ยอดโควิดวันนี้ ติดเชื้อเพิ่ม 6,524 ราย เสียชีวิต 56 ราย ป่วยสะสมระลอก เม.ย. 2,008,361 ราย
https://www.matichon.co.th/covid19/thai-covid19/news_3045208
ยอดโควิดวันนี้ ติดเชื้อเพิ่ม 6,524 ราย เสียชีวิต 56 ราย ป่วยสะสมระลอกเม.ย. 2,008,361 ราย
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ประจำวัน ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รวม 6,524 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวังฯ 5,856 ราย ผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุก 263 ราย ผู้ป่วยภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 393 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 12 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,008,361 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) หายป่วยกลับบ้าน 7,191 ราย หายป่วยสะสม 1,898,217 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้ป่วยกำลังรักษา 91,382 ราย เสียชีวิต 56 ราย
ไฟเซอร์ ให้สูตรผลิตยาโควิด-19 กับ 95 ปท. พบไม่มีไทยรวมอยู่ด้วย
https://www.matichon.co.th/foreign/news_3045100
ไฟเซอร์ ให้สูตรผลิตยาโควิด-19 กับ 95 ปท. พบไม่มีไทยรวมอยู่ด้วย
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ระบุว่า บริษัทไฟเซอร์ บริษัทผู้ผลิตยายักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ประกาศในวันเดียวกันนี้ว่า ไฟเซอร์ ได้ทำข้อตกลงกับ องค์กรสิทธิบัตรยาร่วม (เอ็มพีพี) เปิดทางให้บริษัทผู้ผลิตยาใน 95 ประเทศสามารถผลิตและจำหน่ายยา “แพ็ซ์โลวิด” ยารักษาโควิด-19 ในประเทศได้ในราคาถูก เนื่องจากไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์
รายงานระบุว่า 95 ประเทศที่จะได้รับอนุญาตให้ผลิตยา แพ็กซ์โลวิด เป็นประเทศในลุ่มรายได้ต่ำและ รายได้ปานกลาง ครอบคลุมประชากรโลกถึง 53 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตามในบรรดาประเทศที่จะได้รับอนุญาตให้ผลิตนั้นไม่มีไทยรวมอยู่ด้วย
ข้อตกลงดังกล่าวจะดำเนินการกับยาแพ็กซ์โลวิด ที่ผ่านการทดลองเชิงคลินิคและผ่านการอนุมัติจากผู้กำกับดูแลแล้ว
ทั้งนี้การทำข้อตกลงกับองค์การสิทธิบัตรยาร่วมของไฟเซอร์ มีขึ้นหลังจากเมื่อสิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา บริษัทเมอร์คทำข้อตกลงเปิดทางให้ 105 ประเทศ ที่เป็นประเทศรายได้ต่ำและรายได้ปานกลาง สามารถผลิตและจำหน่ายยา “โมลนูพิราเวีย” ยาเม็ดสำหรับรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ได้ ซึ่งในกลุ่มนี้ก็ไม่มีประเทศไทยเช่นกัน
