คิดว่าการไปอยู่บ้านแฟน (คนละหลังกันเพราะยังไม่ได้แต่งงาน เค้าอยู่กับพ่อแม่) แล้วเราแชร์ครึ่งค่าแอร์มาติดในบ้าน แปลกไหมคะ

เหตุผลที่มาถามนะคะ
1.เป็นเรื่องของเรากับกลุ่มเพื่อนค่ะ 1 ในนั้นเค้าสงสัยเลยถามขึ้นมา
ว่าทำไมไปเป็นผู้อาศัยแต่ยังให้เค้าต้องเสียเงินหารค่าแอร์กับเรา มันแปลกๆ (สถานะตอนนั้น ได้แหวนหมั้นจากแม่แฟนแล้ว)

2.เพื่อนอีกคนอธิบายให้ฟังว่า ที่คนแรกสงสัย เพราะเค้าก็สถานะผู้อาศัยเหมือนกัน(?) แต่อยู่บ้านญาติ และไม่เคยแชร์อะไร ซื้อเองหมด

3.ตอบกลับไปว่า จริงๆแฟนจะออกให้ เพราะเค้าอยากดูแล อยากซัพพอร์ตเรา อยากให้เราอยู่ที่นี่ ไม่อยากให้กลับบ้านจนต้องไกลกัน
(ข้อมูลเพิ่มเติม พ่อแฟนไม่อยากให้เราออกซักบาทเลยด้วยซ้ำ อยากให้เป็นของแฟนคนเดียว)

(เรามาอยู่ตรงนี้เพราะแฟนมีบ้าน 2 หลัง แม่แฟนชวนมาหลังรู้ว่าเราโดนเลย์ออฟออกจากงานและไม่มีรายได้
ระหว่างหางานจะได้ไม่ต้องจ่ายค่าเช่าห้อง เราเองก็เพิ่งจะได้แหวนทองจากแม่แฟนมา คิดว่าไม่นานก็น่าจะได้แต่งงานกัน
เลยไปแจ้งให้พ่อแม่ทราบ พวกเค้ารับรู้และไม่ได้ว่าอะไร เพราะอยู่คนเดียว คนละหลังกับแฟน เค้าโอเค
ประเด็นคือพ่อแฟนไม่ได้ชอบเรา แต่เค้าก็ดูแลทำความสะอาดและติดแอร์ให้ ไม่ได้ขวางไม่ให้มาอยู่)

4.เพื่อนถาม เราไปขอเค้าอยู่ไม่ใช่หรอ

5.เราตอบไปว่า ไม่ได้ขอนะ แม่แฟนชวนมาอยู่ ถ้าเค้าไม่ชวนคงไม่มา ไม่คิดจะมาขออยู่ด้วย

6.เพื่อนอีกคนบอก ก็ปฏิเสธได้นี่ เค้าชวน เรามาอยู่ มันก็คือขออยู่อยู่ดีมั้ย

7.เราตอบ เอาเถอะ มันก็คงดูไม่ดีตั้งแต่เริ่มจริงๆ รู้ตัวแล้วว่าดูแปลก ดูแย่ในสายตาคน
(จริงๆควรจะตอบไปแหล่ะ ว่าเหตุผลที่ตกลงคือเห็นด้วยกับแม่แฟนว่าจะได้มีโอกาสทำความสนิทสนมกัน เรียนทำอาหารจากแม่แกด้วย ผิดเองที่ตัดพ้อไปซะก่อน)

8.เพื่อนตอบ ไม่ได้ดูแปลก แค่อยากให้ยอมรับในความเป็นจริงว่าคนภายนอกจะมองแบบไหน เราตัดสินใจเองก็ต้องยอมรับผลของมัน

9.บอกว่าเราย้อนแย้ง ก่อนหน้านี้ยังมาปรึกษาว่าเราหรือแม่เราซักคนไม่โอเคเรื่องอยู่ก่อนแต่ง
(เรื่องนี้เราเคยเล่าแล้ว ว่าอยู่คนละหลัง และพ่อแม่ทั้งสองฝ่ายรับรู้ และ นั่นล่ะ ได้แหวนหมั้นแล้ว เคยบอกแล้ว แต่คงลืมกัน)

