เพื่อนๆ ... เชื่อว่า ผีมีจริงไหม ?
ผมคนหนึ่งล่ะ ที่ไม่เชื่อ...จนกระทั่ง
ช่วงต้นปี พ.ศ. 2535
มอเตอร์ไซด์ Kawasaki KR ผมหาย...!!
จอดนอนกกสาวเมื่อคืนที่ซอยสอนไทย
พอตื่นมา อัตรธานหายไปซะแล้ว...
ดูจากสถานที่เกิดเหตุ
มีร่องรอยเศษโลหะแตกหัก หล่นอยู่
มันคงขึ้นไปนั่งบนมอเตอร์ไซด์ผม
แล้วตีนยัน ถีบแฮนด์จนที่ล็อคคอหัก
จะต่อตรงหรือจูงเอาไปเฉยๆ ก็คงแล้วแต่คุณพี่เขา
เศร้า...ง่ะ
นอกจากไปแจ้งความแล้ว หน้าที่ต่อไปของผมอีกก็คือ
ผ่อนค่างวดลูกกุญแจมอเตอร์ไซด์...สินะเนี่ย
ต้นกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 คำสั่งลาออกจากราชการได้รับการอนุมัติ
ผมไปทำงานต่อเป็นช่างเครื่องบินที่สายการบินแห่งหนึ่ง
ดูสภาพการณ์แล้ว เงินเดือนก็สูงกว่า มีโอทีด้วย
คงมีปัญญาผ่อนมอเตอร์ไซด์คันใหม่ได้แน่
เลยไปจับมอเตอร์ไซด์มือสอง แถวคลองเตยมาคัน
Honda CBR-250 RR สีแดง-ดำ 250 ซีซี 4 สูบ
ชุดช่างเครื่องบินบวกกับหมวกกันน็อคเท่ ๆ
แล้วขึ้นคล่อมกับเจ้ามอเตอร์ไซด์คันนี้นะ
ขับไปทำงานแต่ละทีเนี่ย สาวๆ ในซอยแถวบ้าน
หากเดินอยู่กับแม่ ก็ต้องพากันสะกิด
ขอบอก...
ที่สิงสถิตของผมตอนกลางคืน ก็คือคาเฟ่ทั่วไปแถวบ้าน
แค่ขับเข้าไปจอด สาวๆ หน้าร้านก็มักจะกรี๊ดกัน
อีกทั้ง...ชอบถามจนผมรำคาญ
ว่าเป็นอะไรกับ...หลิว เต๋อหัว ?
วันนี้ ขับมาเที่ยวทะเลที่สัตหีบ
เดินเตะยอดคลื่นเล่นที่หาดเงียบๆ แห่งหนึ่ง
ใกล้ๆ สนามบินอู่ตะเภา
พลัน...ก็สะดุดตาเข้ากับที่พักแห่งหนึ่งเข้าอีก
เขาเอาเครื่องบินลำเลียงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
แบบ C - 47 Dakota ที่ใช้ขนส่งทางทหารมาทำเป็นที่พัก
คุยกับทหารเรือแถวนั้น ก็ได้ข้อมูลมาว่า
เป็นเครื่องที่บินหนีตายมาจากเวียดนามใต้
ลงที่อู่ตะเภา สมัยกรุงไซ่ง่อนแตกเมื่อปี พ.ศ. 2518
ตอนที่มานั้น เป็นเครื่องบินแบบ AC - 47D Spooky
ก็เครื่องดาโกต้านั่นแหละ แต่นำปืนกลอากาศติดเข้าไป
จากเดิมที่ใช้ในภารกิจรับส่งทหารและยุทโธปกรณ์
พอติดปืนกลอากาศเข้าไป 3 กระบอกเสร็จ
กลายเป็นเครื่อง Gunship รับหน้าที่ฆ่าเวียดกงจากทางอากาศ
ฉายาเดิม Dakota ที่มีความหมายว่า...เพื่อน
ก็แปรเปลี่ยนกลายมาเป็น Spooky ที่แปลว่า น่ากลัว
ได้ยินประวัติเครื่องลำนี้แล้ว
ผมถึงกับ อึ้ง ทึ่งและเสียว
เจ้าลำนี้เคยผ่านศึกสงครามเวียดนามมา
ไม่แน่นะ อาจจะรวมไปถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย
อยากจะนอนบนเครื่องบินมานานแล้ว ผมรี่ตรงเข้าไปเช็คอิน
ได้กุญแจเสร็จ ก็นำข้าวของขึ้นไปเก็บ
บรรยากาศยามเย็นที่นี่ ค่อนข้างสงบเงียบดี
มีร้านอาหารประจำหาด อยู่ติดริมทะเล
ตอนกลางคืน เสียงคลื่นกระทบฝั่งทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
แต่ก็จะออกเหนียว ๆ ตัวซักกะหน่อยจากลมทะเลนะ
ผมนั่งละเลียดเบียร์ในร้านจนว่างเปล่าไปแล้วหลายขวด
พอร้านปิดซัก 4 ทุ่ม ผมเองก็กรึ่มๆ กำลังได้ที่
อาการแอลกอฮอล์ลงไข่...โรคประจำตัวชักกำเริบ
ออกไปดูแสงสี ยามราตรีในย่านนี้ซักอีกหน่อย...จะเป็นไรไป
ผมควบมอเตอร์ไซด์ไปต่อที่คาเฟ่ข้างนอก
เมาแป้ดกลับเข้ามาอีกที พร้อมสาวทรงสะบึม
ดูหล่อนค่อนข้างจะพึงพอใจกับที่พักด้วย
เปิดแอร์เสร็จ ผมกับหล่อนก็เริ่มบิ้วอารมณ์กัน
กำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่แล้วเชียว
เสียงดังก๊อกๆ แก๊กๆ มาจากทางหัวเครื่องบิน
ห้องนักบิน...