ทั้งนี้ยาเม็ด “แพกซ์โลวิด” ของไฟเซอร์นั้น เป็นยาประเภท “โปรตีเนสอินฮิบิเตอร์” เป็นยาที่ทำงานในลักษณะเดียวกับยาต้านไวรัสเอชไอวี สามารถย่อสลาย “เอนไซม์โควิด-19” ซึ่งเป็นส่วนที่ไวรัสใช้ยึดเกาะในจมูก คอ และปอดของมนุษย์
จากการทดลองเชิงคลินิคเบื้องต้นสามารถลดโอกาสเข้าโรงพยาบาล หรือเสียชีวิต ของผู้มีอาการจากการติดเชื้อโควิด-19 และมีความเสี่ยงที่จะป่วยหนัก ได้ถึง 89% ในกลุ่มที่ได้รับยาภายใน 3 วัน ขณะที่กลุ่มได้รับยาภายใน 5 วันหลังมีอาการลดโอกาสเข้าโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้ 85%
ส่วนยาเม็ด “โมลนูพิราเวีย” ของเมอร์ค เป็นยาที่มีสรรพคุณในการยับยั้งการแบ่งตัวและแพร่พันธุ์ของไวรัสด้วยการจัดการกับสารพันธุกรรมของไวรัสทำให้ไม่สามารถแพร่พันธุ์ต่อไปได้
โดย เมอร์ค เปิดเผยผลการทดลองเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมพบว่า ยาเม็ด “โมลนูพิราเวีย” ลดความเสี่ยงในการป่วยหนักหรือเสียชีวิตลง 50% หลังจากให้ยากับกลุ่มตัวอย่างไป 5 วันหลังมีอาการ อย่างไรก็ตามไม่มีข้อมูลในกรณีที่ให้ยาหลังจากมีอาการ 3 วัน
TDRI ชงรื้อรัฐราชการ สร้างความพร้อมสู้ "โลกใหม่"
https://www.bangkokbiznews.com/business/972256
“ทีดีอาร์ไอ” ชงรื้อรัฐราชการ สร้างความพร้อมสู้ “โลกใหม่” ชี้ การนำวัคซีน "โควิด-19” ล่าช้า สูญเงินหลายหมื่นล้านบาท/เดือน แนะ รัฐราชการต้องทำงานแบบเครือข่าย กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ร่วมมือภาคธุรกิจ-ประชาสังคม ลดยึดติดกฎระเบียบและเปิดกว้างทางการเมือง
นาย
ศุภณัฏฐ์ ศศิวุฒิวัฒน์ นักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ กล่าวในงานสัมมนา
TDRI Annual Public Virtua Conference 2021 “ความท้าทายและจินตนาการแห่งโลกใหม่: โมเดลใหม่ในการพัฒนาประเทศหลังโควิด-19” ว่า ประเทศไทยเกิดความล้มเหลวในการจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 โดยโจทย์ใหญ่ของไทยคือใช้เวลาจัดซื้อนาน อีกทั้ง ยังปิดความร่วมมือ ส่งผลเสียมหาศาล สร้างผลเสียทางเศรษฐกิจจากการปิดประเทศหลายหมื่นล้านบาทต่อเดือน อีกทั้ง ยังมีการสูญเสียชีวิตทั้งที่ควรจะหลีกเลี่ยงได้ ได้แต่ออกมาขอโทษประชาชน ซึ่งการจัดการวัคซีนโควิด-19 สหรัฐอเมริกาผลิตวัคซีนโควิด-19 ได้ภายในปีเดียวจากปกติ 10 ปี โดยร่วมลงทุนกับเอกชน เงินอุดหนุนพัฒนา 2,500 ล้านดอลลาร์ จนสามารถผลิตขายได้ เป็นการเปิดวาร์ปความเร็วสูง โดยลดขั้นตอนการทดลอง และยอมรับที่จะเกิดคความล้มเหลว
