เมื่อฉันป่วยเป็นhivกับการใช้ชีวิต

เราเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ ได้รับเชื้อจากแฟนเก่าที่ป่วยเป็น HIV ซึ่งตอนที่คบกันเขารู้ตัวรึเปล่าอันนี้ไม่รู้ 🤔 วีไอกับเทคนิคส่วนเรามารู้ว่าตัวเองเป็นตอนเลิกกับเขาได้ ประมาณ 8 ปีได้ ....เพี้ยนไม่อยากจะเล่า

ยอมรับเลยว่าตอนที่รู้คือ ยอมรับไม่ได้ เอาแต่โทษตัวเองที่ไม่ดูแลตัวเองมากพอ 🙁 เชื่อใจคนที่เรียกว่า แฟน เกินไป ทำใจอยู่เป็นปีแหละ กว่าจิตใจจะดีได้ ๆเราก็รักษาตัว กินยาต้านตามหมอสั่ง เป็นเด็กดีของหมอมากๆ 😄 ดูแลตัวเอง ตอนนี้ CD4 ของเรา อยู่ที่ 450 เพี้ยนเย้กับการกินยาต้านมาได้ เกือบ 2 ปี แล้ว 

การใช้ชีวิตของเราก็คือ มีเพื่อนรู้แค่คนเดียวแม้แต่พ่อกับแม่ก็ยังไม่กล้าบอก เพราะไม่อยากให้เค้าเป็นห่วง พาพันเศร้าและคิดมาก
ส่วนเรื่องงาน เราทำงาน ที่ทำงานตอนนี้ก็คือทำงานกับเพื่อนที่รู้นั่นแหละ แต่ก็เป็นงานที่ไม่ค่อยมั่นคงเท่าไหร่โมโห เราอยากจะหางานใหม่ทำ แต่ก็คิดมาก หากเปลี่ยนงานแล้วเจอเพื่อนร่วมงานที่ไม่โอเค กับโรคที่เราเป็น กลัวสายตาและความคิดที่เค้ามองมา เพราะยังไงเราก็ต้องได้ลางานบ่อยๆเพื่อไปโรงพยาบาล เรื่องงานคงเป็นอีกเรื่องที่เราคิดมาก และก็ยังคงทำงานอยู่ที่เดิมต่อไป... ทาเคชิ  😆✌เพี้ยนเซ็งเป็ด

และอีกเรื่องก็คงไม่พ้นเรื่อง การมีแฟน 
เราก็พอมีคนมาชอบมาจีบอยู่บ้างแต่ก็ไม่กล้าคบใคร ก่อนหน้านี้ เราลองที่จะคุยกับ ผช 👨คนหนึ่ง ก็คุยกันได้สักระยะจนแน่ใจแหละ เราก็ตัดสินใจบอกเค้า ว่าเราเป็น HIV เพราะเราก็ไม่อยากเห็นแก่ตัวกับใคร แต่นั่นแหละ  ปากเค้าบอกว่ารับเราได้....แต่...เค้าก็ตีตัวออกห่างเราไป เพี้ยนนกเราก็ปล่อย ยอมรับและเข้าใจและรู้เหตุผลถึงแม้เค้าจะไม่กล้าพูดมันออกมา

จนตอนนี้ เราก็ไม่รู้ว่า คนแบบเรา มันจะมีใครเข้าใจจริงๆรึเปล่า ? จนไม่กล้าเปิดใจเพี้ยนจุดจุดจุด ตอนนี้มีคนมาชอบเรามาจีบเรา แต่เราก็ต้องตัดใจ ไม่กล้าที่จะเปิดใจ แม้แต่จะลองคุยก็ไม่กล้า แต่ความรู้สึกมันก็ 'อยากมีใครสักคนนะ' แต่หันมามองในสิ่งที่ตัวเองเป็น มันก็ทำใจยากที่บอก และยากที่จะมีคนเข้าใจเราแบบจริงๆ 🙁