อารมณ์ผมพลันสะดุด บอกน้องเขาหยุดแพร้บ
ค่อยๆ คลานไปยังต้นเสียงที่ได้ยิน...ห้องนักบิน
จากประสพการณ์ในการเป็นช่างเครื่องบินของผม
เสียงที่ได้ยิน ก๊อก แก๊ก คล้ายกลไกเครื่องจักรกำลังทำงานอยู่นี้
มันช่างคุ้นหูผมเสียจริงๆ พับผ่า...
คล้ายๆ กับเสียงอะไร...น้า ?
คลานไป ก็คิดไปด้วย
เฮ่ย...เสียงรีเลย์ทำงาน นี่หว่า !!
(Relay รีเลย์ คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทำหน้าที่เป็นสวิตซ์ตัด-ต่อวงจรไฟฟ้า
โดยใช้อำนาจแม่เหล็กในการดึงดูดหน้าสัมผัสของคอนแทค)
ใช่เลย...ในวงจรต่างๆ ของระบบไฟฟ้าของเครื่องบินที่ผมซ่อมอยู่
เวลาที่รีเลย์ทำงานเพื่อตัดหรือต่อวงจรไฟฟ้านั้น
แม่เหล็กไฟฟ้าในตัวรีเลย์ มันก็จะดูดหน้าสัมผัสให้มาติด
ช่างอย่างเรานี้สามารถรู้ได้ทันทีเลยว่า รีเลย์ทำงานแล้ว
เพราะเสียงมันจะแลบออกมาให้ได้ยินดัง....ก๊อก
พอรีเลย์หยุดทำงาน แม่เหล็กไฟฟ้าก็จะปล่อยหน้าสัมผัสให้จากกัน
เสียงรีเลย์ ก็จะดังอีกที...แก๊ก
ช่วงที่มันทำงานผิดปรกติ มันก็อาจจะต่อวงจรซักครู่ แล้วก็ตัด
เสียงที่ได้ยินก็จะเป็น...ก๊อก แล้วก็ แก๊ก
ผิดปรกติมากๆ เข้า ประเภทที่ว่า ตัดๆ ต่อๆ วงจรไฟฟ้าตลอด
เสียงก็จะเป็น ก๊อก...แก๊ก ก๊อก...แก๊ก ก๊อก...แก๊ก
เหมือนจะรู้ว่าผมกำลังมา เสียงก๊อกๆ แก๊กๆ นั้น...เงียบไป
ในห้องนักบินเนี่ย แม้แต่เก้าอี้นักบินก็ไม่มี
อุปกรณ์หรือเครื่องวัดต่างๆ ถูกรื้อถอดออก หายหมด จนแทบจะไม่เหลือหลอ
ผมเงี่ยหูรออยู่ตรงนั้นเป็นครู่ ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
มโนจิตของผมเริ่มทำงาน...
คล้ายๆ กับจะตกอยู่ในภวังค์
(เครดิตจงมีแก่เจ้าของภาพนะ ขออนุญาตเอามาลงประกอบเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ)
เป็นภาพเครื่องบินลายพรางของกองทัพสหรัฐอเมริกา
มีกระบอกปืนยื่นออกมานอกลำตัวเครื่องด้านซ้ายถึง 2 กระบอก
กำลังบินเรี่ยยอดคลื่น คล้ายๆ จะหลบเรด้าร์ที่คอยตรวจจับ
ถัดจากปืนมาทางช่วงกลางลำตัวของเครื่องก็เป็นประตูเปิดโล่ง
มีอีก 1 กระบอก...อีก
ร่างของทหารนายหนึ่งนอนเหยียดอยู่ที่พื้น
เครื่องร่อนลงจอดยังสนามบินที่อยู่ติดกับชายทะเลแห่งหนึ่งได้อย่างฉิวเฉียด
แทบเกือบจะตกขอบรันเวย์เอาในตอนแรกที่กำลังแตะรันเวย์
สองล้อหน้างี้...กระแทกพื้นอย่างแรงเสียจนแทบจะหัก
ตุปัดตุเป๋ไปมา ซ้ายที ขวาที จนน่าชวนเวียนหัว
พอหมดแรงส่ง ก็จอดขวางอย่างสงบอยู่ที่ปลายรันเวย์
รถจี๊ปของสารวัตรทหารเรือจำนวนหนึ่งตรงเข้ารายล้อมในทันที
ภาพที่ปรากฏให้เห็นอีกในภวังค์นั้น ก็คือ
พวกเค้ามากันเพียงแค่ 3 คน...