ในส่วนของการแก้มลพิษทางอากาศ เป็นปัญหาที่มีความซับซ้อน เกี่ยวพันกับหลายด้านทั้ง เรื่องสุขภาพ สิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรม ตัวอย่าง เมืองหลุยส์วิลล์ ได้แก้ปัญหาได้ดี ที่ผ่านมาเป็นเมืองที่มีอากาศแย่ที่สุด จนได้มีการปรับผังเมืองเพื่ออากาศสะอาด โดยร่วมกับสตาร์ทอัพ มูลนิธิมุ่งลดอาการหอบฉุกเฉิน แจกเซ็นเซอร์ติดที่ยาพ่นฉุกเฉินและพัฒนาแอปพลิเคชั่นแจ้งเตือนเพื่อเก็บข้อมูลการพ่นยา และเตือนความเสี่ยงอาการหอบฉุกเฉิน สามารถลดวันที่คนไข้มีอาการฉุกเฉินเหลือ 36 วัน จาก 180 วันในเวลา 1 ปี นำไปสู่แผนการปรับผังเมืองในพื้นที่เสี่ยง อีกทั้งยังปลูกต้นไม้เพิ่ม ลดจำนวนรถบรรทุกที่วิ่งผ่าน และลดจำนวนโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ที่เป็นที่มาของมลพิษ และให้รถบรรทุกหลีกเลี่ยงเส้นทาง เป็นต้น
สำหรับการรับมือมลพิษทางอากาศในเมืองไทยถือเป็นวาระแห่งชาติกว่า 15 ปี แต่ยังไม่มีแนวทางแก้ไขที่ชัดเจน ปัจจุบันพบว่ามีมลพิษทางภาคเหนือ หรือเกิดค่า PM2.5 ซึ่งรัฐราชการไทยเน้นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น มีการฉีดน้ำ ทำฝนหลวง แต่ไม่เห็นรูปธรรมในการจัดการ ที่มาของฝุ่นร่วมกันระหว่างหน่วยงาน เพราะยังมีรถเมล์ควันดำวิ่งบนถนน และมีการเผาในพื้นที่เกษตรค่อนข้างมาก ก่อผลเสียหายต่อสุขภาพและชีวิตเช่นในปี2556 พบว่าคนไทยเสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศกว่า 4.8 หมื่นคน
นอกจากนี้ การทำโครงการขนาดใหญ่ เช่น การสำรวจอวกาศที่ผ่านมาจะเห็น นาซาท่องอวกาศด้วยยานเอกชนจัดซื้อแบบเหมาบริการขนส่งไปสถานีอวกาศ โดยให้ทุนพัฒนาบางส่วนและความเป็นเจ้าของ ทำให้เอกชนลดต้นทุนการพัฒนาและการดำเนินการได้ ซึ่งต้นทุนการพัฒนาที่นาซาพัฒนาเองมีต้นทุนสูงถึงมูลค่า 27,400 ดอลลาร์ ส่วนยานที่บริษัทผลิตเองมีมูลค่าต้นทุนต่ำกว่านาซาผลิตเอง 10 เท่า นอกจากนี้ ยังถ่ายโอน ความรู้และเทคโนโลยีให้ภาคเอกชนพัฒนาต่อในโครงการตัวเองให้ใช้บริการศูนย์วิจัยออกแบบพัฒนาทดสอบ อาทิ ฝึกอบรมนักบินอวกาศ เป็นต้น
ในขณะที่ประเทศไทย กรณีโครงการส่งยานเอวกาศไปดวงจันทร์ในอีก 7 ปี การตั้งเป้าหมายดังกล่าว เกิดการตั้งข้อสงสัยแต่ความสงสัยนี้ ได้มุ่งตรงไปที่ประสิทธิภาพการบริหารจัดการภาครัฐ ยกตัวอย่าง โครงการภาคขนส่งภาคพื้นดิน เช่นโครงการรถไฟรางคู่จะเสร็จสิ้นปีหน้าพร้อมใช้งาน แต่การจัดซื้อหัวรถจักรยังล่าช้าทำให้เกิดต้นทุนค่าเสียโอกาส และการจัดซื้อหัวรถจักรใหม่ไม่พอทดแทนคันเก่าที่กำลังปลดระวางและความต้องการที่จะเพิ่มขึ้นอีกด้วย