10.เพื่อนคนแรกที่บอกเรื่องแชร์ค่าแอร์ดูแปลก ถามว่าเราได้ทำความเข้าใจรึยังว่ามันแปลกยังไง เหมือนไปอยู่แล้วยังต้องให้เขาเสียเงินเพิ่ม
เพราะเคยเล่าไปว่า พ่อแฟนระแวงเรื่องเราจะฮุบสมบัติหลังจดทะเบียนสมรส เลยจะโอนทรัพย์สินเป็นชื่อแฟนทั้งหมดก่อนจด
เพื่อนคนนี้เลยมองว่าต่อให้แฟนจะซื้อให้ แต่ถ้าเราออกเงินค่าแอร์เอง พ่อแฟนน่าจะลดความระแวงนี้ลงว่าไม่ได้หวังจะฮุบสมบัติจริงๆ

11.เพื่อนคนที่มาเมนต์คนสุดท้าย บอกเราต้องโดนยาแรง เพราะมีอะไรเราโทษแต่คนอื่น ไม่เคยโทษตัวเองว่าทำผิดอะไรพ่อแฟนถึงไม่ชอบ
หัดมองตัวเองผิดบ้าง นี่คือการเป็นผู้ใหญ่ บอกว่าเราไม่พยายามช่วยแฟนให้พ่อแม่เอ็นดู ทำตัวเองให้เค้ามองเราแย่
ซึ่งเกิดจากการกระทำของเราทั้งหมด
โดยเฉพาะเรื่องค่าแอร์ เราไม่ควรหารแต่ต้น เป็นผู้อาศัยบ้านเขา ต้องซื้อเอง
(คงจะสื่อว่าไปหารเลยทำให้ดูแย่ในสายตาพ่อแฟน แต่ตอนนั้นคือพ่อแฟน
บอกให้แฟนเป็นคนจ่ายค่าแอร์ ในฐานะที่เป็นคนพาเข้ามาก็ต้องดูแล แต่เราอาสาจะหารเอง ต่อให้อยากออกทั้งหมดเอาจริงๆตอนนั้นก็ยังไม่ไหวจริงๆค่ะ
ก็เพิ่งโดนให้ออกจากงาน ยังหางานใหม่ก็ไม่ได้ด้วย เหตุผลส่วนตัวประมาณเท่านี้)
เรื่องที่เรามาอยู่ตรงนี้ เค้าก็มองว่าเราโทษคนอื่นเรื่องแม่ชวน อย่างที่เพื่อนอีกคนบอก ว่าเราปฏิเสธคำชวนได้ เค้าเลยมองว่าเราหวังสบาย

(ก่อนหน้านี้ตอนย้ายมาวันแรก แม่แฟนชวนไปค้างที่บ้านใหญ่ก่อนเพราะบ้านที่เราจะไปอยู่ยังไม่เสร็จดี ที่นอนไม่มีผ้าปู แถมยังไม่ได้ติดแอร์ กลัวเราจะร้อน
แต่พอไปจริงๆ เหมือนพ่อแฟนเค้าไม่รับรู้มาก่อนว่าเราจะไปค้าง เลยบอกให้พาเราออกไป เค้าไม่โอเค เลยคุยกันกับแฟนว่าจะไปค้างโรงแรมแถวนั้นซักคืน
พอเราไประบายในกลุ่มว่าน้อยใจ คอมเมนต์ที่ได้กลับมาก็คือ ทำไมไปโรงแรม ไหนว่าไม่ค่อยมีเงิน ทำไมไม่ยอมทนนอนร้อนๆ พิสูจน์ตัวเอง
เค้าจะมองเราเรื่องมากมั้ย ต้องไปนอนถึงโรงแรม ส่วนใหญ่ระบายอะไรในกลุ่มนี้ จะออกมาประมาณนี้ค่ะ หลังๆเราเลยเลือกที่จะไประบายเรื่องส่วนตัว
กับอีกกลุ่ม ที่เค้าไม่เคยตำหนิอะไรเราแบบนี้ แต่ให้กำลังใจให้เราสู้ต่อ ก็โดนมอง ว่าเราอยากจะได้แต่คำปลอบใจ เราก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าเรามัน
เลวร้ายขนาดนั้นเลยมั้ย)