นักบินที่ 1 ถูกยิงหัวเปิด ตายคาเก้าอี้
ช่างเครื่อง ถูกยิงตัวขาด คาอยู่ที่ประตูเครื่อง
มีเพียงนักบินผู้ช่วยที่ร่างโชกเลือดคาเก้าอี้ แต่ยังพอมีสติอยู่บ้าง
เป็นผู้เดียวที่ประคองเครื่องบินลำนี้มาลงจนได้...อย่างทุลักทุเล
"
พี่ๆ มาดูอะไรตรงนี้หน่อย ? "
ผมหลุดจากภวังค์ หันหน้ากลับไปตามเสียงเรียก
"
มีเสียงอะไรก็ไม่รู้ ดังอยู่ตรงนี้... "
ผมลุกขึ้น เดินเข้าไปหาหล่อน
เหมือนที่ผมได้ยินเลยหลังจากฟังหล่อนเล่าเสร็จ
...เสียงดัง ก๊อก ๆ แก๊ก ๆ
หล่อนชี้ไปทางข้างๆ เครื่อง ด้านปีกซ้าย หน้าออกเสียๆ
ถ้าจะให้ผมเดาแล้วล่ะก็...
น่าที่จะเป็นเสียงรีเลย์ของระบบยิงปืนกลอัตโนมัติทำงาน
"
ไม่เห็นจะได้ยินอะไรเลย เสียงแอร์...เปล่า ? "
ผมพยายามกลบเกลื่อนแล้วนะ อย่างที่สุด
ใจคอตัวเองก็ชักจะเริ่มไม่ค่อยดีตาม
"
แอร์อยู่ตรงท้ายเครื่องนู่น ตั้งไกล...
แต่ที่หนูได้ยินน่ะ มันดังอยู่ตรงนี้ "
นางกลับดันไม่ยอม ชี้นิ้วไปยังที่เดิมอีก
ลำบากผมจนได้สินะ ต้องระเห็จตัวเองออกไปนอกเครื่องบิน
ไฟฉายส่องๆ ให้นางได้เห็นตรงทางหน้าต่าง ทางด้านปีกซ้าย
เดินงกๆ เงิ่นๆ หาที่มาของเสียงหรือสิ่งผิดปรกติใดๆ เป็นต้นว่า
ฐานล้อที่รองรับน้ำหนักตัวเครื่องบินนั้น มันทรุดลงไปหรือเปล่า
ดูแล้ว ก็น่าจะ...ไม่นะ
พวกเล่นก่อปูนขึ้นมายังกับเสาเอกบ้านขนาบข้างล้อทั้งสองข้าง
แล้วเอาเหล็กดุ้นเขื่องมาวางพาดอีกที เพื่อรองรับน้ำหนักตัวเครื่องบิน
สักพักได้ ที่วนๆ เวียนๆ อยู่ใต้ตัวเครื่องบินนั้น
ไม่พบอะไรที่เป็นข้อที่ชวนสงสัย ก็กลับขึ้นมารายงาน
เอ๊า...หลับซะแล้ว !!
ผมเองก็ยอมรับเหมือนกันว่า หมดอารมณ์
ไหนจะทั้งเสียงที่ได้ยิน ไหนจะมโนจิตที่เกิดขึ้นเมื่อซักพัก
เปิดเบียร์จากตู้เย็นได้ ก็นั่งซดต่ออยู่คนเดียว
รอดูซิ...กว่าเบียร์จะหมดขวดเนี่ย
จะยังมีเสียงก๊อกๆ แก๊กๆ มาให้ได้ยินอีกไหม
เบียร์หมดขวด...ไปแล้ว ได้ยินแต่เสียงนางกรน
เสียงแอร์ก็ได้ยินนะ แต่ก็เป็นแค่เสียงลมจากแอร์
อาจจะดังอยู่ซักหน่อย...ก็จริง
แต่ก็ไม่ใช่เสียง ก๊อก ๆ แก๊ก ๆ แน่...
เป็นอันว่า ผมกับหล่อนอาจจะหูแว่วกันไปเอง
หรือไม่ก็...
ผมอาจจะดูหนังสงครามสู้รบกันมากไปสักหน่อย เลยติดตา
ก็คงจะเป็นแค่สมมุติฐานมั่วๆ ที่ผมตั้งขึ้นมาเพื่อปลอบใจตัวเอง
ล้มตัวลงนอนข้างๆ นางปุ๊บ
ผมก็หลับเลย...ปั๊บ
หลับไปนานเท่าไหร่ ก็ไม่รู้...
มารู้ตัวอีกที ก็เมื่อ
........ครึ่ม ม ม ม ม........
