ สไตล์การทำทีม
- เรื่อง pressing -
ในรายการหนึ่ง - ราล์ฟ รังนิค ให้สัมภาษณ์ว่า “เค้าจะมีนาฬิกาที่ทำแบบเฉพาะขึ้นมาเอง โดยให้ผู้ช่วยโค้ชเป็นคนจับเวลา โดยเค้าจะเรียกเกมส์นี้ว่า “กฎ 8 วิ” โดยที่เมื่อมีเสียงนาฬิกานับขึ้นเมื่อไร ผู้เล่นต้องรู้ในทันทีว่า พวกเขาต้องแย่งบอลกลับมาให้ได้ภายใน 8 วินาที ในทางกลับกัน เมื่อเป็นฝ่ายครองบอล พวกเขาต้องสร้างโอกาสยิงประตูให้ได้ภายใน 10 วินาที โดยเสียงจับเวลาพวกจะสร้างความหงุดหงิดให้พวกนักเตะตอนแรกสักหน่อย แต่เมื่อเวลาผ่านไป การซ้อมพวกนี้จะส่งผลให้ผู้เล่นเริ่มปรับการเล่นของตัวเอง จนกลายเป็น “สัญชาตญาณ”
และอีกรายการหนึ่ง เจ้าตัวได้เข้าไปร่วมงานสัมมนา Coach voice เป็น 1 ในผู้ร่วมพูดคุยในงาน ได้บอกเกี่ยวกับแนวทางการทำทีมของตัวเองว่า “พวกคุณต้องตระหนักถึงสไตล์การเล่นฟุตบอลที่คุณอยากให้เป็น ผมไม่ได้พูดถึงว่า ไอนั่นนิดนึง ไอนี่นิดนึง pressing อีกหน่อย –พอมาถึงจุดนี้แกก็เน้นว่า- “ไม่เอาน่า อะไรคือ pressing นิดหน่อย” “pressing นิดหน่อยก็เหมือนท้องนิดหน่อย” (แกเล่นคำระหว่าง pregnant กับ pressing) มันมีแต่ท้องหรือไม่ท้อง ก็เหมือนกับ คุณจะเล่น pressing หรือไม่นั่นแหละ แต่ขอร้อง ไม่เอาน่า กับ pressing นิดหน่อย”
- มาที่เรื่องเกมส์รุกกันบ้าง –
จากกฎ 8 วิ ข้างต้นเรารู้กันไปแล้วว่านักเตะต้องสร้างโอกาสยิงให้ได้ภายใน 10 วินาที บ่งบอกว่าต้องการให้นักเตะคิดเร็ว ทำเร็ว ลองมาอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องเกมส์รุกบ้าง
โดยเจ้าตัวให้สัมภาษณ์กับ ESPN แกบอกว่า “Very simple , Gegenpressing เป็นฟุตบอลสไตล์เชิงรุก (Very proactive) เหมือนกับสไตล์ฟุตบอลของดอร์ทมุนและลิเวอพูลภายใต้การคุมทีมของ เจอเก้น คลอปส์” “เราชอบที่จะเพรซสูงด้วยความเข้มข้น และเมื่อมีเรามีบอล เราไม่ชอบที่จะจ่ายบอลคืนหลัง หรือ จ่ายออกข้าง” ผู้รักษาประตู ควรที่จะสัมผัสบอลน้อยทีสุด เพราะว่าในเชิงเทคนิคแล้ว ผู้รักษาประตูเป็นผู้เล่นที่มีขีดจำกัดในการเล่นกับบอลที่สุดในสนาม ดังนั้น เราต้องแน่ใจว่าเขาจะสัมผัสบอลน้อยที่สุด” “มันจะเป็นฟุตบอลที่เร็ว เชิงรุก การเล่นเกมส์รุก การเล่นสวนกลับ น่าตื่นเต้น และ เอนเตอร์เทนฟุตบอล”
- การพัฒนาการตัดสินใจของผู้เล่น –
เจ้าตัวให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการซ้อมเพื่อพัฒนาการตัดสินใจผู้เล่น จากช่อง Klinikk Johannessen ว่า “เราซ้อมกันภายใต้กฎ ที่บังคับให้ผู้เล่นอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากกว่าเกมส์สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นั่นคือสิ่งที่เราพยายามซ้อมกระตุ้นสมอง พยายามให้สมองทำงานหนักมากที่สุด พยายามให้สมองเกิดการเรียนรู้และปรับตัวในสถานการณ์ที่กดดัน ในเรื่องของ พื้นที่และเวลา (Space and Time) มันเป็นเรื่องของการแก้ปัญหาในสถานการณ์เหล่านั้นในการฝึกซ้อม แล้วจากนั้นผู้เล่นก็จะรู้สึกว่า “อ๊ะ เกมส์ตอนวันเสาร์มันง่ายกว่าตอนซ้อมนิหว่า” และนั่นคือ session การซ้อมของเรา ตอนที่เราซ้อมเรื่อง tactic
- สรุป - ถือว่าน่าสนใจมากกับบทบาทโค้ชชั่วคราวที่แมนยู ถ้าแมนยูตั้งเป้าหมายว่าอยากให้ทีม “เล่นฟุตบอลเกมส์รุก ฟุตบอลที่ไหลลื่น (fluid football) ฟุตบอลที่น่าตื่นเต้น” อย่างที่ ผอ.กีฬาฟุตบอล John murtough และ Ed woodward พูดบ่อยๆ ราล์ฟ รังนิคน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับช่วงเปลี่ยนถ่าย 6 เดือนนี้ ก่อนส่งไม้ต่อให้กับผู้จัดการทีมที่จะรับหน้าที่สานต่อ ปรัชญา เรื่องนี้ต่อไป เปลี่ยนปรัชญาสโมสรจาก United way ให้กลายเป็น Mondern United way
ส่วนตัวไม่ได้คาดหวังว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงฉับไว การจะไปเล่นฟุตบอลด้วยความเข้มข้นสูงแบบนี้ต้องใช้เวลา และ spec นักเตะก็มีส่วนสำคัญเช่นกันว่าจะสามารถปรับตัวเข้ากับเรื่องนี้ได้มั้ย ในแผงแนวรุกตอนนี้น่าจะมี ซานโช่ เดอเบค ลินการ์ด บรูโน่ และ อาหมัด ที่น่าจะสามารถตอบโจทย์เบื้องต้นกับการเล่นฟุตบอล pressing ได้ ส่วนคนที่เหลือต้อง step up ขึ้นมา ก็ต้องรอดูต่อไปว่า ราล์ฟ รังนิคจะบริหารทีมยังไงกับ spec นักเตะที่มีอยู่ และจะสามารถกระตุ้นนักเตะที่เหลือขึ้นมายังไงบ้าง แต่ต้องยอมรับว่าตื่นเต้นพอสมควรกับการแต่งตั้งครั้งนี้
ถ้าชอบบทความแนวนี้ ฝากติดตามด้วยนะค้าบ