โฮมสเตย์...

มาถึงเอา ก็เกือบโพล้เพล้
จอดมอเตอร์ไซด์เสร็จ ถอดเซฟตี้สูทออกคร่าวๆ
จุดบุหรี่ดูด เดินยืดเส้นยืดสาย

ทำไม ดูโทรมกว่าที่คิด ?

ผมจองโฮมสเตย์ไว้จากหน้าเว็บไซต์แห่งหนึ่งในพื้นที่ภาคเหนือ
ราคาพอรับได้ สภาพก็กลางๆ จากรูปภาพที่เห็น

พักร้อนปีนี้ ขอฉายเดี่ยว
อยู่กับก๊วนในทริปบ่อยๆ ชักเริ่มจะมีความรู้สึกเบื่อหน่าย
ไอ้นั่นก็จะฉี่ ไอ้นี่ก็จะเยี่ยว แวะกันอยู่เรื่อยจนน่ารำคาญ
มากคน...ก็มากความด้วย
มีแต่เรื่องให้ถกเถียงกันตลอดเส้นทาง

ดูจากสภาพภายนอกที่เห็นอยู่ ณ เวลานี้
ช่างเก่าคร่ำคร่า ได้ใจเสียจริงๆ

แหวกรากต้นม่านพระอินทร์ผ่านเข้าไป

ประตูไม้โบราณขัดแตะเปิดแง้มอยู่
กระแอมกระไอซักหน่อยซิ เผื่อใครจะได้ยิน
นั่นไง...สาวน้อยนางหนึ่งรีบรุดออกมา

ผ้าซิ่นสีฟ้า สไบสีเขียวพาดเฉียงไหล่
เอ้อ...โฮมสเตย์สมัยนี้มีพนักงานต้อนรับด้วยวุ้ย
ชุดเข้าท่าดี
อดไม่ได้ที่จะหวนคิดไปถึงนางในวรรณคดีขุนช้างขุนแผน
......นางลาวทอง

รอยยิ้มไร้เดียงสา แววตาสดใส วาจาช่างนุ่มหู
เห็นบอก...จะไปตามพี่สาวมาให้

ข้างในนี้ บอกได้คำเดียวเลยว่า...เนี้ยบมาก
แตกต่างไปจากสภาพภายนอกที่เห็นกันอย่างลิบลับ
ทุกอย่างดูช่างเป็นระเบียบ สะอาด ไม่รกลูกตา
รูปภาพเก่าๆ รวมถึงภาพวาดสีน้ำมันมีแปะอยู่บ้าง
อากาศก็ช่างถ่ายเทดีเสียเหลือเกิน
มีลมเย็นๆ เอื่อยๆ โชยผ่าน
ทั้งที่ไม่ได้ติดแอร์

หญิงนางหนึ่งเดินโปรยยิ้มเข้ามา
สวย คม สูงโปร่ง ขาวกว่าคนเมื่อตะกี๊
น่าที่จะเป็นพี่สาว...
เช็คอินกับหล่อนเสร็จ ก็พาผมเดินไปยังที่พัก

ขึ้นบันไดไปยังชั้นสองของตัวบ้าน
สุดบันไดขั้นสุดท้าย เป็นลานพื้นชั้นบนกว้างๆ
มีซอยแยกไปตามห้องพักต่างๆ
มีห้องน้ำ 2 ห้อง ใช้ร่วมกัน
มีโต๊ะ เก้าอี้ และโซฟายาวไว้ให้นั่งคอยคิวเข้าห้องน้ำ
มีซอยแยกไปอีกฟาก เป็นที่พักของเจ้าของบ้าน
อธิบายเสร็จ หล่อนก็เปิดห้องติดกับเวิ้งนี้ให้กับผม

เปิดม่าน เปิดหน้าต่าง เปิดพัดลมติดผนังให้พัดส่าย
มองหน้าต่างผ่านมุ้งลวดออกไป เห็นพระอาทิตย์กำลังจะตก
อาบน้ำเสร็จสรรพ ก็หอบสังขารลงไปทานมื้อค่ำยังชั้นล่าง

ข้าวต้มเครื่องโบราณ กุ้งสับคลุกเคล้ากับกุ้งแห้ง
ต่อคิวกันเป็นแถวเชียว แขกชาวต่างชาติ
ทีแรกนึกว่า...จะมีแต่แค่ผม
คงเพิ่งจะกลับกันเข้ามาจากไปเที่ยว

แวบหนึ่งที่ฉุกนึกคิดขึ้นมา...
ไม่เห็นหน้าสาวน้อยคนนั้นเลยวุ้ย

หายไปไหนก็ไม่รู้ ?