ทั้งเสียงและการสั่นสะเทือนอย่างแรงของเครื่องบินถูกจัดมาเต็ม
เครื่องบินทั้งลำเหมือนกำลังลงกระแทกพื้นอย่างรุนแรง
ใครที่เคยนั่งเครื่องบินมาก่อน คงย่อมจะรู้ถึงความรู้สึกตอนนาทีที่เครื่องลงได้ดี
แต่ทว่า...การลงในลักษณะจัดหนัก แบบมีเท่าไหร่ก็ขนออกมาให้หมดทั้งร้าน
หรือเหมือนกับนักบินจะไม่แคร์ความรู้สึกของผู้โดยสารเช่นผมเลย เมื่อตะกี๊นั้น
ภาษาทางการบิน เขาเรียกกันว่า " การลงแบบอีกาจับหลัก "
....นักบินทหารชอบใช้กัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อกำลังลงในสนามบินที่กำลังโดนถล่มจากข้าศึกอยู่
หรือไม่ก็...มักใช้กับรันเวย์ที่สั้นๆ เพื่อไม่ให้เครื่องไถลเลยทางวิ่ง
ทำนองว่า...
พอเครื่องลงกระแทกพื้นโป๊ะ เบรคปุ๊บ ก็เตรียมตัวหัวทิ่มกันได้เลย...ปั๊บ
ชิ้นส่วนใดๆ ของเครื่องบินจะหัก จะพัง ก็...ช่างหัวมัน
ผู้โดยสารจะคอเคล็ด คอหัก คอโยก บั้นเด้าทรุด ก็...ช่างหัวผู้โดยสาร
แค่กรู...เอาเครื่องลงจอดได้เนี่ย ก็บุญหัวแล้ว
ไม่มี...มาคอยละเลียดลงพื้นนิ่มๆ ให้ผู้โดยสารตบมือกันเกรียวกราวหรอก
ถ้ามัวมาเป็นอย่างนั้นนะ...กับเครื่องบินของทหารอเมริกันแล้วล่ะก้อ
เตรียมตัวคลุมธงชาติกันได้เลยทั้งลำ...
เป็นเป้าเคลื่อนที่ไปตามรันเวย์ให้พวกเวียดกงถล่มเล่นซะเปล่าๆ
เป้าใหญ่เสียด้วยสิ ก็...เครื่องบินทั้งลำนิ ไม่ใช่เหรอ
"
ว๊าย...เกิดอะไรขึ้นหรือคะคุณพี่ แผ่นดินไหวหรอ ? "
ผมนึกว่า ผมรับรู้กับเสียงและอาการสั่นสะท้านของเครื่องอยู่คนเดียว
นี่ขนาดเมาจนหมาแทบจะไม่คบแล้วนะ ผมก็ยังรู้สึกเสียจนสะดุ้งตื่นได้
ลุกนั่งพรวดพราดขึ้นทันทีเลย...สองเรา
นั่นขนาดนางเองก็หลับลึกถึงขั้นกรนแล้วด้วยนะ
ก็ยังอุตส่าห์ตื่นขึ้นมา แหกปากร้องโวยวายเสียลั่นทุ่ง
ผมก้าวลงกระไดพรวดๆ ส่องไฟฉายไปที่ฐานล้อของเครื่องบิน
ถ้ายางไม่แตก โช้คอัพก็ต้องคดบ้างล่ะวะ...เล่นลงซะแรงขนาดนี้ ?
สัญชาตญาณในความเป็นช่างเครื่องบินเตือนบอกผม
ทว่า...ทุกอย่างกลับเป็นปรกติดี ไม่มียางแตกหรือฐานล้อเครื่องบินหัก
เอ๊า...ก็นี่มันเกสต์เฮ้าส์เนี่ยเนอะ ไม่ใช่เครื่องบินจริง ๆ ซักหน่อย !!
คราวนี้ไม่ใช่สัญชาตญาณ แต่เป็นสติสัมปชัญญะต่างหากที่กล่าวเตือน
นาฬิกาข้อมือเพิ่งจะยังไม่ตี 4 ดี
ผมกับหล่อนก็ต้องออกไปหาที่นอนกันใหม่
ทั้งเมา ทั้งเพลีย ทั้งง่วง ก่อนหน้านี้...ไม่รู้ว่าหายไปไหน
ก่อนเที่ยง ค่อยมาเช็คเอ้าท์ก็แล้วกัน
ขอบคุณมากนะ สำหรับประสพการณ์จากผู้ที่มาจากแดนไกล
ก่อนจะมาจากไซ่ง่อนได้เนี่ย ก็ไม่รู้ว่าจะผ่านประเทศไหนมาบ้าง
ก็ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว...นี่เนอะ
อีกทั้ง จะลำเลียงศพทหารพวกเดียวกันกลับไปให้ญาติ
หรือ...กระทำการประหัตประหาร เข่นฆ่าพวกศัตรูฝ่ายตรงข้าม
มาไม่รู้จักกี่ศพ ต่อกี่ศพแล้ว ก็ไม่รู้...อีก
ก็นับว่า ได้เดินทางมาไกลแล้วนะ...สำหรับเจ้า
กว่าจะได้มาจอดและยุติบทบาทเก่าๆ ลงเอา...ที่นี่
ว่า...เปล่า ?