(ตอนเล่าเรื่องเค้าระแวงเราจะฮุบสมบัติ เราก็เล่าไปว่าคงเพราะพ่อแฟนอคติกับคนอีสานด้วยแหล่ะ เพื่อนคนนึงเลยถามว่า
รู้ได้ไงว่าเค้าอคติ เลยเล่าไปว่าแฟนเคยเล่าให้ฟัง ว่าลูกน้องพ่อเคยลางานไปแต่งงาน แล้วโดนฝั่งเจ้าสาวเรียกสินสอดเป็นล้าน
พ่อแฟนเลยพูด ว่าคนอีสานมันก็เป็นอบบนี้ไปซะหมด ไม่ชอบเลยจริงๆ แล้วเราก็เลยเล่าไปถึงว่าพ่อแฟนเคยบอกแฟนเรา
ตอนจะขอให้พ่อไปสู่ขอให้ว่า ถ้าพ่อแม่เราเรียกสินสอดเป็นล้านจะทำไง ไม่ไปหรอก แต่คอมเมนต์โดยรวมจากเพื่อนกลุ่มนี้คือ
เราเริ่มอคติกับพ่อเค้าเอง จบที่เราโทษแต่พ่อ ไม่เคยโทษตัวเอง)

เพื่อนคนนี้บอก ว่าอยากให้เราหัดมองสังคมโลกภายนอกที่มองเราบ้าง
บอกว่าเราอยากได้แต่คำปลอบที่เยียวยา แต่คำแนะนำหรือข้อคิด เราจะไม่ค่อยอยากได้ยิน
เราเลยตัดสินใจเอามาลงโพสถามความคิดเห็นจากโลกภายนอกอย่างพันทิพไปเลยค่ะ 
ยินดีน้อมรับทุกความคิดเห็นนะคะ ถ้าเราผิดพลาดอะไรไปตรงไหนก็แนะนำมาได้เลยค่ะ จะขอบคุณมาก

***อันนี้ฝากคำถามไปถึงนักจิตวิทยานะคะ เราใจสลายกับเหตุการณ์นี้มาก
(เพราะคนที่พูดยาแรงใส่เราคือเพื่อนที่เรารักมากและเข้าใจมาตลอดว่าเค้าเข้าใจเรามากที่สุด แต่มันไม่ใช่ อ่านยังไงก็รู้สึกว่าเค้าอคติกับเราเอามากๆ)
จนถึงขั้นทำร้ายตัวเอง แบบนี้มันผิดปกติมากมั้ยคะ แต่ถ้าเราไม่ได้ลงโทษอะไรตัวเองเลย เราจะรู้สึกแย่อยู่แบบนั้นน่ะค่ะ

ขอบคุณพันทิพสำหรับพื้นที่ด้วยค่ะ

***จะว่าพิมพ์เข้าข้างตัวเองก็ช่าง เพราะเป็นสิ่งจริงๆที่โดน พิมพ์ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นทั้งหมด
หลังจากนั้นเหมือนจะเคลียร์กันได้ เราเลยมาลบกระทู้ออก ด้วยความสบายใจ
ได้รับกำลังใจมาว่า เดี๋ยวจดทะเบียนสมรสแล้วทุกอย่างก็ดีขึ้นเอง
แต่พอถึงวันจดจริงๆ ถูกเมินไม่มีเหตุผล พยายามคุยสานต่อแล้ว พยายามไม่น้อยใจก็ยังเมิน
ทั้งที่เอาไปบอกกลุ่มนี้เป็นกลุ่มแรก หวังจะเห็นเพื่อนตัวเองร่วมแสดงความยินดี แค่นั้น
การถูกเมินในวันที่ดีที่สุดวันนึงในชีวิตตัวเอง มันก็คงชัดแล้ว
คิดอีกแง่เรามันก็คงทำอะไรไว้เยอะจริง ความถนอมน้ำใจหรือความเห็นอดเห็นใจหรือความเมตตากันถึงไม่คู่ควร

