ขอถามผู้ที่ฝึกตน หรือผ่านการฝึกตนในการเจริญมรรคเพื่อละสังโยชน์เบื้องต่ำ 3 ข้อแรกนะครับ ในข้อวิจิตกิจฉา สีลัพพตปรามาส อันนี้ตอบตัวเองได้เลยว่าอาสวะที่เป็นโลภะ โทสะ โมหะ ที่จะเกิดขึ้นมาสนับสนุน 2 สังโยชน์นั้นมันไม่มีผุดขึ้นมาอีกแล้ว แต่สักกายะนี้สิ่ ต้องเท่าไหร่กันมรรคาถึงเต็ม
ถ้ามองชีวิตไปตามพระพุทธวัจนะ เข้าใจหมดแล้วว่ารูปคืออะไรนามคืออะไร เวลาใช้ชีวิตประจำวัน มันก็มีโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง แต่ก็เข้าใจว่ากระแสของเหตุปัจจัยมีมาอย่างนี้ เราไม่เอาตัวเราเข้าไปพัวพันกับกระแสคนอื่น เช่นเห็นคนได้ลาภ มีคนขับปาดหน้าให้โกรธ มีคนหลงชีวิตอยู่ในที่ทำงาน เราเห็นแล้วก็คิดแค่ว่ากระแส หรือวิถีจิตนำให้เขาเป็นแบบนั้น ทำแบบนั้น เราเองก็เป็นกองขันธ์ กายเราก็ประกอบด้วยธาตุ วิถีจิตเราถ้าไม่ทำให้ไปทับซ้อนกับวิถีจิตเขา ไม่ต้องคิดเปลี่ยนแปลงวิถีใคร คือไม่เข้าไปร่วม ไม่รู้สึกอยากได้ ไม่รู้สึกโกรธ ไม่เอาจิตเราไปปนจิตเขา ประคองไม่ให้ โลภะ โทสะ โมหะ ในจิตเราฟุ้งออกนอกทาง แบบนี้ถือว่าใช่แนวในการละสักกายทิฐิไหม?
หรือการละสักกายะจะต้องวิปัสนาให้ขาดถึงขนาดเห็นสูญตาความว่าง เห็นอริยสัจ เห็นไตรลักษณ์ในขันธ์กันไปเลย จึงจะถือว่าละได้แล้ว ผมอยากทราบน่ะว่าที่ชื่อว่าการละสักกายทิฐิ มีอาการแบบไหนพอจะบอกได้บ้าง อย่างถ้าพิจารณาอาการจากประสบการณ์ตัวเอง ผมเห็นความแตกต่างดังนี้ เมื่อผมรู้สึกอยากได้ เมื่อก่อนผมไม่ทันความอยาก เดี๋ยวนี้ผมทัน พออยาก สติก็ทำหน้าที่กำกับ เมื่อก่อนถ้าโกรธก็พร้อมปะทะ ปัจจุบันความโกรธ อิจฉา อาฆาต พยาบาท ไม่สามารถอยู่กับผมได้นาน มันเกิดขึ้นก็รู้และสติก็ทำหน้าที่ต่อ ส่วนความหลงผมคิดว่าผมมีอริยทรัพย์ติดตัวมาแต่เกิดคือความศรัทธา ความมีหิริโอตัปปะ ข้อนี้เลยผ่าน อันนี้คือมุมมองที่เห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเอง คือในจริต 6 อย่าง ผมปรับให้ฝั่งอกุศลลดลงได้ แต่ยังไม่ถึงขั้นที่จะทำให้มันไม่เกิดขึ้นอีก พร้อมกันผมก็เพิ่มฝ่ายกุศลทุกวัน มีศีล สมาธิ สุตตะ จาคะ ปัญญา อันนี้อบรมเองฝึกฝนเองต่อเนื่องมา 3 ปีแล้ว อย่างนี้ถือว่าเข้าทางจะทำให้เกิดปฎิผลในอนาคตได้หรือยัง การจะถึงซึ่งความละสักกายะทิฐิควรเพิ่มข้อปฎิบัติอะไรอีกไหม ขอคำแนะนำด้วย ขอบคุณครับ