ร่างลางๆ ของใครก็ไม่รู้ตรงหน้าต่างในห้องนักบินพยักหน้ามาที่ผม...อย่างช้า ๆ
ผู้มาจาก...แดนไกล
ผมคนหนึ่งล่ะ ที่ไม่เชื่อ...จนกระทั่ง
ช่วงต้นปี พ.ศ. 2535
มอเตอร์ไซด์ Kawasaki KR ผมหาย...!!
จอดนอนกกสาวเมื่อคืนที่ซอยสอนไทย
พอตื่นมา อัตรธานหายไปซะแล้ว...
ดูจากสถานที่เกิดเหตุ
มีร่องรอยเศษโลหะแตกหัก หล่นอยู่
มันคงขึ้นไปนั่งบนมอเตอร์ไซด์ผม
แล้วตีนยัน ถีบแฮนด์จนที่ล็อคคอหัก
จะต่อตรงหรือจูงเอาไปเฉยๆ ก็คงแล้วแต่คุณพี่เขา
เศร้า...ง่ะ
นอกจากไปแจ้งความแล้ว หน้าที่ต่อไปของผมอีกก็คือ
ผ่อนค่างวดลูกกุญแจมอเตอร์ไซด์...สินะเนี่ย
ต้นกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2535 คำสั่งลาออกจากราชการได้รับการอนุมัติ
ผมไปทำงานต่อเป็นช่างเครื่องบินที่สายการบินแห่งหนึ่ง
ดูสภาพการณ์แล้ว เงินเดือนก็สูงกว่า มีโอทีด้วย
คงมีปัญญาผ่อนมอเตอร์ไซด์คันใหม่ได้แน่
เลยไปจับมอเตอร์ไซด์มือสอง แถวคลองเตยมาคัน
Honda CBR-250 RR สีแดง-ดำ 250 ซีซี 4 สูบ
ชุดช่างเครื่องบินบวกกับหมวกกันน็อคเท่ ๆ
แล้วขึ้นคล่อมกับเจ้ามอเตอร์ไซด์คันนี้นะ
ขับไปทำงานแต่ละทีเนี่ย สาวๆ ในซอยแถวบ้าน
หากเดินอยู่กับแม่ ก็ต้องพากันสะกิด
ขอบอก...
ที่สิงสถิตของผมตอนกลางคืน ก็คือคาเฟ่ทั่วไปแถวบ้าน
แค่ขับเข้าไปจอด สาวๆ หน้าร้านก็มักจะกรี๊ดกัน
อีกทั้ง...ชอบถามจนผมรำคาญ
ว่าเป็นอะไรกับ...หลิว เต๋อหัว ?
วันนี้ ขับมาเที่ยวทะเลที่สัตหีบ
เดินเตะยอดคลื่นเล่นที่หาดเงียบๆ แห่งหนึ่ง
ใกล้ๆ สนามบินอู่ตะเภา
พลัน...ก็สะดุดตาเข้ากับที่พักแห่งหนึ่งเข้าอีก
เขาเอาเครื่องบินลำเลียงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
แบบ C - 47 Dakota ที่ใช้ขนส่งทางทหารมาทำเป็นที่พัก
คุยกับทหารเรือแถวนั้น ก็ได้ข้อมูลมาว่า
เป็นเครื่องที่บินหนีตายมาจากเวียดนามใต้
ลงที่อู่ตะเภา สมัยกรุงไซ่ง่อนแตกเมื่อปี พ.ศ. 2518
ตอนที่มานั้น เป็นเครื่องบินแบบ AC - 47D Spooky
ก็เครื่องดาโกต้านั่นแหละ แต่นำปืนกลอากาศติดเข้าไป
จากเดิมที่ใช้ในภารกิจรับส่งทหารและยุทโธปกรณ์
พอติดปืนกลอากาศเข้าไป 3 กระบอกเสร็จ
กลายเป็นเครื่อง Gunship รับหน้าที่ฆ่าเวียดกงจากทางอากาศ
ฉายาเดิม Dakota ที่มีความหมายว่า...เพื่อน
ก็แปรเปลี่ยนกลายมาเป็น Spooky ที่แปลว่า น่ากลัว
ได้ยินประวัติเครื่องลำนี้แล้ว
ผมถึงกับ อึ้ง ทึ่งและเสียว
เจ้าลำนี้เคยผ่านศึกสงครามเวียดนามมา
ไม่แน่นะ อาจจะรวมไปถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย
อยากจะนอนบนเครื่องบินมานานแล้ว ผมรี่ตรงเข้าไปเช็คอิน
ได้กุญแจเสร็จ ก็นำข้าวของขึ้นไปเก็บ
บรรยากาศยามเย็นที่นี่ ค่อนข้างสงบเงียบดี
มีร้านอาหารประจำหาด อยู่ติดริมทะเล
ตอนกลางคืน เสียงคลื่นกระทบฝั่งทำให้รู้สึกผ่อนคลาย
แต่ก็จะออกเหนียว ๆ ตัวซักกะหน่อยจากลมทะเลนะ
ผมนั่งละเลียดเบียร์ในร้านจนว่างเปล่าไปแล้วหลายขวด
พอร้านปิดซัก 4 ทุ่ม ผมเองก็กรึ่มๆ กำลังได้ที่
อาการแอลกอฮอล์ลงไข่...โรคประจำตัวชักกำเริบ
ออกไปดูแสงสี ยามราตรีในย่านนี้ซักอีกหน่อย...จะเป็นไรไป
ผมควบมอเตอร์ไซด์ไปต่อที่คาเฟ่ข้างนอก
เมาแป้ดกลับเข้ามาอีกที พร้อมสาวทรงสะบึม
ดูหล่อนค่อนข้างจะพึงพอใจกับที่พักด้วย
เปิดแอร์เสร็จ ผมกับหล่อนก็เริ่มบิ้วอารมณ์กัน
กำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มอยู่แล้วเชียว
เสียงดังก๊อกๆ แก๊กๆ มาจากทางหัวเครื่องบิน
ห้องนักบิน...