จากข้อมูลข้างต้น จึงทำให้เห็นว่ารัฐราชการไทยแบบเดิมไปต่อไม่ได้ ไม่สามารถแก้ปัญหาในเรื่องที่ต้องการตอบสนองแบบใหม่ได้ เช่นการจัดหาวัคซีนต่างๆ เพราะยังยึดติดกับการรวมศูนย์อำนาจที่ส่วนกลาง ทำงานแยกส่วนมองเฉพาะส่วนงานตัวเองและไม่สามารถตอบสนอโครงการสมัยใหม่ได้ และยึดระเบียบของตัวเอง ดังนั้น บทเรียนสำคัญนี้ รัฐราชการควรสร้างความร่วมมือภาคเอกชน สังคม ไม่มองว่าตัวเองรู้ดีที่สุด ไม่ได้มองเฉพาะภายในองค์กรตัวเองเท่านั้น ควรมองภาคส่วนอื่นเป็นภาคี พัฒนารู้จักใช้ให้ประโยชน์กับส่วนอื่น รัฐต้องรู้จักใช้ประโยชน์จากภาคเอกชน และปรับให้องค์กรมีความยืดหยุ่น สนใจผลลัพธ์ไม่ยึดติดกับขั้นตอน กล้าทดลองยอมรับความล้มเหลว นำไปสู่การทำงานแบบเครือข่ายได้
นอกจากนี้ โมเดลรัฐราชการไทย ยังเน้นคิดเองทำเอง ยึดแนวปฏิบัติตัวเอง ดึงทรัพยากรจากสังคมมาก โดยข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนปี 2563 ระบว่า สัดส่วนคนในภาครัฐปี2563 คนในส่วนกลาง 60% ส่วนภูมิภาค 21.7% ส่วนท้องถิ่น 18.3% ส่วนงบประมาณมีงบบุคลากรถึง 40% ส่วนงบพัฒนามีเพียง 30% อีกทั้ง ยังเน้นกระบวนการมากกว่าผลลัพธ์ เช่น ระบุขั้นตอนและกระบวนการที่ไม่จำเป็นต่อการบรรลุผลลัพธ์ในการจัดจ้างที่ปรึกษา และ ยึดกฎระเบียบตัวเองเป็นหลักมีต้นทุนที่ไม่จำเป็นรวมประมาณ 1.3 แสนล้านบาทต่อปี จาก 1,000 กว่ากระบวนงานของการอนุญาต
ดังนั้น การปรับสู่รัฐเครือข่ายต้องปรับสมดุลระหว่าง 4 ภาคส่วนคือรัฐส่วนกลาง ประชาสังคม ท้องถิ่น และธุรกิจ คือ ปรับบทบาทของรัฐเป็นผู้อำนวยการทำงานเครือข่าย กระจายอำนาจสู่เครือข่ายท้องถิ่น ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมแก้ไขปัญหาและส่งเสริมศักยภาพของภาคประชาสังคม
นอกจากนี้ รัฐราชการต้องปรับการทำงานสอดคล้องกับบทบาทเอื้ออำนวยเครือข่าย กำลังคน มองภาคประชาสังคม-ธุรกิจเป็นทีมงานเดียวกัน เปิดรับข้อมูลกับภาคประชาสังคม ลดขั้นตอนเพื่อให้ทำงานกับภาคส่วนอื่นได้ กระจายอำนาจสู่เครือข่ายท้องถิ่น ต้องคืนประชาธิปไตยท้องถิ่น โดยให้ท้องถิ่นจัดทำแผนกระจายอำนาจตามเป้าหมายการพัฒนาท้องถิ่น 2548 สร้างเครือข่ายเพื่อปรับความพร้อมในการรับถ่ายโอนภารกิจ และแก้กฎหมายกระทรวงมหาดไทยที่จำกัดอิสระของท้องถิ่นโดยไม่จำเป็น
ทั้งนี้ ควรส่งเสริมให้ภาคธุรกิจคิดสร้างสรรค์นวัตกรรม ลดการผูกขาดเพิ่มการแข่งขันโครงการสร้างรายรับของธุรกิจ ลดกฎระเบียบที่จำกัดการเข้าสู่ตลาดของบริษัทขนาดเล็กและกลาง ส่งเสริมศักยภาพประชาสังคม และการตรวจสอบการทำงานของภาครัฐ เช่นเปิดเผยข้อมูล Open Data มากยิ่งขึ้น เป็นต้น
