เธอชื่อ..นก

คุณลิและคณะได้เขียนให้ผมอ่านมาเยอะแล้ว วันนี้ผมจะเขียนเรื่อง ข้างหลังภาพของผมให้อ่านบ้าง

คุณลิคงได้เห็นภาพเมื่อปี 2507 ของหนุ่มหน้ามนอายุ 17 จากเมืองอุบลไปแล้ว ปีนั้นเป็นปีที่ขึ้น ม.ศ.4 โรงเรียนประจำจังหวัดชาย เป็นครั้งแรกที่เรียนแบบสหศึกษากับนักเรียนหญิงที่ข้ามมาจากโรงเรียนหญิง แต่ก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรนักเพราะเคยเห็นไอ้พวกผมม้ากะโปโลหิ้วกระเป๋านักเรียนมาหลายปีจนชินเสียแล้ว

ปิดเทอมใหญ่ปีนั้น พ่อเห็นว่าโตแล้วก็มอบหน้าที่การเดินทางด้วยรถไฟข้ามจังหวัดไปศรีสะเกษเป็นตัวแทนพ่อไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ ผมทำหน้าที่คารวะท่านด้วยดีและทักทายพี่ๆน้องๆทางนั้น ผมอยู่ที่นั่นสักสองอาทิตย์ก็กราบลาท่านมารายงานผลงานให้พ่อแม่รู้ พ่อแม่ก็ชมเชย

หลายวันผ่านไป งานนี้จบจนผมลืมไปแล้ว อยู่ดีๆฟ้าก็ผ่าผมโดยไม่มีเค้า วันนั้นกลับมาจากโรงเรียน ยังไม่ได้เก็บกระเป๋าเลย แม่ก็เรียกไปถามเสียงเขียว

"แอ๊ดเอ๊ย ตอนไปศรีสะเกษน่ะ นอกจากไหว้ท่านผู้ใหญ่แล้ว ยังไปทำอะไรงามหน้าไว้อีกล่ะ"

อ้าว อะไรกันเนี่ย อยู่ดีๆทำไมงานเข้าอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ผมปฏิเสธไว้ก่อนตามแบบฉบับเด็กดี "ผมป่าววว"

"ปล่าวได้ไง ไม่มีไฟมันจะมีควันได้รึ อ่านนี่ซิ" แม่คาดคั้นและโยนซองจดหมายมาให้ผมฉบับหนึ่ง

ผมหยิบมาอ่านงงๆ มันเป็นจดหมายซองสีฟ้า ประทับตรามาจากศรีสะเกษ จดหมายข้างในเขียนด้วยลายมือเรียบร้อย พรมนัำหอมมากลิ่นฟุ้ง ข้อความว่า

คุณแอ๊ดที่รัก
      จำนกได้ไหม เราเจอกันที่ศรีสะเกษวันนั้น เราก็ยังคิดถึงหน้าเธอ หวังว่าเธอคงไม่ลืมเรานะ เราเลยต้องเขียนจดหมายนี้มาหาเธอเพื่อเติอนความจำ อย่าลืมเขียนหาเรานะ
                                           รักเธอเสมอ
                                                 นก

โอ้ พระเจ้า ผมถูกซักฟอกอยู่นานร่วมชั่วโมงกว่าจะแก้ตัวสบถสาบานร้อยแปดพันประการหลุดว่า ให้ตายเถอะ ผมนึกไม่ออกจริงๆว่ายัยนกนี่มันใคร มาจากไหน หน้าตารูปพรรณเสียงหวานเจื้อยแจ้วแค่ไหน ไม่เคยพูดจากันเลย พ่อผมสรุปส่งท้ายง่ายๆว่า "อย่าริมีแฟนตั้งกะตอนนี้นะโว้ย รู้เข้าพ่อเตะขาดสองท่อนเลย พับผ่า"

โธ่ น้องนกนะน้องนก ไม่น่าทำพี่แอ๊ดได้ลงคอเลย

ตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ จากเด็กเนิร์ดผมก็ต้องหันมาป้องกันตัวด้วยการให้ความสังเกตกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวว่า มันชักมีภูมิทัศน์แปลกๆมาแล้ว มีอะไรน่าสนใจ จากผมหน้าม้าก็มีโบว์ผูกผมหลากสี ไอ้หุ่นที่เคยเรียบสนิทเป็นระนาบก็เริ่มมีโค้งมีเว้าให้สะดุดตา

ผมมาตระหนักเอาทีหลังตอนเรียนนักศึกษาวิชาทหารว่า อย่างนี้ทหารเขาเรียกกันว่า OCOKA หรือหลักการวิเคราะห์พื้นที่ปฏิบัติการ นั่นเอง




อมยิ้ม15 อมยิ้ม15 เพี้ยนร้อน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่