อารมณ์ผมพลันสะดุด บอกน้องเขาหยุดแพร้บ
ค่อยๆ คลานไปยังต้นเสียงที่ได้ยิน...ห้องนักบิน
จากประสพการณ์ในการเป็นช่างเครื่องบินของผม
เสียงที่ได้ยิน ก๊อก แก๊ก คล้ายกลไกเครื่องจักรกำลังทำงานอยู่นี้
มันช่างคุ้นหูผมเสียจริงๆ พับผ่า...
คล้ายๆ กับเสียงอะไร...น้า ?
คลานไป ก็คิดไปด้วย
เฮ่ย...เสียงรีเลย์ทำงาน นี่หว่า !!
(Relay รีเลย์ คือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทำหน้าที่เป็นสวิตซ์ตัด-ต่อวงจรไฟฟ้า
โดยใช้อำนาจแม่เหล็กในการดึงดูดหน้าสัมผัสของคอนแทค)
ใช่เลย...ในวงจรต่างๆ ของระบบไฟฟ้าของเครื่องบินที่ผมซ่อมอยู่
เวลาที่รีเลย์ทำงานเพื่อตัดหรือต่อวงจรไฟฟ้านั้น
แม่เหล็กไฟฟ้าในตัวรีเลย์ มันก็จะดูดหน้าสัมผัสให้มาติด
ช่างอย่างเรานี้สามารถรู้ได้ทันทีเลยว่า รีเลย์ทำงานแล้ว
เพราะเสียงมันจะแลบออกมาให้ได้ยินดัง....ก๊อก
พอรีเลย์หยุดทำงาน แม่เหล็กไฟฟ้าก็จะปล่อยหน้าสัมผัสให้จากกัน
เสียงรีเลย์ ก็จะดังอีกที...แก๊ก
ช่วงที่มันทำงานผิดปรกติ มันก็อาจจะต่อวงจรซักครู่ แล้วก็ตัด
เสียงที่ได้ยินก็จะเป็น...ก๊อก แล้วก็ แก๊ก
ผิดปรกติมากๆ เข้า ประเภทที่ว่า ตัดๆ ต่อๆ วงจรไฟฟ้าตลอด
เสียงก็จะเป็น ก๊อก...แก๊ก ก๊อก...แก๊ก ก๊อก...แก๊ก
เหมือนจะรู้ว่าผมกำลังมา เสียงก๊อกๆ แก๊กๆ นั้น...เงียบไป
ในห้องนักบินเนี่ย แม้แต่เก้าอี้นักบินก็ไม่มี
อุปกรณ์หรือเครื่องวัดต่างๆ ถูกรื้อถอดออก หายหมด จนแทบจะไม่เหลือหลอ
ผมเงี่ยหูรออยู่ตรงนั้นเป็นครู่ ก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย
มโนจิตของผมเริ่มทำงาน...
คล้ายๆ กับจะตกอยู่ในภวังค์
(เครดิตจงมีแก่เจ้าของภาพนะ ขออนุญาตเอามาลงประกอบเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ)
เป็นภาพเครื่องบินลายพรางของกองทัพสหรัฐอเมริกา
มีกระบอกปืนยื่นออกมานอกลำตัวเครื่องด้านซ้ายถึง 2 กระบอก
กำลังบินเรี่ยยอดคลื่น คล้ายๆ จะหลบเรด้าร์ที่คอยตรวจจับ
ถัดจากปืนมาทางช่วงกลางลำตัวของเครื่องก็เป็นประตูเปิดโล่ง
มีอีก 1 กระบอก...อีก
ร่างของทหารนายหนึ่งนอนเหยียดอยู่ที่พื้น
เครื่องร่อนลงจอดยังสนามบินที่อยู่ติดกับชายทะเลแห่งหนึ่งได้อย่างฉิวเฉียด
แทบเกือบจะตกขอบรันเวย์เอาในตอนแรกที่กำลังแตะรันเวย์
สองล้อหน้างี้...กระแทกพื้นอย่างแรงเสียจนแทบจะหัก
ตุปัดตุเป๋ไปมา ซ้ายที ขวาที จนน่าชวนเวียนหัว
พอหมดแรงส่ง ก็จอดขวางอย่างสงบอยู่ที่ปลายรันเวย์
รถจี๊ปของสารวัตรทหารเรือจำนวนหนึ่งตรงเข้ารายล้อมในทันที
ภาพที่ปรากฏให้เห็นอีกในภวังค์นั้น ก็คือ
พวกเค้ามากันเพียงแค่ 3 คน...