จนต้องถามตัวเองว่า นี่จะต้องโสดไปทั้งชีวิตจริงๆหรอว่ะ ?  😑 หรือต้องคบกับคนที่เป็นHIVเหมือนกันจะได้เข้าใจกันไม่ลำบากใจ (แค่คิดอะแหละ) ก็พยายามจะจัดลำดับวางแผนชีวิต และสับสน ไปหมดว่ายังไง ?? 
ใจเราสู้นะ แต่พอเป็นโรคนี้แล้ว มันมีข้อจำกัดทางความคิดและอะไรหลายๆอย่างให้เราตัดสินใจยากจริง พอคิดเยอะๆก็ปวดหัวเม่าโกรธเม่าเหม่อ นั่นแหละ เป็นที่มาของการต้องมาตั้งกระทู้ จะว่าเป็นคำถามมั้ย ?? ก็ถามแหละ ถ้าใครพอมีแนวคิดอะไรให้กัน 😄 แต่ก็นั่นแหละ อยากเล่าด้วยแหละ เพราะก็ไม่รู้จะไปเล่าให้ใครฟัง เพี้ยนแข็งแรงเพี้ยนขอบคุณ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 45
ผมเป็นหมอ และมีแฟนเป็นผู้ติดเชื้อ HIV ครับ

ถือโอกาสนี้ในการเผยแพร่ข้อมูลเรื่องการติดเชื้อ HIV ให้ จขกท. และคนทั่วไปเลยละกันครับ
สำหรับผู้ติดเชื้อ HIV ที่กินยาสม่ำเสมอ มีค่า CD4 และ Viral load ที่ดีพอ ปริมาณเชื้อที่อยู่ในสารคัดหลัง จะน้อยจนไม่สามารถส่งต่อเชื้อโรคให้กับคนอื่นได้ครับ โดยคนไข้กลุ่มนี้ ได้รับยาต้านไวรัสอยู่ตลอดเวลา จนโอกาสในการแพร่เชื้อเกือบเท่ากับศูนย์ (ไม่สามารถบอกว่าศูนย์ได้ เพราะไม่มีการยืนยันแบบนี้ในทางการแพทย์) นั่นหมายความว่า การมีเพศสัมพันธ์ุกับผู้ติดเชื้อ HIV ที่ดูแลดีดังกล่าว มีโอากาสติดเชื้อ HIV น้อยกว่าการมีเพศสัมพันธ์ุกับคนทั่วไปซะอีก เพราะคนทั่วไปที่ไม่เป็นโรค แม้จะป้องกันทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธุ์ ก็ยังมีโอกาสได้รับเชื้ออยู่ดี(น้อยมาก) แต่เพราะไม่ได้กินยาอยู่ เชื้อเหล่านั้นก็เติบต่อจนเป็น HIV infection ได้

เพราะงั้น คุณมีแฟนได้ มีลูกได้ แน่นอนครับ แต่คุณอาจต้องหาคนที่เขามีความรุ้มากพอจะเข้าใจ หรือมีความเข้าใจเข้าใจพอที่จะเปิดใจรับฟังข้อมุล ข้อมูลข้างต้นที่ผมกล่าวไว้ น้อยคนนักจะเข้าใจครับ แม้กระทั่งในวงการแพทย์เองก็ตาม... แนะนำให้พาเค้าไปคุยกับแพทย์ที่ให้คำปรึกษาเรื่องนี้ได้ จะดีกว่าครับ

เรื่องที่ทำงาน เข้าใจว่าสามารถปกปิดข้อมูลได้นะครับ เพราะข้อมูลการเจ็บป่วยถือเป็นข้อมูลส่วนตัว ยกเว้นโรคนี้มีผลต่องานจริงๆ แต่เป็นเกณฑ์ตอนรับคนเขาทำงาน ตอนออกใบรับรองแพทย์ ถ้าผู้ต้องการปกปิด หมอก็ต้องปกปิดให้ตามหน้าที่นะครับ เพราะข้อมูลทุกอย่างเป็นของคนไข้ หมอไม่สามารถนำไปเผยแพร่ได้ ไม่ว่าที่ไหน ถ้าคนไข้ไม่ยินยอมครับ
ความคิดเห็นที่ 1
เป็นกำลังใจให้นะคะ จะคิดมากก็ไม่แปลก แต่เอาพอดีๆ นะคะ เดี๋ยวจะกระทบกับสุขภาพ
เราเชื่อเรื่องเวลานะคะ บางครั้งที่เรากังวลกับหลายสิ่ง มันอาจยังไม่ถึงเวลาที่จะมีคำตอบก็ได้ ค่อยๆ คิดไป ปล่อยวางบางเรื่อง ไม่แน่ว่าเดี๋ยวคำตอบมันก็มีมาเอง

