คาด การใช้เงินสกุลดิจิตอลแบบคลอบคลุมทั้งหมดและการเป็นแหล่งเก็บมูลค่าของเงินตรา ราวปี 2030

กุนซือโลกการเงิน: ภาพโลกเงินสกุลดิจิตัล… ทศวรรษ 2020
.
มาถึงวันนี้ ที่บรรดาธนาคารพาณิชย์ยักษ์ใหญ่ในบ้านเราได้ก้าวเข้ามาสู่สนามแห่งเงินสกุลดิจิตอลแบบเต็มตัว เราคงปฏิเสธไม่ได้ที่จะต้องรู้และเข้าใจเรื่องฮ็อตฮิตดังกล่าวให้กระจ่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องสามารถฉายภาพเงินสกุลดิจิตัลว่าจะก้าวต่อไปอย่างไรนับต่อจากนี้ ซึ่งบทความนี้ จะขออาสาพาไปจับตาภาพดังกล่าว ดังนี้
.
สำหรับวิวัฒนาการของเงินสกุลดิจิตัลต่อจากวันนี้ คาดว่าจะมีอยู่ด้วยกัน 4 เฟส ได้แก่
1. เฟสการใช้จ่ายของลูกค้ารายย่อยและการเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนระหว่างกัน ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นระหว่างปี 2022-2025
2. เฟสการใช้งานระหว่างหน่วยงานขนาดใหญ่และการเป็นหน่วยของเงินตรา ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นระหว่างปี 2025-2030
3. เฟสการใช้เงินสกุลดิจิตอลแบบคลอบคลุมทั้งหมดและการเป็นแหล่งเก็บมูลค่าของเงินตรา ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นระหว่างปี 2030-2035
โดยเฟสสุดท้าย จะเป็นการที่เงินสกุลดิจิตอลเข้าสู่การทำงานในหน้าที่ของเงินตราโดยสมบูรณ์ระหว่างปี 2035-2040
.
.
สำหรับในแง่ของรูปแบบเงินสกุลดิจิตอลในอนาคตจากนี้ไปอีก 5 ปี หรือระหว่างปี 2021-2025 คาดว่า ระบบของการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่ใช้ระบบ Fast Payment System กำลังจะกลายเป็นอดีต ซึ่งในตอนนี้ ต้องมีการรองรับระบบการชำระเงินผ่านโทรศัพท์มือถือด้วยแอพพลิเคชั่นของ Social Network ต่างๆ ทั้งนี้ ในอีก 5 ปีข้างหน้า จะมีโครงสร้างสถาปัตยกรรมด้านสกุลเงินดิจิตอล 2 รูปแบบ เกิดขึ้น ได้แก่
.
หนึ่ง ระบบ Decentralized Finance (Defi) ที่ศูนย์กลางการประมวลผลของธุรกรรมการเงินจะถูกขจัดออกไป กลายเป็นระบบการเงินที่ถูกกระจายศูนย์กลางออกไปในที่ต่างๆ หรือ Decentralized Finance ที่บริษัทและเทคโนโลยีของภาคเอกชนจะแข่งขันกันเพื่อชิงความเป็นมาตรฐานของระบบการชำระเงินและตัวกลางในการทำธุรกรรมทางการเงิน โดยจะรองรับสกุลเงินดิจิตอลประเภท StableCoin หรือเงินสกุลคริปโต้ที่มีเงินดอลลาร์หนุนหลัง และ เงินสกุลประเภทคริปโต้
.
และ สอง ระบบโครงสร้างเพื่อรองรับเงินสกุลดิจิตอลของธนาคารกลางหรือ CBDC ที่มีเงินสกุลดิจิตอลของธนาคารกลางเป็นศูนย์กลางของระบบการชำระเงิน
.
ในมิติของการที่ยุคเงินดิจิตัลพร้อมจะ Disrupt โลกการเงิน นั้น จะมี 3 ขั้วหลัก ที่จะกลายเป็นหัวใจของเงินสกุลดิจิตัลในโลกใบนี้ ได้แก่
1. StableCoin ที่นับจากนี้ไป จะถูกกำกับอย่างใกล้ชิดจากทางการของสหรัฐและยุโรป ซึ่งข้อดีคือ StableCoin น่าจะกำลังจะกลายเป็นเงินสกุลดิจิตอลประเภทแรกที่มีกฎหมายรองรับ ทำให้สามารถใช้แลกเปลี่ยนกันได้โดยสมบูรณ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศตะวันตก ในเวลาอีกไม่นานต่อจากนี้
.