นักบินที่ 1 ถูกยิงหัวเปิด ตายคาเก้าอี้
ช่างเครื่อง ถูกยิงตัวขาด คาอยู่ที่ประตูเครื่อง
มีเพียงนักบินผู้ช่วยที่ร่างโชกเลือดคาเก้าอี้ แต่ยังพอมีสติอยู่บ้าง
เป็นผู้เดียวที่ประคองเครื่องบินลำนี้มาลงจนได้...อย่างทุลักทุเล
" พี่ๆ มาดูอะไรตรงนี้หน่อย ? "
ผมหลุดจากภวังค์ หันหน้ากลับไปตามเสียงเรียก
" มีเสียงอะไรก็ไม่รู้ ดังอยู่ตรงนี้... "
ผมลุกขึ้น เดินเข้าไปหาหล่อน
เหมือนที่ผมได้ยินเลยหลังจากฟังหล่อนเล่าเสร็จ
...เสียงดัง ก๊อก ๆ แก๊ก ๆ
หล่อนชี้ไปทางข้างๆ เครื่อง ด้านปีกซ้าย หน้าออกเสียๆ
ถ้าจะให้ผมเดาแล้วล่ะก็...
น่าที่จะเป็นเสียงรีเลย์ของระบบยิงปืนกลอัตโนมัติทำงาน
" ไม่เห็นจะได้ยินอะไรเลย เสียงแอร์...เปล่า ? "
ผมพยายามกลบเกลื่อนแล้วนะ อย่างที่สุด
ใจคอตัวเองก็ชักจะเริ่มไม่ค่อยดีตาม
" แอร์อยู่ตรงท้ายเครื่องนู่น ตั้งไกล...
แต่ที่หนูได้ยินน่ะ มันดังอยู่ตรงนี้ "
นางกลับดันไม่ยอม ชี้นิ้วไปยังที่เดิมอีก
ลำบากผมจนได้สินะ ต้องระเห็จตัวเองออกไปนอกเครื่องบิน
ไฟฉายส่องๆ ให้นางได้เห็นตรงทางหน้าต่าง ทางด้านปีกซ้าย
เดินงกๆ เงิ่นๆ หาที่มาของเสียงหรือสิ่งผิดปรกติใดๆ เป็นต้นว่า
ฐานล้อที่รองรับน้ำหนักตัวเครื่องบินนั้น มันทรุดลงไปหรือเปล่า
ดูแล้ว ก็น่าจะ...ไม่นะ
พวกเล่นก่อปูนขึ้นมายังกับเสาเอกบ้านขนาบข้างล้อทั้งสองข้าง
แล้วเอาเหล็กดุ้นเขื่องมาวางพาดอีกที เพื่อรองรับน้ำหนักตัวเครื่องบิน
สักพักได้ ที่วนๆ เวียนๆ อยู่ใต้ตัวเครื่องบินนั้น
ไม่พบอะไรที่เป็นข้อที่ชวนสงสัย ก็กลับขึ้นมารายงาน
เอ๊า...หลับซะแล้ว !!
ผมเองก็ยอมรับเหมือนกันว่า หมดอารมณ์
ไหนจะทั้งเสียงที่ได้ยิน ไหนจะมโนจิตที่เกิดขึ้นเมื่อซักพัก
เปิดเบียร์จากตู้เย็นได้ ก็นั่งซดต่ออยู่คนเดียว
รอดูซิ...กว่าเบียร์จะหมดขวดเนี่ย
จะยังมีเสียงก๊อกๆ แก๊กๆ มาให้ได้ยินอีกไหม
เบียร์หมดขวด...ไปแล้ว ได้ยินแต่เสียงนางกรน
เสียงแอร์ก็ได้ยินนะ แต่ก็เป็นแค่เสียงลมจากแอร์
อาจจะดังอยู่ซักหน่อย...ก็จริง
แต่ก็ไม่ใช่เสียง ก๊อก ๆ แก๊ก ๆ แน่...
เป็นอันว่า ผมกับหล่อนอาจจะหูแว่วกันไปเอง
หรือไม่ก็...
ผมอาจจะดูหนังสงครามสู้รบกันมากไปสักหน่อย เลยติดตา
ก็คงจะเป็นแค่สมมุติฐานมั่วๆ ที่ผมตั้งขึ้นมาเพื่อปลอบใจตัวเอง
ล้มตัวลงนอนข้างๆ นางปุ๊บ
ผมก็หลับเลย...ปั๊บ
หลับไปนานเท่าไหร่ ก็ไม่รู้...
มารู้ตัวอีกที ก็เมื่อ
........ครึ่ม ม ม ม ม........