JJNY : ติดเชื้อ6,524 เสียชีวิต56│ไฟเซอร์ให้สูตรผลิตยาโควิด 95ปท.ไม่มีไทย│TDRI ชงรื้อรัฐราชการ│“ธีระชัย”หนุนลดภาษีน้ำมัน
https://www.matichon.co.th/covid19/thai-covid19/news_3045208
ยอดโควิดวันนี้ ติดเชื้อเพิ่ม 6,524 ราย เสียชีวิต 56 ราย ป่วยสะสมระลอกเม.ย. 2,008,361 ราย
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน สถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ประจำวัน ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค. รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 รวม 6,524 ราย จำแนกเป็น ผู้ป่วยจากระบบเฝ้าระวังฯ 5,856 ราย ผู้ป่วยจากการค้นหาเชิงรุก 263 ราย ผู้ป่วยภายในเรือนจำ/ที่ต้องขัง 393 ราย ผู้ป่วยมาจากต่างประเทศ 12 ราย ผู้ป่วยสะสม 2,008,361 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) หายป่วยกลับบ้าน 7,191 ราย หายป่วยสะสม 1,898,217 ราย (ตั้งแต่ 1 เมษายน) ผู้ป่วยกำลังรักษา 91,382 ราย เสียชีวิต 56 ราย
ไฟเซอร์ ให้สูตรผลิตยาโควิด-19 กับ 95 ปท. พบไม่มีไทยรวมอยู่ด้วย
https://www.matichon.co.th/foreign/news_3045100
ไฟเซอร์ ให้สูตรผลิตยาโควิด-19 กับ 95 ปท. พบไม่มีไทยรวมอยู่ด้วย
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน ระบุว่า บริษัทไฟเซอร์ บริษัทผู้ผลิตยายักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ประกาศในวันเดียวกันนี้ว่า ไฟเซอร์ ได้ทำข้อตกลงกับ องค์กรสิทธิบัตรยาร่วม (เอ็มพีพี) เปิดทางให้บริษัทผู้ผลิตยาใน 95 ประเทศสามารถผลิตและจำหน่ายยา “แพ็ซ์โลวิด” ยารักษาโควิด-19 ในประเทศได้ในราคาถูก เนื่องจากไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์
รายงานระบุว่า 95 ประเทศที่จะได้รับอนุญาตให้ผลิตยา แพ็กซ์โลวิด เป็นประเทศในลุ่มรายได้ต่ำและ รายได้ปานกลาง ครอบคลุมประชากรโลกถึง 53 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตามในบรรดาประเทศที่จะได้รับอนุญาตให้ผลิตนั้นไม่มีไทยรวมอยู่ด้วย
ข้อตกลงดังกล่าวจะดำเนินการกับยาแพ็กซ์โลวิด ที่ผ่านการทดลองเชิงคลินิคและผ่านการอนุมัติจากผู้กำกับดูแลแล้ว
ทั้งนี้การทำข้อตกลงกับองค์การสิทธิบัตรยาร่วมของไฟเซอร์ มีขึ้นหลังจากเมื่อสิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา บริษัทเมอร์คทำข้อตกลงเปิดทางให้ 105 ประเทศ ที่เป็นประเทศรายได้ต่ำและรายได้ปานกลาง สามารถผลิตและจำหน่ายยา “โมลนูพิราเวีย” ยาเม็ดสำหรับรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19 ได้ ซึ่งในกลุ่มนี้ก็ไม่มีประเทศไทยเช่นกัน