อันนี้ปลอบใจนะคะ เรื่องการใช้ชีวิต ถึงเราจะมีข้อจำกัดหลายอย่างเพราะโรค แต่ความจริงแล้วทุกคนล้วนมีข้อจำกัดบางอย่างทั้งสิ้น การเป็นโสดก็มีข้อดีอย่างหนึ่ง  การแต่งงานมันก็มีข้อดีอย่างหนึ่ง แล้วอย่างที่บอกวันนี้อาจยังไม่มีคำตอบ ก็ไม่ได้แปลว่าอนาคตจะไม่มี

ส่วนเรื่องงาน คุณจะคล้ายๆ เพื่อนเรา เพื่อนเราเป็นโรคเลือด เป็นมาตั้งแต่เกิด ตัวผอม ตาเหลือง ผิวเหลือง ต้องไปเติมเลือดทุกเดือน ไปแล้วกลับมาทำงานไม่ได้ก็มี ช่วงแรกยังทำงานได้ แต่ปีหลังๆ เหนื่อยขึ้น เขาก็พยายามไปลงเรียน หาอย่างอื่นทำ เพราะคิดว่าคงไม่สามารถทำงานไปตลอดได้
เราก็เห็นเขาพยายามปรับตัวทำทุกอย่างค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป
เราก็อยากให้คุณลองเปิดโอกาสให้ตัวเอง ไปเรียนรู้ ไปเจอสังคมใหม่ๆ บ้าง
บางทีถ้าการอยู่เฉยๆ คนเดียวแล้วคิดมาก การออกไปหาอะไรทำอาจทำให้คุณเจอคำตอบก็ได้นะคะ

โลกเราพัฒนาขึ้นทุกวัน ใครจะรู้ วันหนึ่งคุณอาจหายขาดก็ได้ กอดๆ นะคะ อย่าท้อค่ะ
ความคิดเห็นที่ 10
ผมมาจับประเด็นว่า คุณต้องการที่จะถามอะไร ตรงประโยคที่ว่า "พอคิดเยอะๆ ก็ปวดหัว"
ผมเลยมีวิธีสังเกตุความรู้สึกของตัวเอง มาให้ลองครับ

วิธีฝึกเป็นอย่างนี้ครับ ให้สังเกตุความรู้สึกของตัวเอง เวลามีความคิดขึ้นมา
เวลามีความคิดอะไรก็ช่างนะ  เช่น เวลามีความคิดขึ้นมา
จะคิดอะไรก็แล้วแต่ อย่าไปสนใจความคิด ให้มาสนใจความรู้สึกของตัวเอง เช่น

เวลามันมีความคิดขึ้นมา คิดแล้ว มีความ สุข ก็รู้
เวลามันมีความคิดขึ้นมา คิดแล้ว มีความ ทุกข์ ก็รู้
เวลามันมีความคิดขึ้นมา คิดแล้ว มีความ เฉยๆ ก็รู้

ให้สังเกตุความรู้สึก สุข ทุกข์ หรือ เฉยๆ เวลามันมีความคิดเกิดขึ้นมา
รู้สึกไปเรื่อย ๆ มันจะคิดอะไรมาก็ช่าง
ให้สังเกตุความรู้สึกของตัวเองไปเรื่อย ๆ สังเกตุแถวๆกลางอกอะ

แล้วไปสังเกตุดูเถอะ ความรู้สึก ๓ อย่างนี้ มันจะไม่เกิดพร้อมกันหรอก มันจะสลับกันเกิดขึ้นมาทีละอัน
แล้วความรู้สึก ๓ อย่างนี้ มันจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ตามความคิด ลองเอาวิธีนี้ไปลองฝึกดูนะครับ.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่