ตัวอย่างหนึ่งของ StableCoin คือ Diem ซึ่งเป็น StableCoin ของ Facebook หรือที่มีชื่อใหม่ว่า Meta ซึ่งประชาชนทั่วโลกกว่า 3 พันล้านคนที่ใช้ Facebook, Instagram และ WhatsApp จะได้ประโยชน์จากการเป็นผลพวงของปรากฏการณ์เครือข่าย (Network Effect) ที่จะส่งผลให้ Diem ที่ได้การรับรองเป็นสกุลเงินตามกฎหมาย น่าจะเป็นที่นิยมของชาวโลกในการใช้จ่ายเงิน ฝากถอน และกู้ยืม ด้วยเวลาอันรวดเร็ว
.
2. Defi ณ ตอนนี้ ในภาคเอกชนได้มีการแข่งขันแย่งกันในการเป็นเจ้าแห่งมาตรฐานของเทคโนโลยี Defi ทั้งในส่วนของโครงสร้างและตัวแอพพลิเคชันในรูปแบบการใช้งานประเภทต่างๆ อาทิ การชำระเงิน การปล่อยกู้ หรือการประกันภัย โดยความรุ่งเรืองของ Defi ในอนาคต จะสามารถเกิดขึ้นได้มากน้อยเพียงใด ส่วนหนึ่ง จะมาจากการตัดสินใจของธนาคารกลางหลักของโลก ว่าจะตัดสินใจใช้ Defi ในระบบ CBDC หรือไม่
.
และ 3. Big Tech’s Retail Payment System (BPMS) หรือการออกบัตรเครดิตของบริษัทยักษ์ด้านเทคโนโลยีของสหรัฐ อาทิ กลุ่ม FANG ที่จะใช้ขนาดที่ใหญ่มากๆของตนเองในการทำให้ประชาชนทั่วโลก หันมาใช้บริการบัตรเครดิตของ FANG
.
ทั้งนี้ ในอนาคต หลายคนคาดหวังว่า เงินดิจิตอลใน 3 ขั้วหลักดังกล่าว จะสามารถใช้งานร่วมกับ CBDC ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
.
อย่างไรก็ดี การอยู่ร่วมกันระหว่างสกุลเงินของทั้งราษฎร์และหลวงดังกล่าวจะสามารถเป็นไปได้ ก็ต่อเมื่อการส่งผ่านจากนโยบายของทางการไปสู่ภาคประชาชน เป็นไปตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้
.
การออกแบบ CBDC ต้องสอดคล้องกับ StableCoin Defi และ BPMS ใน 3 ขั้นตอน คือ
.
หนึ่ง ผู้บริโภคต้องสามารถใช้งานเงินสกุลดิจิตอลได้อย่างสะดวกสบาย ทว่ามีความปลอดภัยจากการเก็บข้อมูลค่อนข้างสูง
.
สอง ต้องสามารถตอบโจทย์ในการบริหารจัดการเศรษฐกิจอย่างมีเสถียรภาพ ทั้งด้านนโยบายการเงินและด้านเสถียรภาพทางการเงิน โดยที่การใช้จ่ายและชำระเงินตามช่องทางต่างๆ ต้องไม่ไปบิดเบือนการกระจายตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจ
.
และ สาม ด้านเทคโนโลยีการชำระเงินที่ต้องสามารถทำได้อย่างฉับไวและรวดเร็ว ทว่ามีความปลอดภัยในระดับสูงสุด
.
โดยยุคสกุลเงินดิจิตอลนับต่อจากนี้ จะมีมหาอำนาจโลกการเงินดิจิตอลอยู่ 3 ขั้ว ประกอบด้วย
.
หนึ่ง ขั้วของสกุลเงินดิจิตอลจีน ซึ่งมี สี จิ้น ผิง ผู้นำของจีน เรย์ ดาลิโอ และ ลาร์รี ฟิงค์ สองผู้นำของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทำธุรกิจการเงินในจีน เป็นแกนหลัก
.
สอง ขั้วสกุลเงินดิจิตอลของภาคทางการสหรัฐ ซึ่งมีเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ เจย์ พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ และแกรี เกนสเลอร์ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ของสหรัฐ
.
และ สาม ขั้วสกุลเงินดิจิตอลของภาคเอกชนสหรัฐ ซึ่งมีอิลอน มัสก์ แคธี วู้ด และ แจ็ค ดอร์ซีย์ สามผู้นำของบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีของสหรัฐ ซึ่งทั้งสามขั้วอำนาจนี้ จะเป็นผู้มีอิทธิพลและชี้ทิศทางของวงการสกุลเงินดิจิตอลของโลก โดยจะพยายามจะช่วงชิงความได้เปรียบให้กับขั้วของตนเองในระยะยาว

ที่มา
https://www.facebook.com/efinanceThai/photos/a.338126440488/10159558357855489/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่