ทั้งนี้ยาเม็ด “แพกซ์โลวิด” ของไฟเซอร์นั้น เป็นยาประเภท “โปรตีเนสอินฮิบิเตอร์” เป็นยาที่ทำงานในลักษณะเดียวกับยาต้านไวรัสเอชไอวี สามารถย่อสลาย “เอนไซม์โควิด-19” ซึ่งเป็นส่วนที่ไวรัสใช้ยึดเกาะในจมูก คอ และปอดของมนุษย์
จากการทดลองเชิงคลินิคเบื้องต้นสามารถลดโอกาสเข้าโรงพยาบาล หรือเสียชีวิต ของผู้มีอาการจากการติดเชื้อโควิด-19 และมีความเสี่ยงที่จะป่วยหนัก ได้ถึง 89% ในกลุ่มที่ได้รับยาภายใน 3 วัน ขณะที่กลุ่มได้รับยาภายใน 5 วันหลังมีอาการลดโอกาสเข้าโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้ 85%
ส่วนยาเม็ด “โมลนูพิราเวีย” ของเมอร์ค เป็นยาที่มีสรรพคุณในการยับยั้งการแบ่งตัวและแพร่พันธุ์ของไวรัสด้วยการจัดการกับสารพันธุกรรมของไวรัสทำให้ไม่สามารถแพร่พันธุ์ต่อไปได้
โดย เมอร์ค เปิดเผยผลการทดลองเมื่อวันที่ 1 ตุลาคมพบว่า ยาเม็ด “โมลนูพิราเวีย” ลดความเสี่ยงในการป่วยหนักหรือเสียชีวิตลง 50% หลังจากให้ยากับกลุ่มตัวอย่างไป 5 วันหลังมีอาการ อย่างไรก็ตามไม่มีข้อมูลในกรณีที่ให้ยาหลังจากมีอาการ 3 วัน
TDRI ชงรื้อรัฐราชการ สร้างความพร้อมสู้ "โลกใหม่"
https://www.bangkokbiznews.com/business/972256
“ทีดีอาร์ไอ” ชงรื้อรัฐราชการ สร้างความพร้อมสู้ “โลกใหม่” ชี้ การนำวัคซีน "โควิด-19” ล่าช้า สูญเงินหลายหมื่นล้านบาท/เดือน แนะ รัฐราชการต้องทำงานแบบเครือข่าย กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ร่วมมือภาคธุรกิจ-ประชาสังคม ลดยึดติดกฎระเบียบและเปิดกว้างทางการเมือง
นายศุภณัฏฐ์ ศศิวุฒิวัฒน์ นักวิชาการสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือ ทีดีอาร์ไอ กล่าวในงานสัมมนา TDRI Annual Public Virtua Conference 2021 “ความท้าทายและจินตนาการแห่งโลกใหม่: โมเดลใหม่ในการพัฒนาประเทศหลังโควิด-19” ว่า ประเทศไทยเกิดความล้มเหลวในการจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 โดยโจทย์ใหญ่ของไทยคือใช้เวลาจัดซื้อนาน อีกทั้ง ยังปิดความร่วมมือ ส่งผลเสียมหาศาล สร้างผลเสียทางเศรษฐกิจจากการปิดประเทศหลายหมื่นล้านบาทต่อเดือน อีกทั้ง ยังมีการสูญเสียชีวิตทั้งที่ควรจะหลีกเลี่ยงได้ ได้แต่ออกมาขอโทษประชาชน ซึ่งการจัดการวัคซีนโควิด-19 สหรัฐอเมริกาผลิตวัคซีนโควิด-19 ได้ภายในปีเดียวจากปกติ 10 ปี โดยร่วมลงทุนกับเอกชน เงินอุดหนุนพัฒนา 2,500 ล้านดอลลาร์ จนสามารถผลิตขายได้ เป็นการเปิดวาร์ปความเร็วสูง โดยลดขั้นตอนการทดลอง และยอมรับที่จะเกิดคความล้มเหลว