จะถามรึ ก็ใช่ที่...
กินต่อไปอย่างเอร็ดอร่อยดีกว่า

ผมเห็นหน้ากุ๊กคนที่ทำข้าวต้มมื้อนี้แล้ว เป็นผู้ชาย
ถ้าจะให้เดาก็คงจะเป็นสามีของผู้หญิงที่เช็คอินผม
เห็นได้จากภาพถ่ายงานมงคลสมรสที่ติดประดับอยู่ข้างฝา

จู่ๆ ไฟฟ้าก็ดับ...พ รึ่ บ

แสงเทียนถูกจุดขึ้นมาวับๆ แวมๆ
เสียงปรบมือจากโต๊ะฝรั่งกันให้เกรียวกราว
เสียงเป่าปากเป็นเสียงนกหวีด วี้ด วิ้ว ดังกันให้ลั่น
เสียงร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ทเดย์ก็พลันดังตามขึ้นมา

ใจผมตกไปอยู่ที่ตาตุ่มตั้งแต่ตอนที่ไฟดับ
มาตกใจหนักเข้าไปอีกแทบขี้แตก ก็อีตรงที่...

ดันมีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้นมาใกล้ๆ กับรูหู
ท่ามกลางความมืดสลัวๆ นั้น

ขอโทษนะคะ ที่ไม่ได้บอกกล่าวกันก่อน
กรุ๊ปฝรั่งที่มา เค้าอยากจะเซอร์ไพรส์แฟนเขาน่ะค่ะ
ดิฉันก็ลืมไปเสียสนิทเลยว่า...มีคุณ"

ดันมาจุดเทียนใต้คางต่อหน้าต่อตาผมอีก
คงเกรงว่า ยังหลอนผมไม่พอมั้ง
แสร้งพยักหน้าตอบรับกลับไป แบบพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
ปักเทียนวางไว้บนโต๊ะเสร็จ
ภรรยาของเจ้ากุ๊กคนนั้น ก็เดินจากไป

จมอยู่กับโต๊ะเช่นนั้นอยู่เป็นนาน ไฟฟ้าก็ยังไม่ยอมติด
กลิ่นกัญชายัดไส้บุหรี่ โชยเข้ามาเป็นระยะๆ
เสียงพูดคุย หยอกล้อ หัวเราะกัน ดังมาจากโต๊ะกลุ่มฝรั่ง
แหม่มผิวขาว ผมสีบลอนด์เดินถือส่วนแบ่งเค้กก้อนหนึ่งเข้ามา
คงจะพูดคำว่า " I am sorry.... " มั้ง
พร้อมกับส่งยิ้มหวานๆ มาให้
จำใจรับเค้กมากินอย่างไม่อยากให้เสียมารยาท

ไฟก็ยังไม่ยอมเปิด เลยออกมาเดินดูดวงจันทร์เล่นที่ข้างนอก
ไว้รอให้พวกเขาสนุกกันจนพอ รอให้ไฟติดก่อน ค่อยเข้าไป
ท่ามกลางแสงจันทร์อันค่อนข้างสลัวๆ มัวๆ ซัวๆ

เห็นร่างใครก็ไม่รู้...

ยืนอยู่ใกล้ๆ กับมอเตอร์ไซด์ที่ผมจอดอยู่
ค่อยๆ เดินเข้าไปหา...

อ้า...สาวน้อยคนนั้น นั่นเอง

จะเอ่ยปากถามซักหน่อย หล่อนก็สวนเข้ามาซะก่อน
...ทั้งๆ ที่หันหลังให้กับผมอยู่

ไม่ขี่ม้า แล้ว...หรอ ? "

ยังงงๆ อยู่กับคำถาม หล่อนก็โปรยต่ออีก

แต่...คันนี้ก็สวยดีนะ ราคาคงจะแพง "

ก็ว่าจะโม้ ปั้นเรื่องตัวเลขให้กับหล่อนซักหน่อย
กำลังนึกคิดอยู่ หล่อนก็พูดต่อ

แต่ข้า...ชอบม้า มากกว่า "

ไปไม่เป็นเลยคราวนี้...
ไม่เข้าใจในสิ่งที่หล่อนสื่อจริงๆ
พูดราวกับว่าเห็นผมเป็นขุนแผนที่ควบม้าสีหมอกมา

ทันใดนั้น ไฟในร้านก็สว่างขึ้นมา...พรึ่บ
เสียงเฮกันให้ลั่นดังให้ได้ยินจนผมต้องหันตามไปมอง
เผลอเหลียวไปมองหน่อยเดียว พอหันกลับมา...
หล่อน...ก็หายไปไหนไม่รู้
ไวจริงๆ ผู้หญิงคนนี้ พับผ่า...