ต้องเท่าไหร่ถึงชื่อว่าละสักกายทิฎฐิได้แล้ว
ถ้ามองชีวิตไปตามพระพุทธวัจนะ เข้าใจหมดแล้วว่ารูปคืออะไรนามคืออะไร เวลาใช้ชีวิตประจำวัน มันก็มีโลภะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง แต่ก็เข้าใจว่ากระแสของเหตุปัจจัยมีมาอย่างนี้ เราไม่เอาตัวเราเข้าไปพัวพันกับกระแสคนอื่น เช่นเห็นคนได้ลาภ มีคนขับปาดหน้าให้โกรธ มีคนหลงชีวิตอยู่ในที่ทำงาน เราเห็นแล้วก็คิดแค่ว่ากระแส หรือวิถีจิตนำให้เขาเป็นแบบนั้น ทำแบบนั้น เราเองก็เป็นกองขันธ์ กายเราก็ประกอบด้วยธาตุ วิถีจิตเราถ้าไม่ทำให้ไปทับซ้อนกับวิถีจิตเขา ไม่ต้องคิดเปลี่ยนแปลงวิถีใคร คือไม่เข้าไปร่วม ไม่รู้สึกอยากได้ ไม่รู้สึกโกรธ ไม่เอาจิตเราไปปนจิตเขา ประคองไม่ให้ โลภะ โทสะ โมหะ ในจิตเราฟุ้งออกนอกทาง แบบนี้ถือว่าใช่แนวในการละสักกายทิฐิไหม?
หรือการละสักกายะจะต้องวิปัสนาให้ขาดถึงขนาดเห็นสูญตาความว่าง เห็นอริยสัจ เห็นไตรลักษณ์ในขันธ์กันไปเลย จึงจะถือว่าละได้แล้ว ผมอยากทราบน่ะว่าที่ชื่อว่าการละสักกายทิฐิ มีอาการแบบไหนพอจะบอกได้บ้าง อย่างถ้าพิจารณาอาการจากประสบการณ์ตัวเอง ผมเห็นความแตกต่างดังนี้ เมื่อผมรู้สึกอยากได้ เมื่อก่อนผมไม่ทันความอยาก เดี๋ยวนี้ผมทัน พออยาก สติก็ทำหน้าที่กำกับ เมื่อก่อนถ้าโกรธก็พร้อมปะทะ ปัจจุบันความโกรธ อิจฉา อาฆาต พยาบาท ไม่สามารถอยู่กับผมได้นาน มันเกิดขึ้นก็รู้และสติก็ทำหน้าที่ต่อ ส่วนความหลงผมคิดว่าผมมีอริยทรัพย์ติดตัวมาแต่เกิดคือความศรัทธา ความมีหิริโอตัปปะ ข้อนี้เลยผ่าน อันนี้คือมุมมองที่เห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเอง คือในจริต 6 อย่าง ผมปรับให้ฝั่งอกุศลลดลงได้ แต่ยังไม่ถึงขั้นที่จะทำให้มันไม่เกิดขึ้นอีก พร้อมกันผมก็เพิ่มฝ่ายกุศลทุกวัน มีศีล สมาธิ สุตตะ จาคะ ปัญญา อันนี้อบรมเองฝึกฝนเองต่อเนื่องมา 3 ปีแล้ว อย่างนี้ถือว่าเข้าทางจะทำให้เกิดปฎิผลในอนาคตได้หรือยัง การจะถึงซึ่งความละสักกายะทิฐิควรเพิ่มข้อปฎิบัติอะไรอีกไหม ขอคำแนะนำด้วย ขอบคุณครับ