ในส่วนของการแก้มลพิษทางอากาศ เป็นปัญหาที่มีความซับซ้อน เกี่ยวพันกับหลายด้านทั้ง เรื่องสุขภาพ สิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรม ตัวอย่าง เมืองหลุยส์วิลล์ ได้แก้ปัญหาได้ดี ที่ผ่านมาเป็นเมืองที่มีอากาศแย่ที่สุด จนได้มีการปรับผังเมืองเพื่ออากาศสะอาด โดยร่วมกับสตาร์ทอัพ มูลนิธิมุ่งลดอาการหอบฉุกเฉิน แจกเซ็นเซอร์ติดที่ยาพ่นฉุกเฉินและพัฒนาแอปพลิเคชั่นแจ้งเตือนเพื่อเก็บข้อมูลการพ่นยา และเตือนความเสี่ยงอาการหอบฉุกเฉิน สามารถลดวันที่คนไข้มีอาการฉุกเฉินเหลือ 36 วัน จาก 180 วันในเวลา 1 ปี นำไปสู่แผนการปรับผังเมืองในพื้นที่เสี่ยง อีกทั้งยังปลูกต้นไม้เพิ่ม ลดจำนวนรถบรรทุกที่วิ่งผ่าน และลดจำนวนโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ที่เป็นที่มาของมลพิษ และให้รถบรรทุกหลีกเลี่ยงเส้นทาง เป็นต้น
สำหรับการรับมือมลพิษทางอากาศในเมืองไทยถือเป็นวาระแห่งชาติกว่า 15 ปี แต่ยังไม่มีแนวทางแก้ไขที่ชัดเจน ปัจจุบันพบว่ามีมลพิษทางภาคเหนือ หรือเกิดค่า PM2.5 ซึ่งรัฐราชการไทยเน้นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น มีการฉีดน้ำ ทำฝนหลวง แต่ไม่เห็นรูปธรรมในการจัดการ ที่มาของฝุ่นร่วมกันระหว่างหน่วยงาน เพราะยังมีรถเมล์ควันดำวิ่งบนถนน และมีการเผาในพื้นที่เกษตรค่อนข้างมาก ก่อผลเสียหายต่อสุขภาพและชีวิตเช่นในปี2556 พบว่าคนไทยเสียชีวิตจากมลพิษทางอากาศกว่า 4.8 หมื่นคน
นอกจากนี้ การทำโครงการขนาดใหญ่ เช่น การสำรวจอวกาศที่ผ่านมาจะเห็น นาซาท่องอวกาศด้วยยานเอกชนจัดซื้อแบบเหมาบริการขนส่งไปสถานีอวกาศ โดยให้ทุนพัฒนาบางส่วนและความเป็นเจ้าของ ทำให้เอกชนลดต้นทุนการพัฒนาและการดำเนินการได้ ซึ่งต้นทุนการพัฒนาที่นาซาพัฒนาเองมีต้นทุนสูงถึงมูลค่า 27,400 ดอลลาร์ ส่วนยานที่บริษัทผลิตเองมีมูลค่าต้นทุนต่ำกว่านาซาผลิตเอง 10 เท่า นอกจากนี้ ยังถ่ายโอน ความรู้และเทคโนโลยีให้ภาคเอกชนพัฒนาต่อในโครงการตัวเองให้ใช้บริการศูนย์วิจัยออกแบบพัฒนาทดสอบ อาทิ ฝึกอบรมนักบินอวกาศ เป็นต้น
ในขณะที่ประเทศไทย กรณีโครงการส่งยานเอวกาศไปดวงจันทร์ในอีก 7 ปี การตั้งเป้าหมายดังกล่าว เกิดการตั้งข้อสงสัยแต่ความสงสัยนี้ ได้มุ่งตรงไปที่ประสิทธิภาพการบริหารจัดการภาครัฐ ยกตัวอย่าง โครงการภาคขนส่งภาคพื้นดิน เช่นโครงการรถไฟรางคู่จะเสร็จสิ้นปีหน้าพร้อมใช้งาน แต่การจัดซื้อหัวรถจักรยังล่าช้าทำให้เกิดต้นทุนค่าเสียโอกาส และการจัดซื้อหัวรถจักรใหม่ไม่พอทดแทนคันเก่าที่กำลังปลดระวางและความต้องการที่จะเพิ่มขึ้นอีกด้วย