จุดบุหรี่สูบรอ คงไปไหนไม่ไกลหรอก
ต้องแอบอยู่แถวๆ นี้นี่แหละ
เดินวนๆ เวียนๆ รอบๆ รถ
แหวกดูพุ่มไม้ กอหญ้าใกล้ๆ
นั่นประไร เจอแล้ว...
แอบอยู่ตรงนี้นี่เอง ขดตัวซะงอเชียว

มีเสียงหัวเราะคิกๆ ต่อด้วยคำถามที่ตามมา

กลัวข้า...มั้ย ? "

ผมส่ายหน้า จะเอ่ยปากชวนนางเข้าไปข้างใน

ไม่...ข้าไม่ชอบฝรั่ง ข้าอยากอยู่กับเจ้า "

เอ้า...งั้นก็ตามใจ
นางอาจจะมีปมอยู่ก็ได้ ใครจะไปรู้

นางเอื้อมมาจับมือ...
ผมทั้งรั้ง ดึง ฉุด จนนางลุกขึ้นมาได้
เหมือนดั่งต้องมนต์...
เราต่างเดินจับมือ พากันแกว่งไกว
ค่อยๆ ก้าว...ไกลออกไปจากโฮมสเตย์

ตลอดเวลาที่เดินไปกับนางนั้น
ไม่ได้คุยกันเลยก็ว่าได้
มันมีแต่ความรู้สึก...
ความรู้สึกที่ดูราวกับว่า...
เราทั้งสองคนนั้นได้รู้จักกันมาซะจนเนิ่นนานแล้ว
นานเสียจน...
แทบจะไม่ต้องคุยอะไรกันอีกเลย

ไม่มีสาเหตุใดๆ ที่ต้องการให้ถาม
และ...
ไม่มีคำถามใดๆ ที่ต้องการให้ตอบ

ความปิติ เป็นสุข เอิบอิ่ม จนน้ำตาแทบจะรินไหล
มันท้วมท้นอยู่ภายในหัวใจผม...จนเต็มไปหมด
เพลินอยู่...ตรงนั้น
อยากหยุดเวลาไว้...แค่นั้น
อยากให้โลกนี้ มีแค่สองเราจริงๆ...

เฮ่...ยู มายืนทำอารายอยู่ตรงนี้ ? "

เสียงนี้ ทำเอาผมสะดุ้งเชียว
ยังมองเห็นมือตัวเองที่กุมแฮนด์มอเตอร์ไซด์แกว่งแขนไปมาอยู่

ไม่ใช่มือของน้องเค้า...นี่

อ้าว น้องก็ดันหายไปไหนก็ไม่รู้...อีก

ฝรั่งคนนั้นยื่นบุหรี่ที่คงยัดไส้กัญชาไว้ล่วงหน้าแล้ว ส่งมาให้

ไอ...ก็เคยเป็นอย่างยูนี่แหละ ถ้ามาวกัญชาหนักๆ "

ผมเดินอายๆ หนีเข้ามาข้างใน
เสียงหัวเราะของมัน ดังไล่ตามหลังมา

หรือว่า...
ผมคงเมากัญชาจากกลิ่นตอนที่ไฟดับ
ตอนที่พวกมันเป่าเค้กวันเกิดกัน...เข้าให้จริงๆ
เดินขึ้นชั้นบน กลับเข้าห้อง
ไม่วายที่จะหิ้วเบียร์ติดมือมาด้วย

เบียร์ใกล้จะหมดขวดแล้ว เหลืออีกนิด
ทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นจนเวียนขมับ
เสียงลูกบิดประตูดังก๊อกแก๊กก็แว่วเข้าหูขึ้นมา

เหลียวไปจ้องมองดู...
ใครกันหว่าจะพยายามเข้ามาให้ได้
ลูกบิดก็ยังคงเคลื่อนตัวอยู่อีก...ไปทางซ้ายที ขวาที
ผมจ้องดู จนใจเต้น...ตึ้ก ตั้ก
ลูกบิดนั้น ก็ยังไม่ยอมหยุดอีก
ตัวประตูเอง ก็ดันไม่มีตาแมว