แล้วก็นะ ถ้าปรึกษาอะไรแล้วได้แต่คอมเมนต์ได้แค่ในแง่ลบล้วนๆ ไม่เคยสงสารเห็นใจ ก็คงไม่ใช่เซฟโซนของเรา
เราคงเลวมากในสายตาพวกเขาคอมเมนต์กลับมาถึงได้มาในทางเดียวกันหมดทุกครั้ง
ก็ขออยู่กับคนที่มองเราอย่างเข้าใจก็แล้วกัน
ไม่ได้ต่าง เพื่อนนานหลัก 10 กว่าปีเหมือนกัน เพื่อนรุ่นเดียวกลุ่มเดียวกันตั้งแต่สมัยม.1ด้วย แต่พวกเค้าไม่เคยชี้ถูกชี้ผิดให้ เข้าใจและรับฟัง
แนะนำเวลาทำผิดพลาด แต่แค่ถ้าไม่ทำตามคำแนะนำพวกเขาก็ไม่ได้มาตัดเพื่อนรึเทเราทิ้ง
แต่เพื่อนๆที่ใจดีกลุ่มนี้ก็โดนด่า ว่าเป็นคนประเภทเดียวกันกับเราที่เราเอาแชทให้อ่านแล้วสุมหัวกันนินทา
(แต่ที่เล่าไปคือเราเอาแชททั้งหมดให้จิตแพทย์อ่านประเมินสถานการณ์กับอาการของเรา
เล่าเพื่อนก็แบบที่พิมพ์ข้างบน ถามความเห็นพวกเขาว่าเราผิดอะไร เหมือนที่ถามในพันทิพย์นี่ล่ะค่ะ)
นึกย้อนไปนะ โดนพ่อแฟนไล่ออกจากบ้านแบบไม่ทันตั้งตัวยังไม่สงสารเลย อยากให้นอนเสี่ยงฮีทสโตรกกันมากกว่าซะงั้น

ขอย้อนกลับมาแป่ะไว้อีกทีแล้วกัน ว่าตัวเองโดนอะไรมาบ้าง
ถ้าจะว่าเราเอาแต่ต่อว่าแต่คนอื่น มันคงน้อยกว่าที่พวกเธอต่อว่าเราเยอะมากล่ะ 
โดนประกาศตัดเราออกจากชีวิตทั้งที่เตรียมของขวัญไว้ให้ ความรู้สึกในตอนนั้น ถึงจะผ่านมาเป็นปี ก็ยังไม่ลืมหรอกนะ
ที่รุมด่าลอยกัน 3 คนในเฟส 2 คนในทวิตเตอร์ ถึงจะผ่านมาเป็นปี ก็ยังไม่ลืมหรอกนะ
รุมกันโพสด่าลอยๆไม่รู้กี่ครั้งจนเราหลอน
เมินกันไม่บอกเหตุผลจนเราป่วย
แล้วก็มันก็ช่วยไม่ได้อ่ะนะที่พอเห็นโพสมาพร้อมๆกันของเพื่อนซี้ 2 คน แล้วจะคิดว่าด่าเราเหมือนกัน ใครจะไปทันคิดว่าหมายถึงคนอื่น
ทั้งเรื่องไม่เข้าใจแล้วจิตวิปริตไปเอง ทั้งเรื่องอื่นๆที่เธอเคยโพสลอยๆแซะเราลงเฟสสมทบคนอื่นเสมอ
ไหนจะกดไลค์โพสที่ลากเราเข้าไปขำใส่หน้าอีก มันชัดพอแล้วว่าเธอเหม็นขี้หน้าเรามาตั้งนานแล้วก่อนที่เธอจะคิดไปเองว่าเราเมินเธอซะอีก
เลยนึกได้ เมินจริงคงคงไม่เลี้ยงขนมหรอกนะ ไม่ช่วยออกเงินจับกาช่าให้หรอกนะ เอาจริง เห็นว่าอยากได้ก็อยากช่วย ก็นึกเอ็นดูมาตลอด
เอาเถอะ คนเสียมารยาทแบบเราคงไปทำไรเค้าไม่รู้ตัว จะว่าแก้ตัวก็ตามใจ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่