จากข้อมูลข้างต้น จึงทำให้เห็นว่ารัฐราชการไทยแบบเดิมไปต่อไม่ได้ ไม่สามารถแก้ปัญหาในเรื่องที่ต้องการตอบสนองแบบใหม่ได้ เช่นการจัดหาวัคซีนต่างๆ เพราะยังยึดติดกับการรวมศูนย์อำนาจที่ส่วนกลาง ทำงานแยกส่วนมองเฉพาะส่วนงานตัวเองและไม่สามารถตอบสนอโครงการสมัยใหม่ได้ และยึดระเบียบของตัวเอง ดังนั้น บทเรียนสำคัญนี้ รัฐราชการควรสร้างความร่วมมือภาคเอกชน สังคม ไม่มองว่าตัวเองรู้ดีที่สุด ไม่ได้มองเฉพาะภายในองค์กรตัวเองเท่านั้น ควรมองภาคส่วนอื่นเป็นภาคี พัฒนารู้จักใช้ให้ประโยชน์กับส่วนอื่น รัฐต้องรู้จักใช้ประโยชน์จากภาคเอกชน และปรับให้องค์กรมีความยืดหยุ่น สนใจผลลัพธ์ไม่ยึดติดกับขั้นตอน กล้าทดลองยอมรับความล้มเหลว นำไปสู่การทำงานแบบเครือข่ายได้
นอกจากนี้ โมเดลรัฐราชการไทย ยังเน้นคิดเองทำเอง ยึดแนวปฏิบัติตัวเอง ดึงทรัพยากรจากสังคมมาก โดยข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนปี 2563 ระบว่า สัดส่วนคนในภาครัฐปี2563 คนในส่วนกลาง 60% ส่วนภูมิภาค 21.7% ส่วนท้องถิ่น 18.3% ส่วนงบประมาณมีงบบุคลากรถึง 40% ส่วนงบพัฒนามีเพียง 30% อีกทั้ง ยังเน้นกระบวนการมากกว่าผลลัพธ์ เช่น ระบุขั้นตอนและกระบวนการที่ไม่จำเป็นต่อการบรรลุผลลัพธ์ในการจัดจ้างที่ปรึกษา และ ยึดกฎระเบียบตัวเองเป็นหลักมีต้นทุนที่ไม่จำเป็นรวมประมาณ 1.3 แสนล้านบาทต่อปี จาก 1,000 กว่ากระบวนงานของการอนุญาต
ดังนั้น การปรับสู่รัฐเครือข่ายต้องปรับสมดุลระหว่าง 4 ภาคส่วนคือรัฐส่วนกลาง ประชาสังคม ท้องถิ่น และธุรกิจ คือ ปรับบทบาทของรัฐเป็นผู้อำนวยการทำงานเครือข่าย กระจายอำนาจสู่เครือข่ายท้องถิ่น ส่งเสริมให้ภาคธุรกิจคิดสร้างสรรค์นวัตกรรมแก้ไขปัญหาและส่งเสริมศักยภาพของภาคประชาสังคม
นอกจากนี้ รัฐราชการต้องปรับการทำงานสอดคล้องกับบทบาทเอื้ออำนวยเครือข่าย กำลังคน มองภาคประชาสังคม-ธุรกิจเป็นทีมงานเดียวกัน เปิดรับข้อมูลกับภาคประชาสังคม ลดขั้นตอนเพื่อให้ทำงานกับภาคส่วนอื่นได้ กระจายอำนาจสู่เครือข่ายท้องถิ่น ต้องคืนประชาธิปไตยท้องถิ่น โดยให้ท้องถิ่นจัดทำแผนกระจายอำนาจตามเป้าหมายการพัฒนาท้องถิ่น 2548 สร้างเครือข่ายเพื่อปรับความพร้อมในการรับถ่ายโอนภารกิจ และแก้กฎหมายกระทรวงมหาดไทยที่จำกัดอิสระของท้องถิ่นโดยไม่จำเป็น
ทั้งนี้ ควรส่งเสริมให้ภาคธุรกิจคิดสร้างสรรค์นวัตกรรม ลดการผูกขาดเพิ่มการแข่งขันโครงการสร้างรายรับของธุรกิจ ลดกฎระเบียบที่จำกัดการเข้าสู่ตลาดของบริษัทขนาดเล็กและกลาง ส่งเสริมศักยภาพประชาสังคม และการตรวจสอบการทำงานของภาครัฐ เช่นเปิดเผยข้อมูล Open Data มากยิ่งขึ้น เป็นต้น