ค่อยๆ ย่องเข้าไปที่ประตูช้าๆ
จะเป็นใครก็แล้วแต่ ย่อมที่จะต้องเป็นคนไม่ดีแน่ๆ
เล่นไม่เคาะประตู หรือแม้แต่ให้สุ้มให้เสียง
จับลูกบิดได้ ก็หมุนบิดไปทางซ้ายสุดอย่างรวดเร็ว
เปิดประตูทันที...
ตีนข้างหนึ่งของผมก็เหยียดตาม ถีบเข้าให้ไปอีกด้วย

พบแต่ความว่างเปล่า หน้าประตู...ไม่มีใคร !!

แต่...กลับเห็นสาวน้อยนางนั้น
นั่งไขว้ขา กระดิกเท้าเล่น ดูราวกับว่า...
นั่งรออยู่ที่เก้าอี้มานานแล้ว

ส่งยิ้มหวานแหวว ปนกับลักยิ้มบุ๋มๆ มาให้อีก
ใจผมงี้...แทบจะละลาย

ชุดเดิม...ผ้าซิ่นสีฟ้ากับสไบสีเขียวพาดเฉียงหัวไหล่
ไม่มีเสียงพูดจา หล่อนเดินเข้ามาหา  ผมเปิดประตูอ้ารับ
แค่เพียงสบตากัน สองเราต่างก็รู้ใจ
พอปิดประตูได้...
บทอัศจรรย์ของผมกับหล่อนจึงได้พลันบังเกิดขึ้น

กำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่แล้วเชียว
เหลืออยู่ก็เพียงแต่...แค่กำลังจะปลดผ้าซิ่น
สบงสไบนั้นก็ถูกเลิก ถกออกเสียจน...
ท่อนบนเปลือยเปล่าไปซะหมดแล้ว

เสียงลูกบิดประตูก็ดันดังขึ้นมาอีก
...ก๊อก แก๊ก

ไฟในห้องก็ยังไม่ได้ปิด
กะว่า...จะสำรวจตัวน้องเค้าซะให้ทั่วร่างเสียหน่อย

สองตาเพ่งไปยังลูกบิดประตูอีกที
มันก็ยังบิดอยู่อีก
แต่คราวนี้
มีเสียงเคาะประตูเบาๆ
ตามเข้ามาพร้อมกับเสียง...

คุณผู้ชายคะ รบกวนหน่อยค่ะ "

เสียงพี่สาวนางนี่หว่า บรรลัยจักรแล้วสิ...กรู !!

ขอ...เข้าไปเอาของหน่อยนะคะ หนูลืมไว้ "

จะมาเอาของอะไรกันดึกดื่นปานนี้...แม่คุณเอ๊ย
ผมแกล้งทำเป็นเฉยๆ...
เพื่อให้นางคิดว่ากำลังนอนหลับอยู่ ไม่ได้ยิน
น้องเค้าเองก็ยังอยู่ในอ้อมกอดผม
ดูแววตาตระหนกๆ กับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

รบกวนด้วยนะคะ จำเป็นจริงๆ ค่ะ "

ดูเหมือนนางจะไม่หยุด ก็คงจะจำเป็นจริงๆ ล่ะมั้ง
ไม่เช่นนั้น ก็คงจะไม่มาปลุกแขกกันกลางค่ำกลางคืนอย่างนี้แน่ๆ
ให้นางเข้ามาเอาของซะ ก็คงจะสิ้นเรื่องไป
แล้วค่อยมาว่ากันใหม่ ดีมั้ย...สองเรา
ผมแค่คิด แต่น้องเค้ากลับดันพยักหน้าหงึกๆ

ผมพาน้องเค้าไปยืนซ่อนอยู่ที่หลังผ้าม่านหน้าต่าง
ช่างบังเอิญเสียจริง ที่ผ้าม่านนี้ก็ดันยาว
คลุมตัวน้องเค้าเสียจนเหลือเห็นแต่เพียงแค่ปลายเท้า

เอาผ้าขนหนูคาดเอวเสร็จ ผมก็เปิดประตูให้
นางเองก็ช่างมีมารยาท ไม่เหลือบดูรอบๆ ห้องแต่อย่างใด
ตรงรี่เข้าไปที่ตู้เสื้อผ้าข้างๆ ประตูนั่นแหละ
เขย่งตัว เอามือควานๆ หาของข้างบนตู้