ทั้งเสียงและการสั่นสะเทือนอย่างแรงของเครื่องบินถูกจัดมาเต็ม
เครื่องบินทั้งลำเหมือนกำลังลงกระแทกพื้นอย่างรุนแรง
ใครที่เคยนั่งเครื่องบินมาก่อน คงย่อมจะรู้ถึงความรู้สึกตอนนาทีที่เครื่องลงได้ดี
แต่ทว่า...การลงในลักษณะจัดหนัก แบบมีเท่าไหร่ก็ขนออกมาให้หมดทั้งร้าน
หรือเหมือนกับนักบินจะไม่แคร์ความรู้สึกของผู้โดยสารเช่นผมเลย เมื่อตะกี๊นั้น
ภาษาทางการบิน เขาเรียกกันว่า " การลงแบบอีกาจับหลัก "
....นักบินทหารชอบใช้กัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อกำลังลงในสนามบินที่กำลังโดนถล่มจากข้าศึกอยู่
หรือไม่ก็...มักใช้กับรันเวย์ที่สั้นๆ เพื่อไม่ให้เครื่องไถลเลยทางวิ่ง
ทำนองว่า...
พอเครื่องลงกระแทกพื้นโป๊ะ เบรคปุ๊บ ก็เตรียมตัวหัวทิ่มกันได้เลย...ปั๊บ
ชิ้นส่วนใดๆ ของเครื่องบินจะหัก จะพัง ก็...ช่างหัวมัน
ผู้โดยสารจะคอเคล็ด คอหัก คอโยก บั้นเด้าทรุด ก็...ช่างหัวผู้โดยสาร
แค่กรู...เอาเครื่องลงจอดได้เนี่ย ก็บุญหัวแล้ว
ไม่มี...มาคอยละเลียดลงพื้นนิ่มๆ ให้ผู้โดยสารตบมือกันเกรียวกราวหรอก
ถ้ามัวมาเป็นอย่างนั้นนะ...กับเครื่องบินของทหารอเมริกันแล้วล่ะก้อ
เตรียมตัวคลุมธงชาติกันได้เลยทั้งลำ...
เป็นเป้าเคลื่อนที่ไปตามรันเวย์ให้พวกเวียดกงถล่มเล่นซะเปล่าๆ
เป้าใหญ่เสียด้วยสิ ก็...เครื่องบินทั้งลำนิ ไม่ใช่เหรอ
" ว๊าย...เกิดอะไรขึ้นหรือคะคุณพี่ แผ่นดินไหวหรอ ? "
ผมนึกว่า ผมรับรู้กับเสียงและอาการสั่นสะท้านของเครื่องอยู่คนเดียว
นี่ขนาดเมาจนหมาแทบจะไม่คบแล้วนะ ผมก็ยังรู้สึกเสียจนสะดุ้งตื่นได้
ลุกนั่งพรวดพราดขึ้นทันทีเลย...สองเรา
นั่นขนาดนางเองก็หลับลึกถึงขั้นกรนแล้วด้วยนะ
ก็ยังอุตส่าห์ตื่นขึ้นมา แหกปากร้องโวยวายเสียลั่นทุ่ง
ผมก้าวลงกระไดพรวดๆ ส่องไฟฉายไปที่ฐานล้อของเครื่องบิน
ถ้ายางไม่แตก โช้คอัพก็ต้องคดบ้างล่ะวะ...เล่นลงซะแรงขนาดนี้ ?
สัญชาตญาณในความเป็นช่างเครื่องบินเตือนบอกผม
ทว่า...ทุกอย่างกลับเป็นปรกติดี ไม่มียางแตกหรือฐานล้อเครื่องบินหัก
เอ๊า...ก็นี่มันเกสต์เฮ้าส์เนี่ยเนอะ ไม่ใช่เครื่องบินจริง ๆ ซักหน่อย !!
คราวนี้ไม่ใช่สัญชาตญาณ แต่เป็นสติสัมปชัญญะต่างหากที่กล่าวเตือน
นาฬิกาข้อมือเพิ่งจะยังไม่ตี 4 ดี
ผมกับหล่อนก็ต้องออกไปหาที่นอนกันใหม่
ทั้งเมา ทั้งเพลีย ทั้งง่วง ก่อนหน้านี้...ไม่รู้ว่าหายไปไหน
ก่อนเที่ยง ค่อยมาเช็คเอ้าท์ก็แล้วกัน
ขอบคุณมากนะ สำหรับประสพการณ์จากผู้ที่มาจากแดนไกล
ก่อนจะมาจากไซ่ง่อนได้เนี่ย ก็ไม่รู้ว่าจะผ่านประเทศไหนมาบ้าง
ก็ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว...นี่เนอะ
อีกทั้ง จะลำเลียงศพทหารพวกเดียวกันกลับไปให้ญาติ
หรือ...กระทำการประหัตประหาร เข่นฆ่าพวกศัตรูฝ่ายตรงข้าม
มาไม่รู้จักกี่ศพ ต่อกี่ศพแล้ว ก็ไม่รู้...อีก
ก็นับว่า ได้เดินทางมาไกลแล้วนะ...สำหรับเจ้า
กว่าจะได้มาจอดและยุติบทบาทเก่าๆ ลงเอา...ที่นี่
ว่า...เปล่า ?
ร่างลางๆ ของใครก็ไม่รู้ตรงหน้าต่างในห้องนักบินพยักหน้ามาที่ผม...อย่างช้า ๆ