เหมือนจะหายังไม่เจอมั้ง ก็เลยเอาเก้าอี้มาวาง
แล้วขึ้นไปยืนเพื่อจะหาของบนหลังตู้ให้ชัดๆ
ผมเข้าใจได้ทันทีเลยว่า
ของที่นางต้องการคงจะต้องอยู่บนหลังตู้แหงๆ

ต๊าย...ทำไมดันไปอยู่บนเตียง ? "

ให้ตายเหอะ ผมลืมเก็บสไบสีเขียวของน้องเค้า
งานงอกแน่ๆ...คงต้องยอมรับสารภาพเสียแล้วล่ะมั้ง

คุณนำลงมาหรือ แล้วอีกชิ้น...ผ้าซิ่นสีฟ้าล่ะ ? "

คราวนี้ นางกวาดสายตาไปให้ทั่วห้องเชียวแหละ
ผมยืนหน้าจื๊ดจืด เหมือนจำเลยยืนรอรับฟังคำพิพากษาจากศาล
นางกำลังเดินตรงไปที่ผ้าม่านแล้ว...
ผมงี้...หลับตาปี๋

ทำไม มากองอยู่ที่ตรงนี้ได้ล่ะ ? "

ฉวยผ้าซิ่นกับสไบได้เสร็จ นางก็รีบเดินออกจากห้องไป
ไม่หันมาขอโทษที่รบกวนเวลานอนของผมเลยซักคำ

ผมแหวกหลังม่านออกดู มุ้งลวดถูกเปิดออก
น้องเค้าคนนี้ช่างไวดีจริงๆ...ยอมยกนิ้วให้นางเลย
คงปีนหน้าต่างหนีออกไป
รอดตัวแล้ว สิ...เรา

ตื่นค่อนข้างสาย เลยเวลาอาหารเช้าไปโข
ลุกขึ้นดูฝรั่งกลุ่มนั้นทางหน้าต่าง เห็นมีสองแถวมารับ
ลงมาจะหาอาหารกิน ก็พบว่า
โฮมสเตย์ที่นี่มีอาหารการกินอย่างเหลือเฟือ

" จะนำไปถวายเพลพระน่ะค่ะ ครบ 100 วัน...น้อง ก็เลยทำเผื่อ
ขอโทษกับเมื่อคืนด้วยนะคะ พอดี...หลวงตาบอกให้นำของผู้ตายมาด้วย
หนูก็ดันลืมชุดโปรดของน้องเค้าไว้ อยู่ที่บนหลังตู้ "

ฝรั่งไปแล้วแท้ๆ แต่ผมดันกลับอุทานออกมาเองว่า

Oh, my God...

กัดฟัน ดราม่าออกไปเป็นพิธี
แกล้งกลบเกลื่อน พอให้เห็นว่าร่วมเศร้าด้วย

ขอแสดงความเสียใจกับการจากไปของน้องสาวด้วยครับ "

หล่อนหันมายิ้มน้อยๆ ตรงริมฝีปาก
พลางตอบกลับมาด้วยเสียงอันอ่อนโยนว่า

น้องชายค่ะ...แต่ยังไม่ทันได้แปลงเพศ ก็ด่วนจากไปซะก่อน
โดนยิงตายน่ะค่ะ ที่ตรงกอหญ้าหน้าบ้านนี่เอง
ฝ่ายคนยิงที่เป็นผู้หญิง เค้าหาว่าแฟนเค้ามาติดน้องชายหนู "

ผมงี้...ถึงกับอึ้ง ตะลึง จังงังกับคำพูดของหล่อน

ถึงว่าสิ เห็นนั่งขดตัวงอๆ อยู่ในพงหญ้า คงถูกยิง...

ถึงว่าสิ ช่วงที่กำลังถอดผ้าซิ่นเมื่อคืน ทำไมถึงนานจัง...

โธ่...ลาวทองของพี่
ไหง...ชาตินี้
ดันเกิดเอามาเป็นผู้ชาย...ซะง้าน

" จะอยู่พักต่ออีกซักคืน...มั้ยคะ ? "

ถ้าอยู่ต่ออีก คืนนี้ผมเสร็จแน่ ๆ ...
รีบตอบปฏิเสธ
พร้อมยกเหตุผลประกอบไปอย่างกุก ๆ กัก ๆ

คงไม่ล่ะครับ แบบว่า...

ผมลืมนำเอา...วาสลีน ติดตัวมาด้วย !! "
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่